ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป2 การกลับมาของคำว่าเพื่อน

1 ทักทาย


1

ทักทาย

การเริ่มต้นที่จะทักทายใครสักคนหนึ่ง…ที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย...ผมว่ามันยากนะ...ยากมากเลย...เวลานี้ผมอยากคุยกับใครสักคน...ใครก็ได้ ดูซิ...จากจุดที่ผมนั่งอยู่ ตรงที่เรียกว่าป้ายรถเมล์ ผมเห็นคนแปลกหน้าเดินสวนทางผ่านไปมาราวกับผู้คนเหล่านั้นก็ล้วนเป็นตัวประกอบของฉากชีวิตแต่ละคนไม่เหมือนกันเราไม่รู้จักกัน...แต่ผมอยากรู้จักคุณ ทำไมนะเหรอ...คือ…

ผม...หลงทางฮะ ชัวร์เลยหลงทางแน่ หลงมาสามชั่วโมงกว่าแล้ว ร้อนเหนื่อยแล้วก็หิว...โธ่! อุตส่าห์ดีใจที่โบกรถลงมาหมอชิตได้ แหม! ตื่นเต้นเชียวคุณ! แต่ตอนนี้ไอ้ที่คิดว่าชำนาญทางมันช่วยอะไรไม่ได้เลย ผมไม่ได้มาที่กรุงเทพฯ นี่เกือบห้าปีแล้วมั้งเฮ้อ! นานขนาดนั้นแล้วหรือนี่...

เด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งบ่นพึมพำอยู่คนเดียวใต้ร่มเงาต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งยืนต้นอยู่ใกล้ป้ายรถเมล์ ใบเล็กๆ ของต้นไม้แห้งเหี่ยว

หงิกงอเหมือนคนไข้อาการโคม่าที่ไม่มีใครเหลียวแล เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเข้าใจสิ่งที่อยู่รอบข้าง

“เอ้า! อยากมาเองก็ต้องไปเองให้ถูกซี่…”

เมธัสเรียกกำลังใจให้ตัวเองก่อนที่จะลุกขึ้นยืนปัดฝุ่นออกจากกางเกงยีนตัวเก่าซีดและสะพายเป้สนามใบใหญ่            คลี่กระดาษแผ่นเล็กและยับในมือออกดูให้มั่นใจอีกครั้งก่อนจะไปตามที่มุ่งไว้... เด็กหนุ่มเสยผมยาวระบ่าที่เริ่มเหนียวพันกันยุ่งแต่ก็ยังอยู่ทรงเท่ ร่างสูงใหญ่ไหล่กว้างเพราะทำงานหนักมาตั้งแต่เล็ก ทำให้เขารูปร่างดูใหญ่เกินวัยสิบเจ็ดปีหากเทียบกับเพื่อนๆ รุ่นเดียวกัน         แต่เขาก็ไม่มั่นใจในสายตาของตัวเองนักที่เห็นวัยรุ่นหลายคนที่เดินผ่านสายตาของเขาไปนั้น รูปร่างบางๆ เพรียวๆ กันซะส่วนใหญ่ คงไม่มีใครชอบยักษ์ใหญ่ตัวดำอย่างเขาหรอก...แล้วนี่...คนที่บ้านจะจำเขาได้หรือเปล่าน่ะ

ในขณะที่เด็กหนุ่มต่างถิ่นยืนกังวลอยู่หน้าบ้านไม้สองชั้นหลังเล็กๆ โทรมๆ แม้จะมีเนื้อที่ไม่มากนักแต่เจ้าของบ้านก็ปลูกต้นไม้น้อยใหญ่ไว้เต็มไปหมดทำให้ดูสดชื่น เมธัสระบายยิ้มบางๆ ทำให้ใบหน้าคมเข้มดูอ่อนโยงอย่างที่เจ้าตัวไม่รู้ บรรยากาศเก่าๆ หวนคืนกลับมาทักทายและเป็นจังหวะเดียวกับประตูสังกะสีที่อยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่มเปิดออกพร้อมกับร่างของหญิงสาววัยสามสิบหกปี

“เอ่อ…” เด็กหนุ่มตะกุกตะกักพูดอะไรไม่ออกคำพูดนับร้อยนับพันคำที่เลือกสรรจะพูดเป็นครั้งกลับถูกกลืนลงคอไปหมด

“เอฟ...ลูกเอฟหรือเปล่า…” แม้มือคู่นั้นที่ยื่นมาประคองใบหน้าเพื่อดูใกล้ๆ จะหยาบกร้าน แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยด้วยตาอาทรและอบอุ่น

“ขอโทษที่มาโดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าฮะ” เขาสวมกอดรับเอาไออุ่นที่โหยหามานาน มันยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าตัวเขาใหญ่โตขึ้นกว่าเมื่อยังเป็นเด็กเล็กๆ คนนั้นที่จะต้องคอยเกาะขาแม่ไว้เพราะสูงไม่ทัน แต่ตอนนี้แม่เป็นฝ่ายต้องแหงนหน้ามองเขา

“แค่ลูกมาแม่ก็ดีใจแย่แล้ว...ขวัญเอ๋ยขวัญมา รีบเข้าบ้านก็ดีกว่าลูกนะข้างมันนอกร้อน…”

แม้จะห่างเหินไปนานแต่เมื่อก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้อีกครั้ง ความรู้สึกอบอุ่นเก่าๆ ก็ยังคงอยู่เหมือนรอคอยให้เขากลับมา

“ลูกพักห้องเดิมนะ อาบน้ำอาบท่าซะ แม่จะทำกับข้าวคอย” รอยยิ้มยังคงละไมละมุนแม้ว่ากาลเวลาจะทำให้ใบหน้าอ่อนโยนดูเปลี่ยนแปลงไปแต่ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม

‘นี่ขนาดเขาไม่ใช่ลูกแท้ๆ ยังรักเขามากขนาดนี้...’

เมธัสยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ในห้องเล็กๆ กลางบ้านหลังน้อยที่ถูกจัดเป็นห้องนั่งเล่นสามารถเดินลงไปที่สวนแปลงเล็กๆ กลิ่นอาหารหอมๆ ทำให้เขาอดที่จะสูดเข้าไปไม่ได้จนได้ยินเสียงฟืดฟัด ผู้เรียกตัวเองว่าแม่หันมามองแล้วส่ายหน้า

“ดูทำเข้า...ท่าทางจะโตแต่ตัวนะลูกคนนี้” ปลายประโยคทำเป็นดุแต่ก็อดยิ้มขำกับท่าทางช่างอ้อนของลูกชายตัวโตไม่ได้

“เอฟเรียกแม่วรรณได้มั้ยฮะ” เมธัสกอดเอวประจบทำตัวเป็นลูกแมวขี้อ้อนไม่สมกับรูปร่างสูงใหญ่ของตัวเอง

“ทำไมจะเรียกไม่ได้ล่ะ แม่ยังเรียกเอฟว่าลูกเลยนิจ๊ะ”

“ก็แหม...” เขาทำเสียงอ้อนอย่างน่ารัก “แม่วรรณของเอฟยังสาว...ยังสวยกลัวจะมีหนุ่มๆ มาจีบแล้วจะเข้าใจผิดว่าแม่วรรณมีลูกชายตัวใหญ่อย่างเอฟไงฮะ”

“โธ่...ใครจะมาจีบแม่ละแม่ก็ทำงานงกๆ อยู่อย่างนี้”

“ไม่รู้ละเอฟหวงแม่นี่...ใครจะทำไม”

“น้อยๆ หน่อยเถอะเอฟนั้นแหล่ะตัวดีจะทิ้งแม่วรรณคนนี้ไปก่อน”

เขาแสร้งหัวเราะแก้เก้อแล้วเฉไฉมาที่โต๊ะกับข้าวตัวเตี้ยที่ตั้งอยู่กับพื้นกลางห้อง พัดลมติดเพดานตัวเก่าครางเสียงดังน่ารำคาญ เขาแหงนหน้าดูใบพัดที่หมุนช้าๆ นึกอยากเปลี่ยนให้ใหม่              อะไรๆ หลายสิ่งหลายอย่างดูทรุดโทรมลงไปมากอย่างไม่น่าเชื่อ

“แม่วรรณไม่กินข้าวเหรอฮะ” เด็กหนุ่มเอ่ยถามทั้งๆ ที่ยังเคี้ยวข้าวเต็มปาก

“ปรกติแม่จะไม่ค่อยกินข้าวเย็นนะลูก” แม่เอ่ยตอบแล้วนั่งลงถักนิตติ้งตามแบบในกระดาษที่กางไว้

“แม่วรรณผอมนะฮะ” น้ำเสียงเบาแผ่วอย่างห่วงใยแต่แม่วรรณของเขาก็ได้ยินชัดเจน

“ลูกชายแม่ตัวโตขึ้นเยอะ อยู่กับพ่อคงเหนื่อยมากนะ...งานก่อสร้างเนี่ย...”

เด็กหนุ่มกลืนน้ำแกงจืดรสอร่อยแต่กลับฝืดคอเมื่อนึกถึงพ่อแท้ๆ ของตน              พ่อที่ทำให้เขาเป็นอย่างนี้พ่อที่รักครอบครัวของพ่อแต่ลืมรักลูกของพ่อ

“พ่อดุเอฟมากหรือเปล่าแล้วแม่เลี้ยง...”

“ดีฮะ มีข้าวให้กินมีที่ให้ซุกหัวนอนถึงจะไม่ได้เรียนต่อเหมือนลูกๆ ของเขาทั้งสามคน” เมธัสชิงพูดขึ้นก่อนที่แม่จะเอ่ยจบประโยค แม้เขาจะแสร้งยิ้มทะเล้นออกมาแต่น้ำเสียงขมขื่นก็ฟ้องถึงความน้อยใจได้ดี

“ปีนี้เอฟก็สิบเจ็ดแล้วซินะ ถ้าเรียนก็คงอยู่มอหก” แม่วรรณพูดเหมือนรำพึงนึกเสียดายที่ไม่อาจดูแลลูกของพี่สาวของตนที่เสียไปแล้วได้ดี

“โธ่...แม่วรรณฮะ แค่จบม.สามได้ก็ดีแล้วเอฟเองก็ชินแล้วด้วย” เขาเสยผมยาวๆ อย่างเคยชินแล้วยิ้มกว้างคล้ายไม่ใส่ใจในสิ่งที่พูด

“แต่แม่อยากให้เอฟเรียนต่อ แล้วแม่จะลองถามครูสมชายดูว่าพอจะหาที่ลงเรียนได้ที่ไหน”

“จะเรียนอะไรฮะ! ไม่...”

“ห้ามดื้อกับแม่นะจ๊ะ” แม่วรรณพูดก่อนที่เขาจะพูดอย่างรู้ใจ ทำให้หน้าคมเข้มได้แต่ยิ้มเจื่อน

“ต่อไปนี้เอฟต้องอยู่ในโอวาทของแม่เอฟเลือกที่จะมาหาแม่แล้วก็ต้องทำตัวดีๆ อย่าทำให้แม่เสียใจ...ได้มั้ย”

“ฮะแม่” เขาคลานเข้าไปกราบเท้าก่อนที่จะหอมแก้มของแม่ เหมือนเป็นการให้คำสัญญา

“เมื่อกี้แม่วรรณพูดถึงครูสมชายครูยังสอนอยู่ที่เก่าเหรอฮะ”

“อยู่จ๊ะ...วสุก็เรียนที่เก่าโมกข์ก็ด้วย” แม่วรรณเอ่ยยิ้มๆ แต่คนฟังกลับยิ้มกว้างเมื่อได้ยินชื่อเพื่อนเก่า

“แล้วหลุยส์ล่ะฮะแม่ยัยทอมบอยนั่น” เขานึกถึงเพื่อนสาววัยเด็กที่ตัดผมบ๊อบจนดูเป็นเด็กชายวัยซน

“ย้ายบ้านไปอยู่ซอยสี่ตั้งปีกว่าแล้ว ถูกป้าสะใภ้ให้ไปช่วยงานที่ร้านทำผมอยู่แถวประตูน้ำหรืออะไรแถวนั้นๆ แหล่ะ แม่ก็จำไม่ได้ไม่กล้าถามด้วยกลัวหลุยส์จะคิดมาก แต่หลุยส์ก็แวะมาหาแม่บ่อยๆ นะจ๊ะมารับผ้าปักของแม่ไปขายให้”บางทีก็เอางานมาให้แม่ทำพวกเสื้อผ้านี้แหล่ะ”

“แม่จะชมหลุยส์มากไปหรือเปล่า” เขาทำหน้าล้อนึกภาพาสาวห้าวในร้านทำผมไม่ออกยิ่งพยายามนึกกลับยิ่งเห็นเป็นเรื่องตลกจนอดขำไม่ได้

“เอฟก็ต้องหางานทำบ้างแล้วละจะได้ไม่กินแรงแม่วรรณคนเดียว”

“พักให้หายเหนื่อยก่อนเถอะลูกเอ่อ…แล้วนี่…มาถูกได้ยังไงล่ะเนี่ย”

เด็กหนุ่มไม่ตอบแต่ยิ้มแหย ไม่กล้าบอกว่าตัวเองหลงทางแล้วก็ถามทางกับคุณตำรวจอาศัยรถตำรวจมาส่งที่ปากทางก่อนเข้าซอย                ต่อจากนั้นก็เดิน...เดิน...เดินหาเพราะจำซอยผิด

“แล้ว...ตอนเอฟมาแม่วรรณกำลังจะออกไปไหนเหรอฮะ” เขาถามอย่างเพิ่งนึกได้

“ก็ว่าจะออกไปเอาแบบเสื้อที่บ้านหลุยส์แต่พอดีเอฟมาก่อน พรุ่งนี้ก็ได้แม่ไม่ได้รีบอะไร เอฟก็ไปนอนเถอะลูกน่ะมาตั้งไกลคงเหนื่อยแย่”

เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนคิดจะไปนอนบนห้องที่จัดเตรียมไว้แล้ว แต่ก็เปลี่ยนใจมานั่งลงซบตักอุ่นที่ห่างเหินไปนาน

“แม่วรรณฮะ เอฟเพลียจังเลย...คืนนี้เอฟนอนตักแม่วรรณนะฮะ น๊า...แม่ฮะ”

เขาหลับตาพริ้มไม่รอฟังคำตอบ ราวกับรู้ดีแก่ใจว่ามือที่ลูบผมชื้นๆ อยู่นั้นยินดีกับการมาของเขา มือเล็กๆ คู่นี้ที่ทำให้เขารู้สึกว่าโลกกว้างใบนี้มีคนที่รักเขาใส่ใจดูแลและห่วงใย          ถึงแม้ว่าจะเกิดมากับคำว่า ‘ไม่ต้องการ’ แต่ก็มีมือคู่นี้ที่ต้องการเขาอย่างจริงใจ

“นอนเถอะลูกพรุ่งนี้ยังมีอะไรมากมายที่ต้องเจอะเจอ”

แม้ดวงตาจะปิดแต่รอยยิ้มยังแต้มแต่งที่ใบหน้า            พรุ่งนี้หรือ...ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก ชีวิตของเขาที่ผ่านมาไม่มีอะไรเลยที่จะทำให้เขารู้สึกกลัวอีกแล้ว ชีวิตมันกร้านพอที่จะทำหัวใจให้เป็นแท่งหินศิลาทนฝนฝ่าพายุได้ไม่สะทกสะท้านแล้ว

แต่พรุ่งนี้ซิ...จะได้เจอเพื่อนเก่า ที่ไม่รู้ว่าสายใยผูกพันจะยังแน่นเหมือนก่อนหรือเปล่า เขานึกถึงคืนที่เคยกอดคอกันร้องไห้   วันที่หัวเราะแข่งเสียงดังของกันและกันเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ได้เจอเพื่อนแล้ว…

ตื่นเช้าๆ นะเราจะได้เจอ ‘เพื่อน’ เร็วๆ.

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด