3 แสงแรก
3 แสงแรก
“เหม่ออะไรยะ แม่รองประธานนักเรียน!”
พิมพ์ฝันสะดุ้งจนหนังสือที่วางตรงหน้าตกพื้น แต่เมื่อหันไปมองก็เห็นดวงตาสีฟ้ากับรอยยิ้มทะเล้นของแนนซี่เพื่อนสนิทที่สุดในชั้นเรียนมอ 5 ของโรงเรียนเอกชนชื่อดังที่เธอร่ำเรียนมาตั้งแต่เข้ามอ 4
“เปล่า”
พิมพ์ฝันก้มเก็บหนังสือที่หล่นพื้นก่อนย้ายสายตาจากนอกหน้าต่างกลับมาที่เพื่อนสาวตรงหน้า แนนซี่มีรูปร่างเพรียวบางเหมือนนางแบบวัยรุ่นผมสีน้ำตาลประกายทองและดวงตาสีฟ้าสวยทำให้เธอยิ่งดูโดดเด่น ผิดกับพิมพ์ฝันที่ค่อนข้างผอมบาง จึงไม่น่าแปลกที่จะมีหนุ่มๆ มาขายขนมจีบให้แนนซี่วันละหลายรายและรายละหลายรอบ
“เหม่ออย่างนี้จะสรุปการประชุมรู้เรื่องเหรอ” แนนซี่นั่งที่เก้าอี้ว่างข้างๆ เพื่อนซี้วันนี้ชั่วโมงภาษาฝรั่งเศสอาจารย์ลาป่วยทำให้เพื่อนๆ ในห้องเรียนทำกิจกรรมอื่นแทนชั่วโมงที่ว่างนี้
“รู้ซิ” พิมพ์ฝันหัวเราะเบาๆ ถอดแว่นตากรอบใสที่สวมอยู่เก็บใส่กล่อง เธอจะใส่แว่นเฉพาะตอนอ่านหรือเขียนหนังสือ
“กิจกรรมงานฉลองโรงเรียนอายุครบ 60 ปีน้องๆ มอ 4 จะออกร้านขายของ ส่วนพวกมอ 5 แสดงดนตรีแล้วพี่มอ 6 จะแสดงละครเวทีไงจ๊ะ”
“เรื่องนั้นใครก็รู้ทั้งโรงเรียนแล้วยะยัยพิมพ์” แนนซี่ทำหน้ายุ่งยื่นปากยาวแต่ดูแล้วน่ารัก “ฉันหมายถึงว่าพวกเรามอ 5 สรุปได้หรือยังว่า ใครจะได้เป็นนักร้องนำต่างหาก”
พิมพ์ฝันร้องอ้อออกมาแล้วพยักรับหงึกหงัก เพิ่งประชุมสรุปงานเสร็จไปเมื่อศุกร์ที่แล้ว ข่าวกระจายไปเร็วมากกว่าที่คิด ขนาดที่รองประธานนักเรียนชั้นมอ 5 อย่างเธอตอบคำถามของเพื่อนๆ แทบไม่หวาดไหว แน่นอนว่าใครก็อยากเป็นนักร้องนำให้วง SkY วงดนตรีที่สร้างชื่อให้กับโรงเรียนในการแข่นขันประกวดวงตรีของวิทยุคลื่นหนึ่งที่ฮอตสุดๆ ไม่ใช่แค่ฝีมือที่เทียบชั้นมืออาชีพแต่รวมถึงความหล่อเหลาของสมาชิกทั้งสามในวงนั่นก็คือโจเซฟินมือกีต้าร์ควบตำแหน่งร้องนำแมกกี้มือเบสและยูยะคุงมือกลอง ก็ไม่น่าแปลกใจนักว่าโรงเรียนเอกชน ABC ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นโรงเรียนที่รวมเอานักเรียนหน้าตาไว้มากที่สุด แนนซี่กะพริบตาถี่ๆ ทำตาหวานเชื่อมแต่พิมพ์ฝันยิ้มแหยรู้ได้ในทันทีว่าอาการแบบนี้ต้องอ้อนเอาอะไรแน่ๆ แต่แนนซี่คงลืมไปว่าวิธีใช้ได้กับเฉพาะหนุ่มๆ เท่านั้น ผู้หญิงด้วยกันมองแล้วขนแขนแสตนอัพ!
“ผลในที่ประชุมเราสรุปว่าจะมีการคัดเลือกนักร้อง เพื่อร้องนำในงานฉลองของโรงเรียนจ๊ะ โดยให้นักเรียนชั้นมอ 5 ที่สนใจมาสมัครจ๊ะ”
“โห! ได้ไงเนี้ย!!!”
“ก็แบบนี้ถึงยุติธรรมที่สุดนี่”
แนนซี่ยักไหล่ท่าที่คิดว่าน่ารักสุดๆ เป็นจังหวะที่เสียงออดหมดเวลาเรียนดังขึ้น แนนซี่ชวนพิมพ์ฝันแวะกินไอศกรีมก่อนกลับบ้าน แต่เด็กสาวผมดำที่ถูกรวบอย่างเรียบร้อยส่ายหน้าปฏิเสธ
“อะไรอีกละแม่รองประธานนักเรียน”
“เย็นนี้มีประชุมสภานักเรียนจ๊ะ”
“ประชุมอะไรนักหนายะ ฉันคิดผิดหรือเปล่าเนี้ย! ที่ดันเพื่อนรักให้สมัครเป็นประธานนักเรียน”
“แต่ก็คว้าได้ตำแหน่งรองประธานนักเรียนแทน” พิมพ์ฝันพูดเสริมแต่กลับหัวเราะสดใสออกมา
แนนซี่โอดครวญแล้วนึกถึงตอนที่ตัวเธอเป็นคนเขียนชื่อพิมพ์ฝันสมัครเป็นประธานนักเรียนชั้นมอ 5 แม้จะช่วยกะพริบตาถี่ๆ หาเสียงจากหนุ่มๆ แต่คะแนนของพิมพ์ฝันก็ได้ที่สองรองจากนายถาวรเด็กห้องคิงด้วยคะแนนที่ฉิวเฉียด
“ก็มีตัวแทนกลุ่มกอสอนอเขาอยากเป็นส่วนหนึ่งของงานฉลองนี่”
“โหย!พวกอาศัยตึกเรียนของเรานะเหรอ”
“พูดแบบนี้ได้ยังไง แนนซี่”
“อุ๊ย!อาจารย์สมชาย!”
เด็กสาวดวงตาสีฟ้าทำหน้าจ๋อยแอบหลบหลังเพื่อนรักที่ยกมือไหว้อาจารย์ประจำวิชาภาษาไทยและเป็นอาจารย์ที่ดูแลนักเรียนภาคพิเศษที่เรียกว่าการศึกษานอกโรงเรียนหรือ กศน.
“โรงเรียนเราสนับสนุนให้มีการเรียนรู้ตลอดชีวิตและการที่เราเปิดโอกาสให้ผู้ที่ใฝ่รู้ได้มาศึกษาเทียบเท่านักเรียนปกติก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่เหรอ หัดคิดถึงใจเขาใจเราบ้างถ้าพวกเขามีพร้อมเหมือนพวกเธอก็คงได้ร่ำเรียนในภาคปกติบางคนต้องทำงานไปเรียนไป แต่พวกเธอเอาแต่เที่ยวเล่นไปวันๆ พวกเธอน่าเอาพวกเขาเป็นแบบอย่างถึงจะถูก”
“ค่ะ...ค่ะ หนูขอโทษ” แนนซี่ยกมือไหว้แบบขัดไม่ได้เห็นมาดเงียบขรึมออกจะเชยๆ ด้วยซ้ำ แต่เวลาได้เทศนาก็เล่นเอาหูชาเหมือนกัน
“อาจารย์จะเข้าประชุมเหมือนกันเหรอคะ” พิมพ์ฝันถามอาจารย์สมชายแถมพยายามกลั้นหัวเราะขำเพื่อนที่หน้าซีด ต่อให้โบ๊ะแป้งแค่ไหนก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว
“ฮืม”
อาจารย์มาดขรึมพยักหน้ารับก่อนก้าวเท้าเดินนำหน้าไปก่อน พิมพ์ฝันโบกมือลาเพื่อนที่แทบอยากจะวิ่งหนีเสียให้ได้ พิมพ์ฝันชื่นชมอาจารย์สมชายมากเท่าที่เธอเคยได้ยินมาอาจารย์สมชายเป็นผู้ริเริ่มทำโครงการเกี่ยวกับการสนับสนุนเรื่อง กศน. ด้วยความมุ่งมั่นตั้งแต่ก่อนเธอเข้าเรียนที่นี่ ท่ามกลางเสียงคัดค้านของอาจารย์บางกลุ่มที่กลัวจะโรงเรียนจะเสียภาพพจน์ แต่ในที่สุดท่านผู้อำนวยการก็อนุมัติให้ใช้สถานที่ของโรงเรียนเป็นศูนย์ กศน. พิมพ์ฝันเคยเห็นบางคนอายุรุ่นแก่กว่าคุณพ่อเธอด้วยซ้ำยังมาเรียนต่อ ทำให้เธอยิ่งรู้สึกปลื้มอาจารย์สมชายมากขึ้น
ถ้าเธอได้เป็นครู เธอจะเป็นครูที่ดีเหมือนที่อาจารย์สมชายเป็นให้ได้เลย
เมธัสเสยผมยาวที่ลงมาปรกหน้าแล้วสวมหมวกให้เข้าที่ก่อนมองไปรอบๆ ตัวและก้าวเท้าตามแผ่นหลังของโมกข์ที่ผิวปากอารมณ์ดี
“ทำงานที่นี่กับเราไปก่อนก็ได้ ถ้าไม่ชอบยังไงค่อยหางานใหม่อย่างอื่น”
โมกข์พาเพื่อนซี้เดินมาโรงพิมพ์กนกซึ่งเป็นโรงพิมพ์เก่าแก่ในย่านนี้ เมธัสถึงกับอ้าปากค้างเมื่อเห็นโรงพิมพ์ที่คุ้นตามาตั้งแต่เด็ก แม้โรงพิมพ์ยังขนาดเท่าเดิมแต่ดูทันสมัยมากกว่าที่เคยเป็น
“จำได้ไหมเนี้ย” โมกข์หัวเราะเสียงดัง “อาปองเข้ามารับช่วงต่อ เมื่อก่อนมันพิมพ์แค่หนังสืองานศพกับพวกการ์ดต่างๆ ตอนนี้อาปองเขาลงทุนเอาคอมพ์เข้ามาช่วยมีแบบดิจิตอลแล้วก็มี Book On-Demand พวกนักเขียนที่ต้องการพิมพ์หนังสือในจำนวนน้อยได้ในเวลาและราคาที่เหมาะสม ไม่ต้องคิดมากหรอกอาหน้าดุแต่ใจดี” คนพูดยิ้มระรื่น
“ก็...คงรบกวนนายก่อนล่ะตอนนี้ ไม่อยากให้แม่วรรณต้องเหนื่อยคนเดียว” เมธัสพึมพำออกมาเบาๆ ตอนนี้เขาคิดแค่อยากหาทางแบ่งเบาค่าใช้จ่ายในบ้าน หลังจากที่ตัดสินใจจะมาใช้ชีวิตในเมืองหลวงอย่างนี้
“เอ่อ...อา...อาปองฮะนี่เอฟเพื่อนโมกข์ฮะ อาจำหน้ามันได้มั้ย ซี้เก่าเมื่อสมัยโมกข์เด็กๆ ไงฮะ”
ปองศักดิ์หันมามอง เขาพยักหน้ารับแต่ดูไม่ค่อยสนใจมากนัก หนวดเครารกรุงรังจนดูน่ากลัวและท่าทางการสั่งงานให้ลูกน้องตรวจแก้ไขแบบจากแท่นพิมพ์ก็ดูมีอำนาจทำให้ใครต่อใครยำเกรงได้ไม่น้อยเลย
“อาปองฮะให้เพื่อนโมกข์มาทำงานที่นี้ด้วยคนนะฮะ” หนุ่มตาตี่อ้อนวอนทำเอาคนเป็นอาหันมามองอย่างสนใจ
“จะไหวเหรอ” ปองศักดิ์ยิ้มหนวดกระดิก
“พอได้ฮะ” เมธัสขยับปีกหมวกไว้ด้านหลังเพื่อให้มองเห็นแววตาเด็ดเดี่ยวของเขาที่ฉายแววออกมาอย่างที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว
“ก็ลองดู แล้วนี่พักที่ไหนมีที่พักหรือยัง” ปองศักดิ์เปิดน้ำดื่มก่อนที่จะสั่งงานให้ลูกน้องมาดูแลแท่นพิมพ์ต่อ
“พักกับน้าวรรณฮะ” โมกข์ตอบแทนแล้วยิ้มร่า แต่อาหันขวับแทบตั้งตัวไม่ทัน
“พักกับใครนะ!”
“แม่วรรณครับที่อยู่ซอยเจ็ดครับ” เมธัสตอบออกจะแปลกใจกับสีหน้าท่าทางตกใจของเจ้านายใหม่
“แม่วรรณเขามีลูกตัวโตอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ไม่ใช่ลูกแท้ๆ หรอกฮะอาก็เอฟก็เคยอยู่ที่นี่ตอนเด็กๆ ไงแล้วก็ย้ายไปอยู่กับพ่อ แต่ตอนนี้กลับมาอยู่กับน้าวรรณ ก็คนเขาเลี้ยงกันมาตั้งแต่เล็กๆ ก็เรียกแม่เรียกลูกไม่แปลกนี่ฮะอา”
“อ๋อเหรอ” ปองศักดิ์เผลอยิ้มอย่างสบายใจได้รู้สึกหายใจโล่งอก แต่ก็พยายามปรับสีหน้าขรึมไม่ให้เด็กหนุ่มทั้งสองคนจับได้
“งั้น...วันนี้จะไปเล่นที่ไหนก็ไปเถอะพรุ่งนี้ค่อยเริ่มงานก็ได้”
“ฮะ” โมกข์รับคำอย่างงุนงงนึกแปลกใจที่วันนี้อาใจดีผิดปกติ ทุกทีจะไม่ยอมปล่อยให้ไปไหนถ้ายังไม่ได้เวลาเลิกงานหรืองานยังไม่เสร็จ จนคนที่เคยร่วมงานกับแอบเปลี่ยนชื่อจากปองศักดิ์เป็นเค็มศักดิ์แล้ว
“เจ้าโมกข์!” เสียงอาตะโกนไล่หลังทั้งสองหนุ่มกอดคอเดินพ้นประตูโรงพิมพ์แล้ว แต่ต้องเหลียวกลับมามอง
“หมวกกันน็อกนะใส่ซะ!อาไม่อยากเสียค่าปรับให้แล้วอ้อ! แล้วก็อย่าขับรถให้มันเร็วนักยังไม่อยากไปทำศพวะ”
“คร๊าบ…ผม” โมกข์ยกมือแตะปลายคิ้วราวกับทหารหนุ่มรับคำสั่งท่านนายพลใหญ่ หลายคนหัวเราะชอบใจกับภาพที่เห็น ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับอาหลานคู่นี้
“ไปไหนดี” โมกข์ส่งหมวกกันน็อกสีแสบให้เพื่อน “นายพอจะรู้ทางแถวนี้ดีแล้วนะ เผื่ออยากไปไหนมาไหนจะได้ไม่รบกวนคนอื่น”
“ก็กวนนายแค่นี้แหล่ะไม่อยากตอบแทนพระคุณ”
“เฮ้ย! เกินไป..เพื่อนกัน แค่นี้ไม่มากหรอกเราเองก็ไม่ค่อยสนิทกับใครมากนัก มีแต่พวกแก่กว่าถ้าจะรุ่นเราก็มีแต่ไอ้ขี้ยาขืนอยู่ใกล้พ่อเรารู้เข้าเราเข้าบ้านไม่ได้แน่”
โมกข์บิดคันเร่งแล้วพาเพื่อนรักที่ซ้อนท้ายรถคู่ใจเข้าไปที่ห้างใหญ่แห่งหนึ่ง.