ตอนที่แล้ว1 ทักทาย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป3 แสงแรก

2 การกลับมาของคำว่าเพื่อน


2 การกลับมาของคำว่าเพื่อน

เสียงนาฬิกาปลุกดังนานหลายทีแล้ว แต่เจ้าของห้องนอนรกๆ กลับไม่ใส่ใจ แม้ว่าตัวเองจะตื่นมานั่งบรรจงใช้มีดโกนหนวดจัดการเคราบางๆ ออกแล้วยิ้มเท่ใส่กระจกหม่นๆ ตรงหน้า ก่อนจะควักเจลในกระปุกมาขยุ้มใส่ผม ปล่อยให้มันกระเซอะกระเซิงและปัดผมด้านหน้าให้ตั้งขึ้นแล้วหยิบผ้าคาดหน้าผาก

“ไอ้โมกข์! นาฬิกาแหกปากลั่นบ้านแล้วยังไม่ลุกอีกเรอะ”เสียงดุๆ แบบต้นตำรับของผู้เป็นตะโกนลั่น ตามด้วยเสียงกระทุ้งที่พื้นห้องของเด็กหนุ่มผู้อยู่บนชั้นสองของตึกเก่าๆ สามชั้น เขายิ้มให้กับตัวเองในกระจกแล้วขยับเสื้อยืดตัวเล็กที่สวมใส่ให้เข้าที่เข้าทาง ก้าวเดินออกจากห้องนอนโดยไม่สนใจจะปิดเสียงนาฬิกาปลุกที่ร้องเตือนเวลาตีห้าครึ่งแล้ว    บริเวณชั้นล่างมีแผงขายหนังสือจำพวกนิตยสารและหนังสือพิมพ์                พื้นที่อีกครึ่งหนึ่งจะตั้งโต๊ะขายกาแฟ-โอเลี้ยงด้านในสุดของร้านจะมีแต่หนังสือพิมพ์ที่รอให้นำไปส่งตามบ้านเช่นทุกเช้า

“พ่อ! กาแฟดำแก้วเด่ะ” เด็กหนุ่มมาดเท่ร้องสั่งทั้งๆ ที่ยังก้าวลงไม่พ้นบันไดบ้าน

“อยากกินก็ชงเองซิวะ แก้วละสิบบาท ปาท่องโก๋ตัวละสองบาท” ชายศีรษะล้านร่างอ้วนกลมตอบโดยไม่หันไปมองคนถามที่ทำหน้าเบื่อหน่าย

“ลูกชายจะไปทำงานขอกาแฟแก้วหนึ่งก็ทำให้ไม่ได้  แถมคิดเงินอีกแล้วจะเอาที่ไหนจ่าย”

“แกก็จดลงใส่สมุดบัญชีซิ มีเมื่อไหร่ก็จ่ายเหมือนคนอื่นก็ได้น่า...” แม้ว่ามือจะสาละวนกับการทอดปาท่องโก๋ในกระทะทองเหลืองใบใหญ่ แต่จะให้อบรมลูกชายคนเดียวของบ้านก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย

“งก”

โมกข์บ่นเบาๆ แต่ก็เรียกสายตาของผู้เป็นพ่อให้หันมามองได้ครู่หนึ่ง ลูกชายคนเล็กวัยสิบเจ็ดฝนเดินกลับไปจัดหนังสือพิมพ์ลงถุงผ้าใส่ท้ายรถมอเตอร์ไซค์คันเก๋า  แม้จะเก่าแต่เจ้าของก็ดูแลอย่างดีเหมือนเป็นเพื่อนเป็นคู่หูคู่ซี้ ยังไม่ทันจะสตาร์ทเครื่องเขาก็รู้สึกว่ามีคนขึ้นมาซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์คันเก่งของเขา มันทำให้เขาหันกลับไปมองด้วยแววตาดุดัน แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มของผู้มาเยือนเขากลับพูดอะไรไม่ออก

“ไอ้โมกข์ยังไม่ไปส่งหนังสือพิมพ์อีกเรอะ” เสียงพ่อของเขาสั่นลั่นทำให้เขารู้สึก ‘ตื่น’ เต็มตา

“ไปแล้วคร๊าบ...”

คนตอบไม่ใช่ลูกชายตาตี่   แต่กลับเป็นเพื่อนหนุ่มวัยเยาว์ที่เวลานี้ปล่อยผมยาวระบ่า

“รีบไปเด่ะ พ่อนายสั่งแล้ว”

เด็กหนุ่มกระตุ้นเพื่อน เขารวบผมด้วยหนังยางเส้นเล็กและรถมอเตอร์ไซค์ก็ทะยานออกจากบ้านที่ผู้คนแวะมากินปาท่องโก๋กับกาแฟร้อนแต่เช้าตรู่            พร้อมกับเสียงตะโกนลั่นด้วยความดีใจและเสียงเร่งเครื่องเต็มแรง

“ไม่ได้ทดสอบฝีมือนายมานานแล้ว...” คนซ้อนท้ายไม่พูดเปล่า              แต่หยิบหนังสือพิมพ์ม้วนในมือแล้วขว้างไปใส่ช่องหนังสือพิมพ์หน้าบ้านแต่ล่ะหลังในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง

“แม่นแฮะ” โมกข์เอ่ยปากชมเมธัสเมื่อมองดูผลงานจากกระจกส่องหลัง

“ทุกหลังเลยเหรอ”

“ห้ามพลาดนะโว้ย!!”

สายลมยามเช้าและแสงอ่อนโยนสาดแสงจูบแผ่นฟ้าเป็นสีทองระเรื่อเรืองรอง ภาพวัยเยาว์ของเด็กหนุ่มทั้งคู่หวนคืน เขามองเห็นตัวเองเป็นเด็กวัยสิบขวบปั่นจักรยานคันโตไปตามทางโรยกรวด หนังสือพิมพ์ในเป้หนักอึ้งทำให้เหงื่อท่วมใบหน้า  บ่อยครั้งที่หยุดพักใต้ร่มไม้จนเผลอหลับและทำให้หนังสือพิมพ์เหลือและซ้ำยังทำให้ไปโรงเรียนสาย                เจ้าประจำที่ถูกยืนกางแขนคาบไม้บรรทัดหน้าเสาธงโรงเรียนด้วยเนื้อตัวมอมแมมคือเมธัสกับโมกข์

“ไปไงมาไงล่ะเอฟ” เด็กหนุ่มผมสั้นเอ่ยถามแล้วเลี้ยวเข้าซอย

“ไม่มีที่จะไปไม่มีที่จะมา” กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ที่เขาไม่รู้จักพันธุ์ลอยมาแตะปลายจมูกเขาเบาๆ รู้สึกเย็นสบายอย่างบอกไม่ถูก

“อยู่ๆ ก็ไปอยู่ๆ ก็มา” โมกข์บ่นพึมพำคล้ายไม่ใส่ใจกับเหตุผลมากนัก

“เจ้าไม่มีศาลคนไม่มีบ้านก็อย่างนี้แหล่ะ ว่าแต่นายเถอะเป็นไงบ้างล่ะชีวิตของนาย”

“ไม่เลวไม่ร้ายแต่ก็...ไม่ดี” น้ำเสียงแผ่วเบาก่อนที่จะหัวเราะเสียงดังออกมาเสียงหัวเราะเยาะเย้ยชีวิตตัวเอง

โมกข์ชะลอรถเมื่อใกล้ถึงบ้านน่ารักน่ามองบ้านหนึ่ง ทำให้เมธัสรู้ว่ากลิ่นหอมของดอกไม้ที่ลอยมาแตะปลายจมูกเขานั้นมาจากไหน

“สวัสดีตอนเช้าครับผม!” โมกข์เอ่ยทักสาวน้อยในชุดนักเรียนสีขาวสะอาดตา ผมยาวของเธอถูกถักเปียไว้เรียบร้อยและผูกโบสีแดงน่ารัก

“ค่ะ” น้ำเสียงที่คุ้นหูทำให้พิมพ์ฝันหันมายิ้มรับ เธอเหลือบตามองดูคนแปลกหน้าที่ซ้อนท้ายรถ  และหลบสายตาทันทีที่ถูกมองกลับ

แค่ยิ้ม...ทำไมหัวใจเต้นแปลกๆ ชอบกล

เมธัสได้แต่ยิ้มค้างเมื่ออีกฝ่ายไม่ยิ้มตอบ ยืนห่างกันแค่รั้วกั้น แต่เขาก็สังเกตเห็นใบหน้าหวานใสผิวเนียนละเอียดราวกับไม่เคยถูกแดดถูกลม             ใกล้ร่างบางมีสุนัขพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ตัวใหญ่แถมในปากยังคาบลูกบอล

“ว่าไงโกโก้”

โมกข์ส่งหนังสือพิมพ์ให้พิมพ์ฝัน   ก่อนจะยื่นมือลอดรั้วไปลูบหัวสุนัขตัวใหญ่เป็นการทักทาย โมกข์เป็นคนรักสัตว์แต่เพราะพ่อไม่ยอมให้เลี้ยงโดยอ้างเรื่องกิจการทอดปาท่องโก๋       เมธัสมองดูในบ้านที่รถเก๋งคันหรูจอดอยู่ เป็นจังหวะเดียวกับชายในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำเดินออกมาจากในบ้าน

“ช่วงนี้โกโก้ไม่ได้ไปที่สนามเด็กเล่นเลยนะฮะ” โมกข์ถามยิ้มทั้งปากและดวงตาขณะที่มือก็ยังลูบตัวสุนัขขนยาวนุ่มมือ

“อ้อ...ช่วงนี้พิมพ์ติดอ่านสอบกลางภาคเลยไม่ได้พาโกโก้ไปวิ่งข้างนอกเลยค่ะ”

“จะพาโกโก้ไปเดินเล่นเมื่อไหร่เรียกผมนะฮะโกโก้ตัวใหญ่พิมพ์เอาไม่อยู่หรอก”

โมกข์ยิ้มกว้างเมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้ารับ     เสียงตะโกนเรียกชื่อพิมพ์ฝันจากในบ้านทำให้เด็กสาวต้องโบกมือลา โมกข์กลับมาที่รถของตัวเองเมื่อเพื่อนขึ้นซ้อนเรียบร้อยก็เคลื่อนรถของตนไปยังบ้านอื่นๆ อีกหมู่บ้านหนึ่ง

“ใครเหรอ” เมธัสเอ่ยถามขึ้นอย่างแปลกใจ

“ชื่อพิมพ์ฝันเราส่งหนังสือพิมพ์ให้ทุกวันก็เลยทักบ้าง ย้ายมาตอนนายย้ายไป ทำไมเหรอ” โมกข์เอียงคอถามกลับ

เพื่อนผมยาวกลับส่ายหน้าปฏิเสธ    แต่ดวงตากลมโตกลับเด่นชัดในความรู้สึกของเขาและประทับลงกลางใจอย่างที่เขาไม่รู้ตัว

“นายนี่มันชอบหมาเหมือนเดิมนะ”

“ใช่” โมกข์พยักหน้ารับ “แล้วพ่อก็ยังใจแข็งเหมือนเดิม”

“จริงอ๊ะ!” เมธัสหัวเราะเสียงดังออกมาอย่างไม่เกรงใจใคร พ่อลูกคู่นี้เกิดมาเพื่อเป็นคู่กัดเสียจริง

“ขอเวลาเดี๋ยวนะเพื่อน” โมกข์จอดรถไว้ข้างทางเมื่อลงรถเรียบร้อยแล้วเขาก็เอาถุงใส่เศษอาหารออกมายังไม่ทันวางไว้ที่พื้น หมาจรสามสี่ตัวก็เดินกระดิกหางเข้ามาใกล้ๆ

“เราไม่คิดว่านายจะรักหมาขนาดนี้” คราวนี้เมธัสเอ่ยด้วยน้ำเสียงชื่นชมอย่างจริงใจ          แม้เขาจะไม่ได้เจอเพื่อนรักมาหลายปี                แต่แววตาขณะเอาเศษอาหารไปให้หมาจรจัดแบบนี้เป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความสุข

“ก็ทำไงได้เล่า...พ่อไม่ให้เลี้ยงนี่” โมกข์หัวเราะเบาๆ เมื่อจัดการเอาเศษอาหารให้หมาจรจัดเสร็จแล้วเขาก็เรียกเพื่อนให้ขึ้นรถ “ถ้าวันหนึ่งเรามีบ้านของตัวเองเมื่อไหร่ เราจะเลี้ยงหมาสักโหลหนึ่งเลย”

“ถึงวันนั้นเราจะไปช่วยเลี้ยงนะ”

“ได้ซิ” โมกข์รู้ว่าเพื่อนเอ่ยจากใจจริงไม่ได้ประชดประชันเหมือนคนอื่นเวลาที่ได้ยินความฝันของเขา

รถมอเตอร์ไซค์เคลื่อนมาได้ไม่นานนักโมกข์ก็ชะลอรถ

“นั่นบ้านหลุยส์” โมกข์ชี้ไปที่ตึกแถวฝั่งขวามือของเขา              เขาพามอเตอร์ไซค์มาจอดนิ่งที่หน้าตึกแถวกลางเก่ากลางใหม่แห่งหนึ่ง

“ป้าฮะ...ป้า” โมกข์กระโดดลงจากรถพร้อมกับเรียกผู้หญิงที่อยู่ในชุดกระโจมอกกำลังกวาดลานหน้าร้านที่เป็นบูติกเสื้อผ้า

“หลุยส์อยู่ไหมฮะ”

“หลุยส์เหรอนี่ฉันก็ไม่เห็นหน้ามันมาเป็นอาทิตย์แล้ว               ไม่รู้ไปซุกหัวอยู่ที่ไหน บ้านช่องก็ไม่รู้จักกลับ จะเอาเงินมาให้ใช้บ้างก็ไม่ได้…”

เสียงพร่ำบ่นยังไม่เงียบไปโมกข์ก็ถอยทัพกลับมาที่รถและเพื่อนซี้คงเข้าใจสภาพดีจนไม่อธิบายเพิ่มอีก  โมกข์จึงขับรถออกมาอย่างเงียบๆ

“กินอะไรมายัง เดี๋ยวส่งหนังสือพิมพ์หมดแล้วจะพาไปกินข้าวมันไก่”

คันเร่งถูกบิดเต็มแรงเมื่อเมธัสพยักหน้ารับ   แดดกำลังเริ่มร้อนขึ้นทุกขณะและดูเหมือนชีวิตคนกรุงเริ่มวุ่นวายมากขึ้นทุกที    ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลามากเท่าไหร่ที่คนแปลกหน้าคนหนึ่งที่จะพยายามปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมที่ดูแปลกตาและชีวิตที่ดูแปลกใหม่เหมือนเพิ่งจะเริ่มบรรเลงขึ้นเท่านั้น

“ไม่อิ่มสั่งเพิ่มได้นะเอฟ” เสียงอาทรของเพื่อนถามอย่างเป็นห่วง          โมกข์สังเกตดูรูปร่างที่เปลี่ยนไปของเพื่อนรัก ผิวที่เคยขาวซีดไม่เพราะแทบไม่โดดแดด            เวลานี้กลับเปลี่ยนเป็นสีแทน ร่างกายสูงใหญ่กว่าเขาเป็นคืบทำให้เขาเหมือนเด็กขาดสารอาหารเสียอย่างนั้น

“อิ่มวะ...อีกอย่างเราไม่อยากให้นายจ่ายค่าข้าวเราเยอะด้วย” เมธัสมองหน้าเพื่อนด้วยแววตาที่รู้สึกตรงจากใจก่อนจะหันมองดูรถราที่เริ่มแน่นถนน ร้านข้าวมันไก่ที่ตั้งโต๊ะริมทางเดินเท้าทำให้คนต้องเดินเบียดกันจนตัวลีบ

“ยังคิดมากเหมือนเดิมนะ  อย่างนี้มันต้องเลี้ยงใหญ่ถึงจะถูก!เพื่อนรักกลับมาทั้งคน แต่หลุยส์ไม่อยู่บ้าน...คงตามหายากหน่อย” โมกข์ยกมือชูสองนิ้วเรียกเป็นสัญลักษณ์เพิ่มจานที่สอง

“แม่วรรณบอกว่าหลุยส์อยู่ร้านทำผมแถวประตูน้ำ” น้ำขวดที่สองถูกรินลงแก้วทั้งสองใบของทั้งสองคน

“ก็ใช่” เขานิ่งถอนหายใจไปหนึ่งเฮือก “แต่จริงๆ ไม่ค่อยอยู่หรอกยัยนี่ชีพจรลงเท้าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง”

“หลุยส์ไม่อยู่บ้านแล้วอยู่ไหน” เมธัสปล่อยผมยาวที่มัดไว้ให้เป็นอิสระ โมกข์มองหน้าเพื่อนนิ่งก่อนเบ้ปากยักไหล่แล้วกินข้าวมันไก่ต่อไป

“แล้วโมกข์ละ...ไม่เรียนเหรอ…” เขาถามอย่างเพิ่งนึกได้

“เรียน...แต่เรียนแค่วันอาทิตย์วันเดียว” คนตอบยิ้มๆ ทำหน้าเจ้าเล่ห์ “พ่อเราไม่มีเงินจะส่งเราเรียนต่อหรอก เอาเงินไปรักษาแม่หมดตั้งแต่ตอนนั้นไง” โมกข์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

แม้ภายนอกดูเหมือนโมกข์กับพ่อไม่กินเส้นกัน แต่เขาก็รู้ดีว่าพ่อเองก็ห่วงอนาคตของเขา ตอนนั้นแม่ป่วยหนักด้วยโรคมะเร็งแม้จะพยายามเท่าไหร่ก็ยื้อชีวิตแม่ไว้ไม่สำเร็จ เขาไม่เคยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเลยที่ตัวเองมีชะตาชีวิตแตกต่างจากเด็กวัยเดียวกัน

“แต่ก็ดูนายมีความสุขดี” เมธัสพูดเบาๆ นึกกลัวว่าบางคำอาจจะกระทบจิตใจเพื่อนให้ตอกย้ำในส่วนที่ด้อยกว่าคนอื่นๆ

“ก็นี่...” โมกข์ชี้ที่อกตัวเองอย่างภาคภูมิใจ “หัวใจเราชีวิตเรามันเป็นของเรา เราก็ต้องใช้ชีวิตให้มีความสุขซิ ในเมื่อมันไม่ได้ดั่งใจ เราก็ต้องทำใจยอมรับมัน”

“โอ๊ะ!” เมธัสหัวเราะเสียงดังไม่ว่าจะได้ยินจากปากของเพื่อนคนนี้ “ปรัชญาแหะ” คนรับคำชมยืดอกแล้วเรียกเด็กเก็บเงิน เด็กหนุ่มสองคนเดินกลับมารอที่รถมอเตอร์ไซค์สองซูบที่จอดพักใต้ร่มเงาต้นไม้แห้งเหี่ยวแต่ดูเหมือนว่ามันยังพยายามจะยืนต้นอยู่ต่อไป

“อยากเห็นหน้าหลุยส์จัง” เมธัสเอ่ยขึ้นทำให้โมกข์หันมามองหน้าและยิ้มเจ้าเล่ห์ในนาทีต่อมาเข้าใจความต้องการของเพื่อน

“ไม่ใช่ทอมแล้ว...เห็นแล้วอย่าตะลึงก็แล้วกัน”

“ต้องเตรียมยาดมกันเป็นลมหรือเปล่า” เสียงหัวเราะประสานกันลั่นอย่างไม่สนใจสายตาใครที่มองดูคนทั้งคู่ราวกับคนเพี้ยน

เด็กหนุ่มขยับแว่นสายตากรอบเงินแวววับให้กระชับใบหน้าแล้วเพ่งมองไปนอกกระจกรถบีเอ็มดับบิวสีขาวสะอาดตา             ภาพเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่คนหนึ่งปล่อยผมยาวระบ่าดูคุ้นๆ หน้าและอีกคนที่ผมสั้นยุ่งเป็นกระเซิง เขาจำ ‘เพื่อน’ ทั้งสองได้ดีแม้มีบางสิ่งเข้ามาทำให้ไม่สามารถสนิทสนมคุ้นเคยได้เช่นวัยเด็ก ยามเมื่อพบเห็นก็ทักทายได้ไม่กี่คำ เขาแทบจะกระโจนลงจากรถหรูที่เหมือนกรงขังนี้ออกไปถ้าไม่มีเสียงเตือนของมารดาเรียกซะก่อน

“เย็นนี้รีบกลับบ้านนะลูก เราต้องไปส่งคุณพ่อที่สนามบิน”

“ครับ”

วสุรับคำไม่เต็มเสียงนัก ได้แต่มองดูรถมอเตอร์ไซค์ที่เด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับเขานำหน้ารถเขา เกือบจะไม่ทันไฟเหลืองที่กระพริบเตือนจะเปลี่ยนเป็นสีแดงและทำให้รถของเขาจอดนิ่งตรงสี่แยก ได้แต่มองดูบางสิ่งเคลื่อนไหว แต่หัวใจเขากลับเหมือนอยู่ในกรงขัง เขาหลับตาแสร้งไม่สนใจสิ่งที่มารดาของตนพร่ำบอกซ้ำๆ ในเรื่องราวที่เขาไม่สนใจ แต่ใต้ดวงตาที่ปิดสนิทเขากลับมองเห็นตัวเองกลายเป็นเด็กซนๆ คนหนึ่งกับเด็กที่มีดวงตาสดใสและหัวใจที่รักการผจญภัย

เขาระบายยิ้มบางๆ เมื่อนึกถึงเพื่อนสาววัยเด็กที่มักจะตัดผมสั้นจนดูเป็นเด็กชายตัวน้อยและเถียงลั่นเมื่อใครต่อใครบอกว่าเธอเป็นผู้หญิง

เวลานี้..เธออยู่ไหนนะ...เพื่อนวัยเยาว์ของฉัน.

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด