ตอนที่แล้วBB ตอนที่ 9 หลินยวน แคว้นบนผืนน้ำ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปBB ตอนที่ 11 ก่อปัญหา

BB ตอนที่ 10 พิษกำเริบ


BB ตอนที่ 10 พิษกำเริบ

“แค่ก ๆ…..”

ภายในห้องทรงพระอักษรอันเงียบสงบ พลันมีเสียงไอของคนผู้หนึ่งดังขึ้น

“ฝ่าบาท ร่างกายมังกรนั้นสำคัญนัก พักผ่อนก่อนเถอะพะย่ะค่ะ!” ชายหนุ่มผู้ช่วยที่ยืนอยู่ด้านในห้องเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเป็นกังวล

แคว้นชิงหยวนแตกต่างจากแคว้นอื่น ๆ ที่แคว้นนี้ไม่มีขันทีด้วยเพราะต้นราชวงศ์ได้ยกเลิกระบบการตอนตนเองอันแสนโหดร้ายและผิดศีลธรรมลง

ในวังมีเพียงสาวใช้ในวังและผู้ช่วยที่คอยดูแลฮ่องเต้ในเรื่องต่าง ๆ สาวใช้และผู้ช่วยเหล่านี้ยังมีฝีมือสูงส่ง สามารถปกป้องฮ่องเต้ได้ด้วยเช่นกัน

เบื้องหลังบัลลังก์มังกร คือชายผู้หนึ่งที่กำลังยกมือขึ้นปิดปาก เขาไอรุนแรงออกมา ก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาจากฎีกาที่วางอยู่เบื้องหน้า

It was seen that it was a man with striking sharp brows and a pair of bright eyes, his face smooth as crowning jade. His facial features were gentle and elegant, but his complexion was unfortunately rather pale, where it could immediately be seen that he was not all that well.

“ข้าไม่เป็นไร ชางไห่อ๋องเป็นอย่างไรบ้าง?” เยว่มู่เฉินถามเสียงเบา มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย

ผู้ช่วยด้านข้างตอบกลับอย่างนอบน้อม “ชางไห่อ๋องฟื้นขึ้นแล้วเมื่อไม่กี่วันก่อน หมอหลวงไปตรวจอาการท่านอ๋องแล้ว ทุกอย่างเรียบร้อยดี หลายปีที่ท่านอ๋องหลับไป ร่างกายยังคงบำเพ็ญเพียรอยู่เรื่อยมา หมอหลวงรายงานมาว่าที่ท่านอ๋องหลับลึกไปนานเช่นนั้นเป็นเพราะกำลังทะลวงด่าน ร่างกายไม่อาจทนรับพลังมหาศาลได้จึงทำให้ท่านอ๋องหลับไปเพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัวพะยะค่ะ”

“เป็นเพราะเหตุนั้นเองหรือ?” รอยยิ้มบนใบหน้าเยว่มู่เฉินยิ่งลึกขึ้น “ดูท่าสวรรค์จะอวยพรให้แคว้นหลินยวนของเรา ชางไห่อ๋องเป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่สรวงสวรรค์มอบให้กับแคว้นของเราเลย”

เมื่อสิบสองปีก่อนได้เกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาดขึ้นบนแดนสวรรค์ มีดาวดวงหนึ่งร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า และในตอนนี้ดาวดวงนั้นก็คือผู้พิทักษ์ของแคว้นหลินยวนนั่นเอง

“ฝ่าบาท คณะขององค์หญิงเก้าที่เดินทางไปยังชิงหลาน พระองค์….. คิดจะให้องค์หญิงแต่งงานกับองค์รัชทายาทชิงหลานจริงหรือ?” ผู้ช่วยเอ่ยถามคำถามที่ติดค้างในใจมาอย่างยาวนานขึ้น เขารับใช้ฝ่าบาทมาเป็นเวลาหลายปี ความสัมพันธ์จึงไม่ธรรมดา เมื่อไม่มีสายตาผู้ใด ฝ่าบาทยังเป็นมิตรมาก

“ฮ่า ๆ เหยียนเหยียนเด็กป่วนผู้นั้น หากข้าเมินความต้องการของนางและให้นางแต่งออกไปจริง นางคงได้พังห้องทรงพระอักษรของข้าทิ้งเป็นแน่” นัยน์ตาทั้งสองข้างของเยว่มู่เฉินฉายแววถนุถนอมออกมา “เกรงว่าจะเป็นเพราะนางเห็นว่าชางไห่อ๋องฟื้นจากการหลับลึกจึงคิดว่าตนมีผู้ถือหาง จึงอยากไปป่วนแคว้นชิงหลานก็เท่านั้น”

ได้ยินดังนั้น ผู้ช่วยข้างกายฮ่องเต้ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก องค์หญิงเก้าเป็นที่รักของประชาชนแคว้นหลินยวน หากนางต้องแต่งออกไปยังแคว้นชิงหลานจริง ทั้งบุรุษและสตรีในแคว้นนับไม่ถ้วนคงน้ำตานองหน้าทุกวันเป็นแน่!

--------------------

ไป๋จือเยี่ยนเป็นเจ้าของหอเมฆาเคลื่อน เขาเปิดกิจการนี้ขึ้นเมื่อสมัยที่ยังไม่มีอะไรทำเป็นชิ้นเป็นอัน หลังจากที่ได้มารับใช้โหลวจวินเหยาแล้ว ความเป็นไปต่าง ๆ ในหอเมฆาเคลื่อนก็ยกให้เหลียนจีเป็นคนจัดการ

การกลับมาที่นี่หลังจากผ่านมาแล้วหลายปีเป็นเรื่องที่ไม่อาจเลือกได้

“ออกไป!”

เสียงตะโกนที่เจ้าของเสียงพยายามข่มความโกรธเกรี้ยวเอาไว้ดังออกมาจากภายในห้องที่ถูกปิดผนึก ร่างสีแดงลอยออกมาจากด้านใน ก่อนจะกระแทกเข้ากับผนังอย่างแรง

“นายท่าน…..” วันนี้เป็นวันพิเศษ เหลียนจีจึงปิดหอก่อนกำหนด นางยืนดูสถานการณ์อยู่ด้านนอกตอนที่เห็นร่างเจ้านายตนลอยละลิ่วออกมาจากด้านใน เมื่อเห็นดังนั้นนางจึงเดินเข้าไปพยุงเขาลุกขึ้นมาด้วยใบหน้าเป็นกังวล

“แค่ก ๆ” ไป๋จือเยี่ยนกำอกตนแน่น ไออีกสองสามทีก่อนจะปัดมือเหลียนจีออก เขามุ่งหน้าเข้าไปในห้องอีกครั้งหนึ่ง

“นายท่าน ให้ข้าดูอาการเถอะ ข้าไม่เป็นอะไร ท่าน…..”

“เจ้าอยากตายหรือไง!?” น้ำเสียงบุรุษที่ดังออกมาจากภายในนั้นทั้งขู่ขวัญและเยียบเย็นยิ่งนัก

ร่างของโหลวจวินเหยาที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากพิษเพลิงเยือกแข็งนั้นได้รับพิษสืบต่อมาจากมารดาของเขาเมื่อครั้งที่นางถูกลอบโจมตีตอนกำลังตั้งครรภ์เขาอยู่

ทั้งยังไม่ใช่พิษเพลิงเยือกแข็งธรรมดา แต่เป็นพิษจากคำสาปเลือด ทุกครั้งที่พิษกำเริบ  ผนึกคำสาปเลือดก็จะแล่นไปทั่วร่าง ครึ่งหนึ่งสีแดง ครึ่งหนึ่งสีน้ำเงินเข้ม ทำให้เขาดูราวกับปีศาจผู้ชั่วร้ายหน้าตาน่ากลัว

ในช่วงเวลาเช่นนี้ หากจิตใจไม่เข้มแข็งพอ หลอดเลือดในร่างจะขาดสะบั้น เจ้าของร่างจะต้องเผชิญหน้ากับความทรมานเหลือคณาเป็นเวลาสี่สิบเก้าวัน

ไป๋จือเยี่ยนมุ่งหน้าเข้าไปในห้องเช่นนี้หมายถึงรนหาที่ตาย เมื่อพิษกำเริบ โหลวจวินเหยาจะจำผู้ใดไม่ได้ และอาจสังหารไป๋จือเยี่ยนทิ้งอย่างไร้ความเมตตา

เมื่อครู่ยังเพิ่งโดนพลังซัดออกมาจากห้อง กระอักเลือดออกมาอึกใหญ่ กลิ่นคาวเลือดเช่นนี้ยิ่งทำให้โหลวจวินเหยายิ่งจิตใจไม่สงบและอาจทำให้เขาเสียสติไปจนสิ้น

“นายท่าน!” ไป๋จือเยี่ยนร้องตะโกนเมื่อได้ยินเสียงคำรามต่ำราวกับกำลังกดความเจ็บปวดจากด้านใน ราวกับเจ้าของเสียงกำลังบ้าคลั่ง ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความแค้นและเศร้าใจ ได้แต่โทษตนเองที่มีฝีมือไม่มากพอ ไม่อาจรักษาพิษเพลิงเยือกแข็งได้ ต้องปล่อยให้นายท่านทนทรมาน

ด้วยความกังวล ไป๋จือเยี่ยนจึงมุ่งมั่นที่จะเข้าไปดูอาการนายท่านของตน ทว่าเหลียนจีดึงแขนเขาไว้แน่น “เจ้านาย ท่านเข้าไปไม่ได้นะเจ้าคะ ถ้าเข้าไปท่านอาจ…..”

“ปล่อย!”

“เหลียนจีไม่อาจปล่อยให้เจ้านายพาตนเองไปตายได้!”

“อวดดีนัก! เจ้ากล้าต่อต้านข้าหรือ ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้…..”

ขณะที่กำลังฉุดกระชากกันนั่นเอง บางสิ่งบางอย่างก็ร่วงหล่นออกมา เสียงดัง “กริ๊ง” ดังขึ้นให้ได้ยิน ทำให้คนทั้งคู่ชะงักไป

ไป๋จือเยี่ยนก้มหน้าลงมองขวดยาลวดลายประณีตที่เด็กคนนั้นมอบไว้

เขาก้มลงเก็บขวดยา ก่อนจะกำมันไว้แน่น ในเวลาเช่นนี้ คงมีแต่ต้องลองเสี่ยงดูสักครั้ง!

“นายท่าน ลองยานี่ดู!” ไป๋จือเยี่ยนไม่ได้เดินเข้าไปด้านใน เขารู้ว่าโหลวจวินเหยาไม่ต้องการผู้ใดให้เห็นเขาในสภาพเช่นนั้น ดังนั้นจึงแหวกม่านออกเล็กน้อยก่อนจะผลักขวดยาเข้าไปด้านใน

ภายในห้องมืดสนิทไม่อาจเห็นสิ่งใด

ทว่าที่มุมหนึ่งกลับมีบางสิ่งบางอย่างกำลังส่องแสงเรืองอ่อน ๆ ออกมา นัยน์ตาสีม่วงคู่หนึ่งส่องประกายระยับท่ามกลางความมืด มองดูราวกับคนผู้นี้สามารถมองเห็นในความมืดมิดได้

ขวดกระเบื้องขวดเล็กตั้งอยู่ที่หน้าประตู

เขาค่อย ๆ ลุกขึ้น ผิวหน้าตรงตาด้านขวามีเส้นเลือดสีแดงฉานเกาะกินไปทั่วใบหน้า มองดูราวกับเป็นจอมปีศาจที่มาจากขุมนรก

เขายื่นมือออกไปคว้าขวดยานั่น ด้านในมียาลักษณะกลมสีเขียวส่องแสงเรืองเล็กน้อยนอนแน่นิ่งอยู่

เขากลืนยาเม็ดนั้นเข้าไปอย่างไม่ลังเล

พิษเพลิงและน้ำแข็งในร่างยังคงต่อสู้กันอย่างดุเดือดราวกับต้องการเอาชนะอีกฝ่าย ไม่มีฝ่ายใดยอมแพ้ ความเจ็บปวดรุนแรงที่ซัดอยู่ในร่างพลันค่อย ๆ เลือนหายไปยามกลืนยาเม็ดนั้นลงไป

ไม่กี่อึดใจ ทั้งความร้อนและความเย็นที่กัดกินร่างต่างพากันหายไปจนสิ้น ราวกับพวกมันพากันตกลงสู่ห้วงนิทราลึก

เส้นเลือดเป็นแผงดูน่ากลัวบนใบหน้าก็ค่อย ๆ เลือนหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ จนกระทั่งหายไปจนหมด

ในห้องยังมีกระจกอยู่บานหนึ่ง ทว่ามันกลับแตกเป็นเสี่ยง ๆ ไปแล้ว กระทั่งโหลวจวินเหยาผู้ทรงอำนาจยังไม่อาจทนมองใบหน้าปีศาจของตนเองไหว

เขายืนนิ่งงัน หลังจากนั้นชั่วครู่หนึ่ง ก็หยิบเศษกระจกที่แตกกระจายอยู่บนพื้นขึ้นมา จากนั้นนัยน์ตาสีม่วงก็ค่อย ๆ เคลื่อนมามองเงาสะท้อนจากเศษกระจกนั่น

ไม่มี ไม่มีร่องรอยใด

ใบหน้าหล่อเหลาที่ทั้งมนุษย์และเซียนต่างพากันแค้นใจกลับปราศจากร่องรอยใด

เขายกมือขึ้นแตะใบหน้าตนเอง

หรือเขาจะ….. เห็นภาพหลอนหรือ?

ใบหน้าเช่นนี้ ราวกับเมื่อครู่ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นมาก่อน

ทว่าเขาเคยเห็นใบหน้าตนเองที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดงฉานกระจายอยู่ทั่วใบหน้า จากนั้นกระทั่งตัวเขาก็ยังไม่อาจมองหน้าตนเองตรง ๆ ยได้อีกามเมื่อพิษกำเริบได้อีก

เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า เขาก็เกือบจะลืมใบหน้าตนเองไปเสียแล้ว

ภายในห้องอันมืดมิดขนาดเล็กแห่งนั้น นัยน์ตาสีม่วงส่องประกายสว่างอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน จิตใจเขาลุกโชติช่วง ริมฝีปากมีเสน่ห์ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มงามรอยยิ้มหนึ่ง

ไป๋จือเยี่ยนรออยู่ด้านนอกด้วยความร้อนใจ หัวคิ้วของเขาขมวดเป็นปมแน่นขณะที่เดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าห้องไม่หยุด

ทันใดนั้น ประตูก็ถูกเปิดออก

ไป๋จือเยี่ยนหยุดเดินในทันที หันไปมองคนที่เดินออกมาจากห้อง จากนั้นก็ต้องเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตนได้เห็น