ตอนที่แล้วบทนำ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 2

บทที่ 1


บทที่

แท็กซี่ยังไม่ทันจอดเทียบฟุตปาธหน้าสถานีหัวลำโพงได้สนิทดีนัก ร่างของหญิงสาวอายุประมาณยี่สิบสองปีก็ถลาออกจากรถทันทีโดยไม่รอรับเงินถอนจากคนขับรถ เธอวิ่งฝ่าฝูงชนมากมายที่ล้วนต่างที่มาและต่างจุดหมายจะไปจนไปถึงห้องพิเศษที่มีเจ้าหน้าที่สถานีรถไฟโทรศัพท์ติดต่อเธอไว้เมื่อเกือบครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา

“พี่ตามาแล้ว!”

“ข้าวซอย!”

โยษิตาเผลอตะโกนเรียกชื่อเด็กหญิงวัยสิบขวบที่นั่งอยู่บนเก้าอี้สีฟ้าหม่น เด็กน้อยจอมยุ่งกระโดดลงจากเก้าอี้เข้ามาสวมกอดญาติผู้พี่อย่างคิดถึง เจ้าหน้าที่กระแอมไอสองสามครั้งก่อนเรียกโยษิตาไปตักเตือนที่ปล่อยให้เด็กหญิงวัยสิบขวบเดินทางมาคนเดียวเพียงลำพัง โดยการแอบซ่อนตัวในห้องน้ำของรถไฟตั้งแต่ลำปางจนมาถึงหัวลำโพง

“ค่ะ…ค่ะ…จะไม่ไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกแน่นอน”

ข้าวซอยเงยหน้าขึ้นมายิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวตัดกับสีผิวที่ดำเป็นเหนี่ยง  ช่างผิดกับคำพูดที่ว่าสาวเหนือจะผิวขาวสวย             เมื่อเคลียร์ปัญหากับเจ้าหน้าที่เรียบร้อยโยษิตาก็ได้ยินเสียงท้องตัวเองร้องโครกครากจนเจ้าน้องสาวตัวแสบหัวเราะ

“พี่ตาเลี้ยงอะไรไว้ในท้องเหรอคะ”

“สัตว์ประหลาดมั้ง!”

หญิงสาวหันไปแยกเขี้ยวใส่ แต่ดูเหมือนเด็กจอมซนจะไร้ความกลัวเกรง  ก็นั่นซินะ! ถ้าขี้ขลาดคงไม่กล้าหนีออกจากบ้านมาถึงนี่ได้ โยษิตาได้แต่ถอนหายใจก่อนเดินจูงมือหลานเข้าไปหาอะไรกินนอกสถานีรถไฟ          เมื่อประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้เธอกำลังช่วยคุณยายละเอียดกวาดหยากไย่ตามมุมบ้านแล้วจู่ๆ ก็ได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ของสถานีรถไฟ ให้มารับเด็กหญิงข้าวซอยที่แอบขึ้นรถไฟมากรุงเทพฯเพียงลำพัง เธอต้องตาลีตาเหลือกออกจากบ้านมาทั้งสภาพมอมแมมแบบนี้เพราะความเป็นห่วงน้องสาวตัวซน แต่พอมาเห็นแววทโมนเหมือนลูกลิงน้อยและวีรกรรมที่

สร้างขึ้นเธอก็ได้แต่ส่ายหน้าระอาใจ

“พี่ตาโกรธหนูหรือจ๊ะ” ข้าวซอยถามเบาๆ แววตาสำนึกผิด

“ไม่ได้โกรธแต่พี่ตาเป็นห่วง” โยษิตาใจอ่อนกับแววตาคู่นี้เสมอ เธอมองดูจานข้าวหมูแดงที่ว่างเปล่า เมื่อสัตว์ประหลาดในท้องไม่ส่งเสียงรบกวน เธอก็จ่ายเงินค่าอาหาร

“เรารีบกลับบ้านกันเถอะป่านนี้คุณยายคงรอแย่แล้ว”

“คุณยายจะโกรธหนูไหมคะพี่ตา”   แววตาของเด็กหญิงวัยสิบขวบที่ดูเศร้าหม่นกว่าเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน

‘แววตาแบบนี้ใครจะโกรธได้ลงนะ’

หญิงสาวผ่อนลมหายใจเบาๆ แค่เห็นว่าน้องสาวตัวน้อยไม่มีร่องรอยบุบสลายตรงไหนก็โล่งใจแล้ว   นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลูกสาวของ ‘ป้าอำภา’ ผู้เป็นพี่สาวของมารดาเธอหนีออกจากบ้าน      มันกี่ครั้งกี่คราแล้วเธอก็ลืมนับมันไปแล้วข้าวซอยสะพายเป้สีชมพูขะมุกขะมอมเดินตามโยษิตาขึ้นรถแท็กซี่ ระหว่างทางเด็กน้อยมองทิวทัศน์รอบกายอย่างสนุกสนานไม่ได้มีแววสำนึกผิดเหลืออยู่เลย จนโยษิตาชักไม่แน่ใจว่าแววตาเศร้าๆ เมื่อครู่ของแท้หรือเทียม!

เพียงทั้งคู่ก้าวเท้าลงจากรถแท็กซี่    หญิงชราวัยหกสิบเจ็ดแทบจะถลาอ้าแขนรับขวัญหลานตัวน้อย บ้านไม้สองชั้นหลังเล็กอยู่เกือบท้ายซอยชุมชนสวนขวัญ         ก็มีสมาชิกเพิ่มเป็นเด็กหญิงที่แสนจะกล้าหาญหนีออกจากบ้านขึ้นรถไฟมาคนเดียวจากลำปางจนถึงหัวลำโพงได้อย่างปลอดภัย               แต่ก็ไม่รอดพ้นสายตาของเจ้าหน้าที่รถไฟที่ต้องโทรศัพท์มาหา ‘โยษิตา’ พี่สาวของเด็กหญิงวัยสิบขวบให้มารับตัวหนูน้อยเจ้าปัญหา

หญิงสาวรู้สึกเกียจคร้านเกินกว่าจะหยิบไม้กวาดมาทำความสะอาดบ้านต่อ ไม่รู้ว่าเป็นลางบอกเหตุหรืออย่างไรที่จู่ๆ คุณยายก็นึกอยากทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่ พอดีวันนี้เธอไม่ต้องไปทำงานพิเศษจึงได้อยู่ช่วยกวาดหยากไย่แต่ยังไม่ทันเสร็จดีบ้านหลังน้อยก็ได้ต้อนรับสมาชิกเพิ่ม

‘เด็กหญิงข้าวซอย’  กำลังเอร็ดอร่อยกับข้าวต้มผัดฝีมือคุณยายละเอียด ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็กินข้าวหมูแดงจานโตไปแล้ว            โยษิตาเดินเลี่ยงเข้ามาโทรศัพท์ในบ้านต่อสายหาแม่ของข้าวซอย    นานหลายนาทีกว่าจะมีคนรับสาย

“คุณป้าอำภาหรือคะ”

“เออ บ้านนี่ก็มีแต่ฉันนี่แหละ จะมาขายอะไร ประกันไม่ทำหรอกนะ ฉันไม่ยอมให้พวกแกเอาเงินฉันไปหมุนออกดอกกินสบายๆ หรอก”

“เอ่อ...คุณป้าคะ หนูตาเองค่ะ โยษิตา”

“อ้าว! ยัยตาเหรอ แม่เป็นไร ตอนนี้ฉันไม่มีเงินหรอกนะ” โยษิตาอยากจะกรี๊ดใส่หูโทรศัพท์หรือไม่ก็ขว้างใส่ข้างฝาให้มันรู้แล้วรู้รอดไป ไม่มีสักประโยคที่จะถามหาลูกสาวตัวเองเลยหรือว่าป่านนี้ก็ยังไม่รู้ว่าข้าวซอยหายออกจากบ้านไป

“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกค่ะ” เธอพยายามกัดฟันทำใจเย็น ถ้าไม่คิดว่าป้าอำภาคือพี่สาวของแม่ที่ตายจากโลกนี้ไปแล้ว เธอคงว๊ากกลับไปบ้างแล้วล่ะ

“ข้าวซอยมาอยู่ที่บ้านตาแล้วค่ะ”

“เหรอ มันไปตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ แกมารับมันเหรอ”

“เปล่าค่ะ” หญิงสาวอึ้ง แม่แบบนี้ก็มีด้วยเหรอ “ข้าวซอยหนีออกจากบ้านขึ้นรถไฟจากลำปางมาหัวลำโพงคะ ตาเพิ่งไปรับมาจากสถานีรถไฟ ตอนนี้อยู่บ้านกับยายปลอดภัยดีค่ะ”

“ก็ดีแล้ว  ฝากดูมันหน่อยละกัน  แค่นี้ก่อนนะ ฉันยุ่ง”

ยังไม่ทันที่โยษิตาจะพูดอะไรต่อ โทรศัพท์ก็โดนตัดสัญญาณไปแล้ว หญิงสาวถือหูโทรศัพท์ค้าง  หงุดหงิดหัวเสียแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ และเป็นดังที่คุณยายคาดคิดไว้ว่าจะได้ยินน้ำเสียงเย็นชาจากปลายทาง จนอดนึกน้อยใจแทนไม่ได้

คุณ ‘อำภา’ แม่ของน้องข้าวซอยเป็นพี่สาวของคุณ ‘อำพร’ ซึ่งเป็นแม่ของโยษิตา เดิมนั้นบ้านหลังน้อยนี้อบอุ่นไปด้วยคุณพ่อไพศาล-คุณแม่อำพร ลูกสาวคนเดียวคือโยษิตาและคุณยายละเอียด         ส่วนคุณตาสง่าได้จากไปตั้งแต่โยษิตายังเล็ก แต่เมื่อสี่ปีที่แล้วรถยนต์คันหนึ่งที่แล่นแซงโค้งด้วยความเร็วจัดและความคึกคะนองของคนขับที่เมาสุราก็พรากลมหายใจของพ่อและแม่ของหญิงสาวไปอย่างไม่มีวันกลับ บ้านที่เคยอบอวลด้วยเสียงหัวเราะสดใสจึงหม่นไปในทันทีนานนับปีกว่าสภาพจิตใจของลูกสาวคนเดียวจะดีขึ้น

กำลังใจที่ดีที่สุดในขณะนั้นก็คือมือเหี่ยวย่นที่ค่อยพยายามทำขนมไทยอร่อยๆ ให้เธอได้กินทุกๆ วัน ใช่! เธอไม่ได้อยู่เพียงคนเดียว เธอยังมีคุณยายที่รักและจะอยู่กับเธอตราบจนฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะหมดลมหายใจสุดท้ายก่อนกัน

โชคดีที่พ่อทิ้งสมบัติให้เป็นบ้านหลังนี้และเงินประกันชีวิตของแม่ที่ทำให้เธอไม่ถึงขั้นลำบากมากมายนักและสามารถพยุงตัวเองจนเรียนมหาวิทยาลัยจนจบได้โดยไม่ต้องลาออกเสียก่อน          แต่ระหว่างที่เรียนอยู่โยษิตาก็ทำงานพิเศษสารพัดเท่าที่เวลาว่างหลังจากการเรียนจะเอื้ออำนวย เพราะอย่างน้อยที่สุดการทำงานทำให้เธอคลายความเศร้าในจิตใจลงได้บ้าง แต่ในทางตรงข้ามมันกลับทำให้โยษิตาเข้มแข็งจนดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน

ก็ใช่นะซิ! คนอื่นๆ เขาไม่ต้องปวดหัวกับค่าใช้จ่ายในบ้านนี่นะ! ถึงไม่ต้องจ่ายค่าเช่าบ้านแต่รายจ่ายอย่างอื่นก็มี! ทั้งค่าน้ำ,ค่าไฟ,ค่าโทรศัพท์แล้วค่ายาของยายละเอียดกับค่าใช้จ่ายจิปาถะอื่นๆ อีก อาหารการกินในบ้านไม่ใช่แค่เฉพาะของสองยายหลานเท่านั้น ยังมีหมาๆ แมวๆ จรจัดที่ยายละเอียดชอบเอาอาหารไปให้ตามมุมถนน แถมตอนนี้มีมาเพิ่มอีกหนึ่งชีวิตค่าใช้จ่ายก็ต้องเพิ่มขึ้นอีกแน่ๆ หญิงสาวแอบถอนหายใจหนักๆ ขณะนั่งกดเครื่องคิดเลขในสมองคำนวณรายรับ-รายจ่ายของที่บ้าน โดยไม่ได้สนใจว่ายายละเอียดกับข้าวซอยกำลังทำอะไรอยู่ในห้องนั่งเล่น

โยษิตาเปิดหนังสือพิมพ์สมัครงานพลิกที่ละหน้าอย่างละเอียด                มีรอยดินสอวงล้อมกรอบข่าวประกาศที่น่าสนใจความฝันที่จะเป็นครูประถมดูจะเลือนลางเหลือเกิน ตอนนี้ไม่มีที่ไหนรับครูภาษาไทยเพิ่มทั้งของภาครัฐและเอกชน ถึงแม้ว่าเพิ่งจะเรียนจบได้แค่ไม่กี่เดือน เธอก็ต้องเร่งหางานประจำทำให้ได้ก่อนไม่มีเวลาเที่ยวเล่นสนุกเหมือนเพื่อนๆ คนอื่นๆ

ตอนนี้ที่พอจะทำแก้ขัดไปก่อนคืองาน ‘วิจัยตลาด’ เรียกเสียสวยหรู แต่ถ้าจะให้รู้จักแบบที่เข้าใจทั่วไปก็คือ ‘กรอกแบบสอบถาม’ ซึ่งจะต้องค่อยไปถามลูกค้าซึ่งเป็นคนทั่วไปตามสถานที่ต่างๆ ตามที่บริษัทฯกำหนด ถามข้อมูลการใช้ผลิตภัณฑ์หรือพฤติกรรมผู้บริโภค                มันเป็นงานพิเศษที่เธอทำตั้งแต่เรียนปีสี่เทอมสุดท้ายจนมาถึงตอนนี้ก็สี่-ห้าเดือนเข้าไปแล้ว ถึงจะเป็นพิเศษแต่ก็เงินดีไม่น้อยหมายถึงว่าเธอต้อง ‘ขยัน’ ให้มากคุ้มค่าเงินด้วย

หรือว่า? มีอะไรก็ทำไปก่อน? อย่างที่คนอื่นๆ พูดกัน!

“พี่ตาคิ้วชนกันแล้วค่ะ”

“อะไรนะคะ…ข้าวซอยว่าอะไรนะ”

“หนูบอกว่าคิ้วพี่ตาขมวดมาชนกันแล้วค่ะ”   เด็กหญิงแสนซนถามอย่างใสซื่อ “เพราะข้าวซอยรึเปล่าคะ”

“ไม่ใช่หรอกจ๊ะ ข้าวซอยไปนอนดีกว่านะนอนพร้อมคุณยายให้คุณยายเล่านิทานให้ฟัง”

หญิงสาวหันไปหาคุณยายที่เดินตามเด็กหญิงตัวน้อยเข้ามา  ก่อนจะจับมือเล็กๆ จูงแขนเตรียมจะเข้านอน วันนี้เธอผจญภัยมาทั้งวัน เอ่อ…ทั้งคืนด้วยมั้ง!

“อย่าคิดอะไรมากเลยนะยัยตา…อะไรๆ มันไม่เลวร้ายนักหรอก ทุกอย่างมีหนทางของมันเสมอ”

“ค่ะ…คุณยาย”

หญิงสาวยิ้มบางๆ ให้คุณยายที่หลานตัวเล็กจูงแขนให้เข้าห้องนอนเตรียมฟังนิทานเรื่องโปรด นึกๆ ไปเธอเองอาจะโชคดีกว่าข้าวซอยด้วยซ้ำไป      เพราะข้าวซอยเป็นลูกติดจากสามีเก่าส่วนสามีคนใหม่ที่ทำให้คุณป้าอำภาต้องย้ายไปลงหลักปักฐานใหม่ถึงลำปางก็ดูท่าไม่ค่อยปลอดภัยสำหรับเด็กผู้หญิงที่กำลังโตวันโตคืนแบบนี้    เธอเองถึงจะสูญเสียพ่อและแม่ไปแต่ตลอดเวลาท่านทั้งสองก็ให้คำว่า ‘อบอุ่น’ กับชีวิตของเธออย่างเต็มที่ ผิดกับข้าวซอยที่มักจะถูกดุด่าเฆี่ยนตีเป็นประจำ เป็นเหตุให้หนีออกจากบ้านมาหาเธอนับครั้งไม่ถ้วน

แต่ฟังน้ำเสียงของป้าอำภาแล้วยิ่งไม่สบายใจ เหมือนกับไม่ต้องการตัวลูกสาวคนนี้แล้วจริงๆ หรือเบื่อหน่ายพฤติกรรมหนีออกจากบ้านของข้าวซอยที่รู้ว่าอย่างไรก็ปลอดภัยดีทุกครั้ง

เฮ้อ! ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว …โยษิตาสะบัดหน้าไปมาจนผมยาวที่ขมวดไว้เหนือท้ายทอยรุ่ยร่ายลงมาเคลียแก้ม  ดูหน้าเธอในกระจกซิ! อย่างกับยัยป้าอายุห้าสิบได้แล้วมั้ง! ทั้งๆ ที่ปีนี้เพิ่งจะยี่สิบสองเท่านั้นเอง แถมยังไม่ได้รับปริญญาอีกต่างหาก

“เหมี๊ยว…”

“เจ้าเหมียว”

หญิงสาวก้มมองดูที่ใต้โต๊ะทำงานมุมห้องนั่งเล่น แมวจรที่เคยให้อาหารเป็นประจำเดินเข้ามานอนในบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

เธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้มันโดนหมาเกเรที่ไหนไม่รู้รุมทำร้ายจนขนบริเวณหลังคอหายไปเป็นแถบๆ              แต่หลังจากดูแลรักษาอย่างดีโดยคุณยายละเอียดตอนนี้มันกลับมาน่ารักน่าอุ้ม เธออุ้มเจ้าแมวน้อยขี้ประจบขึ้นมานั่งบนตักแล้วลูบหลังมันเบาๆ ก่อนระบายยิ้มออกมาบนใบหน้ากลมมนได้สัดส่วน

“อะไรๆ มันคงไม่เลวร้ายนักหรอกนะ!ใช่ไหมเจ้าเหมียว”

เจ้าแมวร้องเหมียวๆ อย่างเอาใจ โยษิตากอดมันแรงๆ ทีหนึ่งก่อนปล่อยมันเป็นอิสระ เธอลุกขึ้นบิดตัวไปมาไล่ความเมื่อยขบที่เกาะร่างกายเธออยู่ก่อนเดินไปปิดประตูลงกลอนให้เรียบร้อยรวมทั้งหน้าต่างบ้านด้วย

ใช่! อะไรๆ มันไม่เลวร้ายนักหรอกนะ! ยัยโยษิตา!.

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด