ตอนที่แล้วPTH32 ที่นั่งพิเศษ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปPTH34 โอสถผสานว่างเปล่า

PTH33 ปรมาจารย์ยันต์เว่ย


“ด้วยอำนาจของพลับพลาหยกทอง ไม่ว่าจะเป็นนิกายเพลิงสวรรค์หรือผู้ฝึกตนเขตขั้นแตกฉาน หากกล้าก่อเรื่องที่นี่ก็คงไม่พ้นตาย”

คำกล่าวที่เป็นที่รู้กันดีของผู้คนในเมืองจิตวิญญาณสูงสุด… เว่ยสั่วมุ่งเข้าสู่งานประมูล หน้าทางเข้ามีผู้ฝ7กตนของพลับพลาหยกทอง 4 คนยืนอยู่ เว่ยสั่วไม่อาจหยั่งสัมผัสระดับพลังของทั้งสี่ได้ นั่นหมายความว่าทั้งสี่อยู่เขตขั้นวัฏจักรสวรรค์เป็นอย่างน้อย

เมื่อเดินไปถึงทางเข้า เว่ยสั่วเห็นหลี่หงหลินนำป้ายหยกสีแดงออกมา อักษรที่สลักอยู่บนป้ายทำให้เว่ยสั่วยิ้ม เพราะอักษรที่ว่าคือคำว่า ‘สาม’ นั่นหมายความว่าที่นั่งของเว่ยสั่วมีมากกว่า ไม่แปลกที่เมื่อยามที่หลี่หงหลินได้ยินเรื่องที่นั่งของเว่ยสั่ว มันจึงเลิกกล่าวชวนหนานกงยู่ฉิงให้ไปนั่งด้วย

เมื่อเว่ยสั่วและหนานกงยู่ฉิงเดินไปถึงทางเข้า ทั้งสองแสดงป้าย ผู้เฝ้าทางเข้าทั้งสี่เห็น ล้วนผายมือเชิญทั้งสองด้วยความสุภาพ เมื่อก้าวขาพ้นประตู ก็มีผู้เยาว์สองคนเดินเข้ามาหา นำทางทั้งสองเข้าสู่งาน

สถานที่จัดงานประดับประดางดงาม บนเผดานโถงทางเดินประดับด้วยมุกเรืองแสงขนาดใหญ่กว่าที่เว่ยสั่วเคยซื้อ สองข้างทางประดับตกแต่งอย่างประณีตหรูหรา พื้นปูด้วยหยกเหลืองอ่อนให้ความรู้สึกอบอุ่น ทำให้ผู้ที่เดินเข้างานรู้สึกหรูหราและอบอุ่นในเวลาเดียวกัน

นอกจากการประดับประดาที่งดงามแล้ว สองข้างทางยังมีสาวงามผู้มีรูปร่างเย้ายวลยืนต้อนรับ ทำให้เว่ยสั่วอดใจมองพวกนางไม่ได้ เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะพวกนางมีรูปร่างที่คล้ายฉุ่ยหลิงเอ๋อร์มาก แม้โดยรวมจะไม่งดงามเทียบเท่า แต่พวกนางล้วนจัดเป็นสาวงามระดับแนวหน้าของแคว้น

เว่ยสั่วแอบมองหนานกงยู่ฉิงที่เดินข้างกาย นางงดงามไม่ด้อยไปกว่าสตรีเหล่านั้น แต่หากเปลี่ยนเป็นฉุ่ยหลิงเอ๋อร์เดินเคียงข้างแทน จะรู้สึกยังไง?

เมื่อเข้าไปถึงโถงหลักของงาน ที่นั่นจะแบ่งผู้เข้าร่วมงานออกเป็นสองชั้น ชั้นแรกมีเสาขนาดใหญ่ 6 ต้น มังกรแดงสลักขดพันเปล่งประกายระยิบระยับงดงาม มุมทางเหนือของโถงมีม่านแดงฉากกั้น หลังม่านมีเวทีที่แสงตะวันส่องผ่านกระจกกระทบ

เวทีแห่งนั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อแสดงของประมูล

ในชั้นแรกจัดดเก้าอี้ไว้จุคนเพียง 300 มีห้องขนาดเล็กแยกกัน ภายในห้องมีเก้าอี้ถูกจัดไว้ 3 - 4 ตัวต่อห้อง

ชั้นที่อยู่สูงขึ้นไปถูกจัดให้เป็นห้องรับรองพิเศษ ประดับอย่างหรูหรางดงาม สามารถมองลงมาเห็นข้างล่างได้ทั้งหมดได้อย่างชัดเจน

“ฮ่าฮ่า พลับพลาหยกทองจัดการต้อนรับได้ยอดเยี่ยม หากมีของดีๆคราวหน้าคงต้องมาขายให้พลับพลาหยกทองแล้ว”

ผู้เยาว์สองคนนำเว่ยสั่วและหนานกงยู่ฉิงมาส่งยังห้องรับรองพิเศษห้องหนึ่ง หนานกงยู่ฉิงเคยมาที่นี่หลายครั้ง นางจึงค่อนข้างคุ้นชินสถานที่ แต่กับเว่ยสั่วที่ไม่เคยมาย่อมรู้สึกแปลกตา

ห้องรับรองพิเศษที่จัดเอาไว้มีขนาดใหญ่ พรมทำจากหนังสัตว์ชั้นดีปูไว้ทั่วห้อง เก้าอี้ที่งดงาม 4 ตัววางไว้ภายใน แม้จะถูกจัดไว้ให้นั่งเพียง 4 คน แต่ความกว้างของห้องจุ 10 คนอย่างสบายๆ

“เกิดอะไรขึ้น?”

เว่ยสั่วมองลงไปข้างล่าง ยามนี้มีผู้ฝึกตนเข้าร่วมงานประมาณ 100 คน เขาลองใช้วิชาสัมผัสกลิ่นอายเพื่อหยั่งระดับพลังของคนเหล่านั้น แต่ในขณะที่เขากำลังโคจรปราณใช้วิชา จู่ๆกลับรู้สึกราวกับมีปราณน้ำสายหนึ่งคลุมร่าง ชะล้างวิชาให้สลายไป

“เป็นอะไร? หรือเจ้ากำลังใช้วิชา?” หนานกงยู่ฉิงที่นั่งอยู่ข้างๆ สังเกตุเห็นสีหน้าของเว่ยสั่ว จึงยิ้มพลางกล่าว “ที่นี่มีข่ายอาคมที่ทรงพลังวางเอาไว้ ต่อให้อยู่เขตขั้นแก่นทองคำก็ใช้วิชาที่นี่ไม่ได้”

“ที่แท้ก็ข่ายอาคม” เว่ยสั่วโล่งใจ อย่างน้อยเหตุก็เป็นแบบนี้เพราะข่ายอาคม วิชาสัมผัสกลิ่นอายของเขาไม่ได้มีปัญหา “จริงสิ” เว่ยสั่วนึกบางอย่างออกจึงหันกล่าวถามนาง “เจ้าบอกว่าอยากจะคุยกับข้าเพียงลำพัง เจ้าอยากคุยกับข้าเรื่องอะไร?”

“ก็ไม่ได้มีอะไรหรอกปรมาจารย์ยันต์เว่ย” นางยิ้มพลางกล่าวกระซิบที่ข้างหูเว่ยสั่ว “ยันต์เพลิงที่เจ้าสร้างดีมากๆเลย”

“ปรมาจารย์ยันต์เว่ย?!”

หากเป็นคนอื่นมองเข้ามา การที่นางกระซิบข้างหูเว่ยสั่วนับเป็นการกระทำที่คุมเครือ แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่นางกล่าว เว่ยสั่วถึงกับสั่นสะท้าน

“หรือเจ้าไม่ยอมรับ? ข้าไปสืบเรื่องของเจ้ามาแล้ว เจ้าชื่อเว่ยสั่ว ก่อนหน้านี้ไม่นานเจ้าอยู่เขตขั้นทะเลศักดิ์สิทธิ์ที่ 2 เหตุที่ผมของเจ้ายุ่งเหยิงเหมือนถูกเพลิงไหม้ เป็นเพราะเจ้าทดสอบยันต์เพลิง อีกอย่าง เจ้ายังเคยไปสระทมิฬแสร้งทำเป็นว่าเก็บยันต์เพลิงจำนวนมากได้ จนมีข่าวลือว่าผู้ที่ได้ยันต์เพลิงคนนั้น ได้ยันต์เพลิงนับร้อยแผ่น หลังจากนั้นไม่นานเจ้าก็ขายยันต์เพลิงเหล่านั้นจนหมด แต่ผ่านไปเพียงไม่กี่วันเจ้าก็มียันต์เพลิงจำนวนมากในครอบครองอีกครั้ง ทั้งช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เจ้ายังไปตระเวณซื้อโลหิตแมงป่องเพลิงด้วย... ที่ข้าพูดมาถูกหรือเปล่า?” นางยิ้มพลางกล่าวอย่างภาคภูมิ

“สาวงามเช่นเจ้าสนใจข้าขนาดนั้นเลยเหรอ?” เว่ยสั่วกล่าวด้วยสีหน้าจนใจ “เจ้าซื้อหาเสื้อผ้าที่สวยงามมาสวมใส่ได้ ข้าว่าเจ้าน่าจะหาสมุนไพรมาบำรุงผิวบ้างนะ”

“อะไร? นี่เจ้าจะหาว่าผิวข้าไม่ดีเหรอ?” นางทำสีหน้าบึ้งตึงพลางเปิดอาภรณ์เล็กน้อยก้มดูผิวกายตน เว่ยสั่วก็ฉวยโอกาสจ้องมองผิวพรรณของนางถนัดตา

“เห้อ… ถึงข้าไม่ยอมรับว่าข้าเป็นนักสร้างยันต์ เจ้าก็คงเชื่อไปแล้วว่าข้าเป็นคนสร้างยันต์เพลิงพวกนั้นจริงๆ แล้วเจ้าต้องการอะไร?”

“จากนี้ไปเจ้าต้องขายยันต์ให้ข้าในราคาถูก!”

“ไม่มีทาง”

“ข้าล้อเล่น เจ้าคิดว่าข้าพูดจริงหรือไง?” นางหัวเราะขบขันก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าไม่เข้าใจความคิดของเจ้าเลยจริงๆ… เจ้าเป็นนักสร้างยันต์ที่เก่งกาจ เป็นที่ต้องการตัวของนิกายขนาดใหญ่ ไม่ว่าที่ใดย่อมไม่ปฏิเสธเจ้า แต่ทำไมเจ้าต้องเสี่ยงอันตรายออกไปล่าอสูรแลกศิลาวิญญาณด้วย”

“เจ้าไม่มีทางรู้หรอกว่าทั้งหมดที่ข้าได้มาเป็นเพราะผู้อาวุโสเขียว” เว่ยสั่วกล่าวในใจ เขาส่ายหน้าพลางกล่าว “ข้าไม่ได้อยากจะสร้างยันต์ทั้งวันทั้งคืน ข้าอยากออกไปล่าอสูร อยากท่องโลกอย่างอิสระ ไม่ชอบข้อผูกมัดใดๆ”

นางพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ นางรู้ว่าในโลกใบนี้ยังมีสิ่งที่สำคัญกว่าเงิน นางจ้องมองเว่ยสั่วไม่วางตาก่อนเคลื่อนใบหน้ากล่าวกระซิบที่ข้างหู “เจ้าวางใจได้… ข้าจะช่วยเจ้าเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ”

“ช่วยข้า? เจ้าต้องการอะไรกันแน่?” เว่ยสั่วประหลาดใจกับการกระทำของนาง

“ข้าต้องการใช้เรื่องนี้เป็นข้อผูกมัดเจ้า” นางหัวเราะขบขัน “หากวันใดข้าต้องการให้เจ้าช่วย เจ้าต้องไม่ปฏิเสธข้า”

ในขณะที่เว่ยสั่วกำลังขบคิดหลายๆสิ่ง จู่ๆเขาก็เหลือบไปเห็นคนผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ในห้องรับรองพิเศษอีกฝั่ง คนผู้นั้นคือหลี่หงหลิน เว่ยสั่วตกตะลึงเพราะห้องของมันหรูหรากว่า ดูดีกว่า นั่นหมายความว่าตัวเขาที่คิดว่าห้องรับรองของตนเองเหนือชั้นกว่านั้น...คิดผิด อีกอย่าง ด้วยความที่ห้องอยู่ไม่ไกลกันมาก หากพูดคุยเสียงดังมันย่อมได้ยิน

บางทีการที่มันทำให้ตนเองสะดุดตา ให้เว่ยสั่วและหนานกงยู่ฉิงมองเห็น อาจเพราะมันจงใจให้รู้ว่าห้องของมันหรูหรามากกว่า...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด