ตอนที่แล้วบทนำ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 2

บทที่ 1


บทที่ 1

แสงแฟลชและเสียงชัตเตอร์ทำให้ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์และดึงเขากลับเข้าสู่สภาพแห่งความเป็นจริงเขาหันกลับมาสนใจแสงไฟวับวาบหลากสีในผับกลางกรุงกับผู้คนแปลกหน้าที่กำลังโยกย้ายร่างกายตามจังหวะเสียงดนตรีที่เร่าอารมณ์ให้พุ่งพล่านอยู่ภายใน

ฟรานเชสโก้  ซิวีลิอาโน่ยิ้มให้เพื่อนที่เข้ามาตบไหล่เชิงทักทายเบาๆ ในผับไฮโซแห่งหนึ่งค่ำคืนนี้ที่นี่ถูกเนรมิตให้มีเวทีแคทวอล์คยู่ตรงกลางพร้อมด้วยม่านน้ำพุล้อแสงไฟเป็นฉากนางแบบสาวสวยหุ้นเซ็กซี่จะต้องเดินผ่านม่านน้ำออกมาพร้อมกับเครื่องดื่มของคนรุ่นใหม่ยี่ห้อหนึ่งซึ่งใช้ผับแห่งนี้เปิดตัวสินค้า                ทั้งหมดเป็นไอเดียอันบรรเจิดจากสมองของชายร่างสูงโปรงวัยสามสิบกับอีกหกปีที่ชอบสวมเสื้อผ้าด้วยชุดดำเป็นคาแรคเตอร์ส่วนตัวราวกับจะไว้ทุกข์ให้กับชีวิตที่เหลืออยู่และรู้จักในแวดวงคนทำงานโฆษณาด้วยชื่อเรียกสั้นๆง่ายๆว่า ‘ฟรานเชสโก้’

ชายหนุ่มสะกิดเพื่อนสาวที่ยืนโยกตัวตามจังหวะดนตรีอยู่ใกล้ๆ เขาเพื่อขอดูเวลา หญิงสาวยิ้มดวงตาปรือแหวกเสื้อยืดคอปาดที่เผยให้เห็นเนื้อเนียนที่หัวไหล่สร้อยคอสีเงินวาวมีโทรศัพท์มือถือเครื่องจิ๋วห้อยแขวนอยู่และเวลานี้มันเบียดชิดที่อกคู่อิ่มของเพื่อนสาวที่มาในฐานะนางแบบคนหนึ่งฟรานเชสโก้ก้มมองแล้วพยักหน้าเป็นเชิงขอบใจแต่ไม่ใคร่ใส่ใจกับภาพที่เห็นนัก

“สามทุ่มสิบนาที” เขาพึมพำคนเดียวก่อนยกเครื่องดื่มขึ้นกระดกทีเดียวหมดแก้วแล้วส่งแก้วเปล่าคืนให้บริกรที่เดินผ่านมาพอดี

“ฟรานเชสโก้ จะไปไหนคะงานกำลังสนุก”

ชายหนุ่มหยุดนิ่งหนึ่งก่อนเอ่ยตอบ“กลับบ้าน”

ฟรานเชสโก้ตอบทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนถามเขาล้วงมือลงในกางเกงแสลคเนื้อดีควานหากุญแจรถแล้วเพิ่งนึกคิดขึ้นได้ว่าตอนที่ขับรถมา รถติดเหลือบรรยายจนต้องจอดทิ้งไว้ที่สถานีรถไฟใต้ดินเพื่อให้ถึงสุขุมวิทภายในสิบห้านาทีเขาตบกระเป๋าเสื้อเชิ้ตของตนการ์ดแข็งๆ ทำให้รู้โดยไม่ต้องหยิบออกมาดูว่าบัตรจอดรถของทางรถไฟใต้ดินยังคงอยู่ดีเขาเองก็จำไม่ได้แล้วว่าจอดรถไว้นานเพียงใดเขาไม่แน่ใจว่าจะจอดรถได้ถึงกี่ทุ่ม เขาไม่เคยใช้รถไฟทั้งใต้ดินและลอยฟ้าเที่ยวสุดท้าย และสมองไม่ว่างพอจะเปิดลิ้นชักความทรงจำว่าอัตราค่าจอดรถนั้นเท่าไหร่เขาไม่ค่อยใส่ใจจะจดจำกับเรื่องพวกนี้นักแต่มันมักหวนถึงถึงภาพเก่าๆอยู่เสมอเหมือนฉายหนังซ้ำกลับไปมาหลายต่อหลายรอบ มันไม่ใช่มีเพียงภาพเท่านั้นแต่ยังมีเสียงสะท้อนก้องในโสตประสาทที่สำคัญความรู้สึกต่อเหตุการณ์นั้นๆ ในห้วงเวลานั้นด้วยเช่นความรู้สึกของเขาในขณะที่เพิ่งก้าวเท้าพ้นสถานที่อันอัดแน่นไปด้วยผู้คนที่โยกย้ายเคลื่อนไหวร่างกายไปตามจังหวะเสียงเพลงที่กระหึ่มอยู่ภายใน

ปกติชีวิตเขาเดินทางอยู่บ่อยๆ อยู่แต่ละที่ไม่เกินสองหรือสามเดือนแต่ส่วนใหญ่เขาใช้ชีวิตที่บ้านเกิดที่อิตาลี

ฟรานเชสโก้ ซิวีลิอาโน่นั่นคือชื่อของเขาซึ่งเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจของตระกูลซิวีลิอาโน่ผู้ได้ชื่อว่าเป็นมาเฟียศตวรรษที่ 21 แห่งอิตาลีการมีอำนาจในมือทำให้คนยำเกรงโดยที่เขายังไม่ทันได้ลงมือทำอะไรบางทีมันก็น่าเบื่อเกินไปแต่มีบางเรื่องที่เขาเผลอคิดแล้วอดหัวเราะไม่ได้ตระกูลซิวีลิอาโน่เป็นที่นับหน้าถือตาและทรงอิทธิพลมากที่สุดตระกูลหนึ่งในอิตาลี่แต่มักจะพลาดท่าเสียทีกับเรื่องง่ายๆ ที่เรียกว่า ‘ความรัก’

เมื่อราวๆ หนึ่งปีก่อน ‘ราฟาเอล ซิวีลิอาโน่’ น้องชายต่างมารดาของเขาเพิ่งแต่งงานกับสาวไทยและดูท่าทางจะมีความสุขดีกับชีวิตครอบครัวจนมีแววว่าจะไม่กลับไปอิตาลีกลายเป็นว่าระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาเขาต้องคอยเที่ยวไปเที่ยวมาเพื่อช่วยดูแลสาขาในประเทศไทยให้แน่ใจก่อนจะปล่อยให้เจ้าน้องชายต่างแม่รับผิดแบบเต็มๆ

‘ไม่ต้องทำเป็นสนใจกันขนาดนี้ก็ได้เมื่อก่อนแทบไม่เคยเห็นหัวกันเลยไม่ใช่หรือไง’ ถึงจะเป็นพ่อคนแล้วแต่บ่อยครั้งที่ราฟาเอลยังทำหงุดหงิดใส่เขาเหมือนเป็นเด็ก

‘ถ้าพ่อไม่สั่งฉันก็ไม่มาที่นี่หรอก’ เขาจำได้ว่าตอนนั้นเขายักไหล่ไม่สนใจเจ้าน้องชายที่น่าเบื่อนี่

‘เอาเถอะไว้มีเมียมีลูกเมื่อไหร่ก็จะเข้าใจเองหล่ะ’

ฟรานเชสโก้เผลอหัวเราะร่าถึงเขาจะอายุสามสิบหก แล้วแต่ความคิดที่จะมีเมียมีลูกหรือที่เรียกว่า ‘ครอบครัว’ มันคงเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาคิดถึงเลยก็ว่าได้ก็ชีวิตเค้าออกจะสมบูรณ์แบบและมีสาวๆ มาให้เลือกไม่ซ้ำหน้าแล้วทำไมต้องต้องจำเจกับผู้หญิงคนเดียวด้วย

ชายหนุ่มพอใจที่จะให้ใครต่อใครมองเขาด้วยสายตายำเกรง หวาดผวาและเกรงกลัวเขาเติบโตมาอย่างแข็งแกร่งในฐานะบุตรคนชายคนที่สองของภรรยาที่จดทะเบียนสมรสอย่างถูกกฎหมายของ ‘ริคาโด้ ซิวีลิอาโน่’ พ่อของเขามีภรรยาหลายคนแม้ว่าพ่อจะไม่ใช่ ‘สามี’ ที่ดีนักแต่อย่างน้อยที่สุดไม่ว่าผู้หญิงคนไหนที่อ้างตัวว่ามีลูกกับพ่อเด็กคนนั้นจะได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีโดยไม่ต้องตรวจดีเอ็นเอเพื่อยืนยันสายสัมพันธ์ทางสายเลือด

แต่มีไม่กี่คนหรอกที่ ‘ริคาโด้ ซิวีลิอาโน่’ วางตัวไว้เพื่อสืบทอดกิจการหลายหมื่นล้านหนึ่งนั้นก็คือเขา-ฟรานเชสโก้ซิวีลิอาโน่

ชายหนุ่มปรายตามองหญิงสาวที่มองเขาอยู่ในเขาไม่ได้ยิ้มตอบเพียงก้มศีรษะเป็นเชิงทักทายให้เธอนิดหนึ่งแค่โปรยเสน่ห์เล็กๆ น้อยๆ พอเช็คเรตติ้งให้ตัวร่างสูงโปร่งเจ้าของความสูงหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรผมหยักศกปรกบ่างานและสวมชุดสูทสีเข้มซึ่งเป็นสีประจำตัวของเขางานหลักของเขายังคงเป็นพวกธุรกิจค้าเงินข้ามประเทศโยกย้ายเงินจากที่หนึ่งไปที่หนึ่ง แต่งานอดิเรกของเขาคือการถ่ายภาพแต่งานออกแบบโฆษณาก็เป็นเสมือนของเล่นยามว่างของเขาด้วยเหมือนกันฟรานเชสโก้คลั่งไคล้การเก็บภาพด้วยกล้องถ่ายรูป หลงรักเสียงลั่นชัตเตอร์เขามีอุปกรณ์เสริมครบครันรวมทั้งเลนส์ชนิดต่างๆ แต่เขาก็เรียนรู้ว่าการที่จะได้ภาพถ่ายที่ดีไม่ใช่ใช้เพียงกล้องและอุปกรณ์ต่างๆ อยู่ที่ฝีมือและความตั้งใจของคนกดชัตเตอร์

และสิ่งที่เขาพอใจที่สุดคือได้ฉายา ‘เจ้าชายมาเฟีย’

ชายหนุ่มแอบหาวเล็กๆ แล้วเดินหลบมาจากงานเลี้ยง นี่ไม่ใช่เวลานอนสำหรับเขามันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นแต่งานเลี้ยงที่น่าเบื่อไม่สามารถดึงดูดเขาไว้ได้ฟรานเชสโก้โบกมือลาเพื่อนแล้วเดินออกมาด้านนอกผับหรูขณะกำลังคิดอยู่ว่าจะไปทางไหนต่อดีเขาก็ได้ยินเสียงผู้หญิงโวยวายไม่ไกลนักเขาหันไปมองตามทิศทางของเสียงก็เป็นผับอีกแห่งที่อยู่ใกล้ๆหน้าผับมีซุ้มเล็กๆ ซึ่งเดาได้ว่าน่าจะเป็นซุ้มขายอะไรสักอย่าง

“อย่ามาเล่นตัวนักเลยน๊า เป็นแค่สาวเชียร์เบียร์” เสียงนักเที่ยวชายเอ่ยแซวทั้งที่ตัวเองก็อ้อแอ้

“พวกเราไม่ใช่สาวเชียร์เบียร์นะคะ กรุณาทำความเข้าใจเสียใหม่ด้วย” หญิงสาวคนหนึ่งในกลุ่มถอนหายใจหนักๆ เธอยกมือขึ้นกอดอกทำให้ชุดรัดรูปสีน้ำเงินเกาะอกมีโลโก้เครื่องดื่มผสมแอลกอฮอร์ชนิดหนึ่งเน้นสัดส่วนของเธอมากยิ่งขึ้น

“ก็รู้ๆ กันอยู่อย่าทำเป็นดัดจริตหน่อยเลย” ชายคนนั้นพยายามจะเข้ามากอดรัดปลุกปล้ำหญิงสาวต่อหน้าผู้คนที่เดินเข้า-ออกที่ผับแห่งนั้นแต่เธอเบี่ยงตัวหลบแล้วเตะผ่าหมากเข้าทันที!

“โอ๊ย”

“อุ๊ยคุณพี่ เป็นอะไรไปคะ อยู่ดีๆ ก็เข่าอ่อนลงไปนั่งกับพื้น” หญิงสาวหัวเราะคิกคักแล้วหันหลังเดินปัดมือเหมือนปัดเศษฝุ่นทันที่ไม่มีฝุ่นติดมือ

“อีนังนี่” ชายอีกคนพุ่งเข้าใส่ด้วยความโมโหและอับอายที่เพื่อนถูกผู้หญิงตัวเล็กๆ ล้มคว่ำต่อหน้าคนอื่นแต่หมัดของเขาก็ชะงักค้างในอากาศเมื่อมีมือแข็งแกร่งมายึดไว้ก่อน

“มึงเป็นใครวะ มายุ่งเรื่องชาวบ้านทำไม”

“จะเป็นใครก็ช่างเถอะแค่ไม่ชอบสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าก็พอ”

“เฮ้ยอย่ามาทำเป็นพระเอกแถวนี้นะเว้ย” คนถูกจับยังปากดีเขาพยายามจะดึงข้อมือตัวเองคืนเพื่อเป็นอิสระแต่ชายหนุ่มกลับออกแรงบิดเพียงนิดเดียวชายคนนั้นก็หลุดปากร้องเสียงหลงเพราะความเจ็บปวด

“เจ็บโว้ยอยากได้ก็เอาไปก็แค่อุ๊บ” ยังไม่ทันพูดจบมันก็ถูกต่อยเข้าที่ปลางคางจนสลบแน่นิ่งไร้เสียงพูดจาใดๆ อีก

หญิงสาวมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วเลิกคิ้วข้างหนึ่งไม่ได้มีอาการกรี๊ดกราดแบบเพื่อนสาวอีกสองสามคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ

“จะไม่ขอบคุณสักคำเลยหรือครับ” ฟรานเชสโก้เอ่ยถามพลางโปรยยิ้มทรงเสน่ห์แบบที่ทำให้สาวๆ สยบมาแล้ว

“ดิฉันจำไม่ได้ว่าขอให้คุณมาช่วยนี่” เธอยักไหล่แล้วหมุนตัวกลับมาเก็บของที่บูธของตนเอง

ฟรานเชสโก้ถึงกับอึ้งแต่พยายามเก็บอาการด้วยการเก็กมาดขรึม เพื่อนสาวคนหนึ่งกระตุกแขนหญิงสาวคนนั้นแล้วหันมายิ้มหวานให้เขา

“ยัยไป๋ พูดจาดีๆ หน่อยซิ คุณเขาช่วยเรานะยะ”

หญิงสาวถอนหายใจเบื่อๆ ก่อนหันกลับมามองชายหนุ่มร่างสูงหุ่นนายแบบอินเตอร์ “ฉันพูดว่าขอบคุณก็ได้ แต่บอกไว้ก่อนที่พูดเนี้ยเพราะฉันไม่ชอบเป็นหนี้บุญใคร”

ฟรานเชสโก้หัวเราะในลำคอแล้วก้าวเข้ามาใกล้ เมื่อยื่นห่างกันเพียงแค่ฟุตเดียวเขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าตัวของเธอนั้นสูงเพียงแค่ไหล่ของเขา ผมบอบสั้นแค่ปลายคางทำไฮไลน์แบบสาวเปรี้ยวแต่ดวงตาเธอที่จ้องมองเขากลับยิ่งบ่งบอกว่าเธอมั่นใจเกินร้อย         แต่ในวินาทีต่อมาเขากลับรู้สึกคุ้นเคยกับดวงตาคู่นี้

“จ้องอะไร อยากให้พูดว่าขอบคุณก็พูดแล้วไงหรือหูไม่ดีไม่ได้ยิน”

“เปล่า ผมแค่คิดว่าเราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า”

หญิงสาวหัวเราะร่วน “มุขเชยมากเลยอะฉัน ไม่ว่างคุยด้วยหรอกนะ จะรีบเก็บบูธแล้วกลับไปกินข้าวแฟนหนะ”

หญิงสาวกระตุกยิ้มเยาะเย้ยที่มุมปากแล้วสะบัดหน้าหนีอย่างไม่สนใจชายหนุ่มที่ยืนมองเธออยู่ ฟรานเชสโก้กลั้นหัวเราะแล้วก้มศีรษะให้เล็กน้อยก่อนหมุนตัวจากมา แต่ในนาทีหนึ่งเขากลับชะงักและหันหลังกลับไปแต่ก็เห็นเพียงแผ่นหลังของหญิงสาวคนนั้น เขาพยายามนึกแต่ก็ยังนึกไม่ออกจึงได้แต่ก้าวเท้าเดินมาที่จอดรถของตัวเอง

ในขณะที่กำลังก้าวเข้าไปนั่งในรถเสียงมือถือก็ร้องดังเรียกอย่างกวนใจทำให้เขาต้องรีบกรอกเสียงตอบรับไปทันที

“รู้สึกจะสนุกกับการอยู่เมืองไทยจังนะ”

“ก็ใครทำให้ผมต้องเที่ยวมาเที่ยวไปแบบนี้เล่า” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเนื่องๆ กับผู้เป็นพ่อ

“ฉันไม่ได้โทรทางใกล้มาชวนทะเลาะกับแกนะ”

“แล้วพ่อโทรมาทำอะไร ข่าวดีรึ เรียกผมกลับบ้านไม่ต้องกลับมาที่ๆ มันร้อนระเบิดแบบนี้ใช่ไหม”

“ข่าวดีหรือเปล่าไม่รู้แกต้องไปถามลุงโทนี่ของแกเอง”

“พ่อย่ามาพูดตลก ลุงโทนี่ตายไปครบร้อยวันแล้วนี่”

“เรื่องนั้นฉันรู้ แต่ที่ไม่รู้คือแกไปทำเสน่ห์อะไรไว้กับลุงโทนี่เอาเป็นว่าพินัยกรรมของลุงโทนี่มีชื่อแกอยู่ แกต้องมารับผิดชอบเรื่องนี้”

“รับผิดชอบ” ฟรานเชสโก้ครางในลำคอ ฟังดูมันไม่ใช่ความหมายที่ดีนักหรอก

“รีบกลับก็แล้วกัน คนที่นี่เขาอยากขย้ำคอแกเต็มที่แล้ว”

“ครับ” ฟรานเชสโก้ปิดมือถือใจจริงเขายังมีคำถามอีกมากมายแต่เลือกที่จะเก็บไว้ก่อนเพราะมั่นใจว่าพ่อของเขาก็คงไม่รู้คำตอบของคำถามที่เขาต้องการ

“กลับหนะกลับอยู่แล้ว แต่ไม่อยากกลับไปมีเรื่องนะซิ”

ชายหนุ่มโครงศีรษะแล้วขับรถมุ่งกลับมาที่บ้านพักของตนเอง สำหรับเขาไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเก็บเสื้อผ้าอะไรหรอกแค่หยิบวีซ่ากับพาสปอร์ตก็เรียบร้อยแล้ว

แต่เรื่องราวของลุงโทนี่นั้นเล่า ยังรบกวนจิตใจเขาอยู่ ลุงโทนี่ที่เขารักและเคารพเหมือนพ่อคนที่สองก็ว่าได้.

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด