ตอนที่แล้วตอนที่ 1 : เริ่มเคลื่อนไหว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 3 : นักผจญภัยแรงค์ SS

ตอนที่ 2 : สองบทบาท


“ทางเราขอประทานโทษเป็นอย่างยิ่งครับ!”

ดยุคไคลเนลต์พูดพร้อมกับก้มศรีษะ ที่ข้างๆเขา, คนเฝ้าประตูหนุ่มผมบลอนด์เองก็กำลังทำแบบเดียวกัน อย่างไรก็ตาม, มันดูเหมือนกับว่าดยุคบังคับพาเขามาที่นี่, เขาดูไม่พอใจเพราะเขายังไม่เข้าใจสถานการณ์ซักเท่าไหร่

ซึ่งการที่เขาไม่พอใจกับสถานการณ์นี้นั้นคงจะมาจากการที่เขามีความมั่นใจในตัวเองมากเกินไป

“ท่านดยุค เรื่องขอโทษหน่ะช่างมันเถอะ, บอกข้ามาเกิดอะไรขึ้น”

“คะ, ครับ.....ดูเหมือนว่าเมื่อห้าวันก่อนซิลเวอร์จะมาเยี่ยมพวกข้าจริงๆแต่ไอ้เจ้าลูกชายโง่เง่าของข้ามันไล่เขากลับไปโดยไม่ได้ตรวจสอบตัวตนของเขาให้ดีก่อน......”

“เจ้าไล่เขากลับไปหรอ.......?”

“แต่ท่านพ่อ! มันแปลกไม่ใช่หรอครับที่จู่ๆจะมีนักผจญภัยแรงค์ SS มาโผล่ที่ประตูหน้าบ้านเราแบบนี้? ถ้าคิดตามหลักแล้วท่านเองก็คงจะคิดว่าเขาเป็นตัวปลอมไม่ใช่หรอ?”

“หุบปากไปเลยไอ้ลูกโง่! เพราะเจ้ามันทำอะไรไม่ค่อยได้ข้าก็เลยฝากให้เจ้าดูแลคฤหาสน์ในขณะที่ข้าออกไปจัดการมอนส์เตอร์! แต่ดูสิแม้แต่เรื่องง่ายๆแค่นี้เจ้าก็ยังทำไม่ได้เลย!”

“ตะ, แต่ว่าท่านพ่อพูดเองไม่ใช่หรอครับ....? ท่านบอกให้ข้าไล่ชายทุกคนที่เข้ามายุ่งวุ่นวายกับฟีเน่.......”

“แต่ข้าไม่เคยบอกให้เจ้าไล่นักผจญภัยแรงค์ SS! ถ้าเจ้าเสียเวลายืนยันบัตรนักผจญภัยของซิลเวอร์ซักหน่อยมันก็คงจะไม่หนักหนาสาหัสอะไรหรอก ถูกไหม? แล้วทำไมเรื่องแค่นี้เจ้าถึงยังทำไม่ได้!?”

“คะ, คือว่านั่น........”

ดวงตาของลูกชายเริ่มสั่นเครือ นี่คือดวงตาของคนที่กำลังหาทางโกหกเพื่อเอาตัวรอดอยู่

การที่คนโง่จะโกหกนั้นมันเป็นเรื่องที่มองออกได้ในทันที ต่อให้เขาโกหกว่าซิลเวอร์ไม่ได้แสดงบัตรให้ดู, พวกเขาก็สามารถตรวจสอบได้ด้วยการไปถามซิลเวอร์โดยตรง ดังนั้นในเมื่อเรื่องมันเป็นแบบนี้แล้วการกระทำที่ดีที่สุดก็คือการขอโทษและก้มหัวอย่างจริงใจเพื่อลดความเสียหายให้น้อยลง

“ท่านดยุค ท่านค่อยไปสะสางกับลูกชายของท่านในภายหลังเถอะ ข้าก็รู้สึกผิดที่ต้องพูดอยู่หรอกนะแต่ท่านเองก็ต้องแบกรับความผิดของเขาด้วย”

“คะ, ครับ, ข้าเข้าใจดี! พวกเราจะจัดทำจดหมายขอโทษอย่างเป็นทางการส่งให้เจ้าชายอาร์โนลด์กับเจ้าชายลีโอนาร์ดเองครับ.........”

“จดหมายขอโทษหรอ? เขียนจดหมายขอโทษจากการที่ไล่นักผจญภัยแรงค์ SS ที่เจ้าชายตั้งใจส่งมาให้เจ้าเนี่ยนะ!? ขอฟังหน่อยซิ! เจ้าจะเขียนคำขอโทษยังไงกัน? เจ้าสาดโคลนใส่หน้าซิลเวอร์, เขาอาจจะไม่ให้ความร่วมมือกับพวกข้าแล้วก็ได้! เจ้าจะชดเชยกับเรื่องนี้ยังไงห้ะ!?”

“ถะ ถ้างั้น.....โปรดรับศรีษะของชายแก่คนนี้แทนคำขอโทษของพวกเราเถอะครับ!”

“จะโง่ไปถึงไหนกัน, ข้าไม่อยากได้หัวของเจ้า! หัวของลูกชายไม่ได้ความของเจ้าเองข้าก็ไม่อยากได้”

ดยุคไคลเนลต์รู้สึกสิ้นหวังกับคำพูดของเขา, แต่ทางด้านลูกชายนั้นกลับรู้สึกโล่งอก พอมาคิดว่าตระกูลที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้มีลูกชายแบบนี้มันก็ดูน่าสงสารจริงๆ

ตราบใดที่เขาไม่สามารถชดเชยมันด้วยชีวิตได้, ดยุคไคลเนลต์ก็ต้องเสนอสิ่งอื่นที่สามารถชดเชยให้พวกเขาได้

และสิ่งนั้นก็ต้องเป็นสิ่งสำคัญสำหรับตระกูลดยุคและต้องเป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับเขาและลีโอด้วย

กล่าวคือ

“—ถ้างั้นขอเสนอตัวข้าเองค่ะ แบบนี้พอจะช่วยยกโทษให้ท่านพ่อกับท่านพี่ได้ไหมคะ, องค์ชาย”

ฟีเน่ที่สวมชุดสีฟ้าเดินเข้ามาในห้อง

พอได้เห็นใกล้ๆแล้ว, เขาก็ไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้เชยชมความงดงามของเธอได้ แม้ว่าเขาจะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้, แต่เขาก็ไม่สามารถละสายตาจากฟิเน่ได้เลย

ผมยาวสีบลอนด์ของเธอปลิวไสวเล็กน้อยและส่องสว่างจากแสงที่สะท้อนกับมัน ดวงตาสีฟ้าของเธอดูนุ่มลึกราวกับมหาสมุทรซึ่งปล่อยแสงสว่างที่จะปกคลุมคุณทั้งตัวด้วยจิตใจที่ดีงามของเธอ แม้ว่าร่างกายของเธอจะเล็ก, แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงเสน่ห์จากตัวเธอ

สีหน้าของเธอนั้นค่อนข้างจริงจังแต่มันก็ไม่ได้พรากความงามของเธอไปเลย พูดตามตรง, ตั้งแต่ตอนที่เธออยากจะเสนอตัวเองให้กับพวกเขา, เขาก็อยากจะอ้าแขนตอบรับเธอแล้ว ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร, แต่ถ้าคุณเป็นผู้ชายคุณก็คงอยากจะทำเหมือนกัน, เขาเกือบจะตอบรับเธอไปตามสัญชาตญาณแล้ว อย่างไรก็ตาม, นี่ไม่ใช่เวลาที่เขาจะปล่อยตัวไปตามสัญชาตญาณเช่นนี้ได้

การปรากฎตัวของฟีเน่นั้นอยู่เหนือการคาดการณ์ของเขา เขาวางแผนจะกดดันดยุคต่ออีกซักเล็กน้อยแล้วค่อยให้เขาเข้าร่วมศึกชิงบัลลังก์เพื่อสนับสนุนพวกเขา

“—! ฟีเน่!? โปรดอภัยให้พวกเราเถอะครับองค์ชาย! ลูกสาวของข้ายังเด็กอยู่!”

ดยุคก้มตัวลงกราบอย่างเต็มที่เบื้องหน้าเขาซึ่งมันบ่งบอกถึงความรักที่เขามีให้ลูกสาว ตอนแรกเขายอมเสนอศรีษะของตัวเองเพื่อชดเชยความผิดให้กับลูกชายและมาครานี้เขาก็ยอมหมอกกราบเพื่อช่วยลูกสาว, เขาช่างเป็นคุณพ่อที่ดีจริงๆ

“โปรดไว้ชีวิตท่านพ่อกับท่านพี่ด้วยเถอะค่ะ! ข้าเองก็เห็นท่านซิลเวอร์ในตอนที่เขามาเยี่ยมพวกเรา! ถ้านี่คือความผิดของตระกูลเราข้าเองก็พร้อมที่จะแบกรับด้วย!”

“นะ, น้องพี่ไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย! ทั้งหมดมันเป็นความผิดของข้าเอง! โปรดยกโทษให้ข้าเถอะครับ!”

ครั้งนี้ฝั่งลูกชายเองก็ลดตัวลงหมอบเช่นกัน

นี่มันคือไอ้นั่นใช่ไหม? ฉากบทนึงที่เขารับบทเป็นตัวร้ายเข้าเต็มๆ

เขาไม่เคยคิดเลยว่ามันจะออกมาเป็นแบบนี้ แต่ในเมื่อเรื่องมันมาถึงจุดนี้แล้วเขาก็คิดว่าเขาจะเล่นสงครามจิตวิทยากับดยุคต่อไปอีกซักเล็กน้อย

เขามองเซบาสเพื่อขอความช่วยเหลือ ซึ่งเซบาสก็ถอนหายใจออกมาแล้วเปิดปากพูด

“องค์ชาย ในเมื่อทุกคนจากตระกูลดยุคลงทุนทำถึงขั้นนี้แล้ว ท่านเองก็ลดโทสะลงหน่อยจะไม่ดีกว่าหรอครับ?”

“เจ้าอยากให้ข้ายกโทษให้พวกเขาหรอ? พวกเขาดูหมิ่นข้ากับน้องนะเจ้าก็รู้นี่!? ถ้าข้าให้อภัยกับเรื่องในครั้งนี้แล้วใครจะมายำเกรงพวกข้าอีก!”

“ตราบใดที่เราเก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับมันก็จะไม่เป็นปัญหาครับ เรามาทำเป็นว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเถอะครับ”

“แล้วจะเอายังไงกับซิลเวอร์!?”

“เขาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง เขาคงไม่ทิ้งงานเพียงเพราะถูกไล่แค่ครั้งเดียวหรอกครับ, และตอนนี้เขาก็น่าจะยังอยู่แถวนี้ด้วยเช่นกัน ลองส่งคนไปตามหาเขาดีไหมครับ ถ้าพวกเราขอโทษเขาอย่างจริงใจ, เขาก็น่าจะเข้าใจสถานการณ์ของพวกเราเหมือนกันนะครับ”

“ที่เจ้าต้องการจะสื่อก็คือ, ถ้าซิลเวอร์ยอมแก้ปัญหาในดินแดนนี้, เจ้าก็จะบอกให้ข้ามองข้ามเรื่องที่ดยุคไคลเนลต์มาหยามศักดิ์ศรีของพวกข้าสินะ?”

เขาคิดว่าในที่สุดพวกเขาก็หาทางจบเรื่องนี้ได้ด้วยดีแล้ว

หลังจากนี้, ถ้าเซบาสชี้ให้เห็นว่าเขาทำการตัดสินใจโดยพลการเขาก็จะสามารถถอนตัวออกมาจากเรื่องนี้ได้ด้วย

เอาเถอะ, ถึงการทำแบบนี้จะทำให้เขาดูเหมือนคนที่ยืมอำนาจจากน้องชายมารังแกตระกูลดยุคก็ตาม, แต่นี่แหล่ะคือสิ่งที่เขาต้องการแล้ว

ณ จุดนี้คนที่กำลังแข่งชิงบัลลังก์นั้นมีแค่ลีโอเท่านั้น, ไม่ใช่เขา

“มันจะไม่เป็นไรแน่นอนครับเพราะข้าจะนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับองค์ชายลีโอนาร์ดในภายหลัง”

“ถึงปรึกษาเขาไปก็ไม่ได้อะไรหรอก! ไอ้หมอนั่นยอมยกโทษให้ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่แล้วไม่ใช่รึไง!?”

“เพราะองค์ชายลีโอนาร์ดเป็นคนเช่นนั้นยังไงหล่ะครับผู้คนถึงชอบมารายล้อมรอบตัวเขา ยิ่งไปกว่านั้น, เจ้าชายอาร์โนลด์ ท่านเป็นพี่ชายของเจ้าชายลีโอนาร์ดก็จริงแต่ที่ที่ผู้คนถูกดึงดูดไปนั้นก็ยังคงเป็นที่ของเจ้าชายลีโอนาร์ด ดังนั้นต่อให้ท่านจะเป็นพี่แท้ๆแต่ถ้าท่านยังดึงดันทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างองค์ชายลีโอนาร์ดกับดยุคเลวร้ายไปกว่านี้โดยไม่บอกเขา, มันจะทำให้จุดยืนของท่านเลวร้ายยิ่งกว่าเดิมนะครับ”

“เหอะ...ก็ได้ เอาตามที่เจ้าว่านั่นแหล่ะ ดยุค, ส่งคนของเจ้าไปตามหาซิลเวอร์ซะ ถ้าเจอเขาเมื่อไหร่ข้าจะไปพูดกับเขาให้เจ้าเอง เซบาส, เจ้าเองก็ต้องไปช่วยตามหาด้วย”

เขาสรุปเรื่องทุกอย่างเข้าด้วยกันในขณะที่ทำทีเป็นไม่เต็มใจ

ตอนนี้งานที่เหลือก็คือเล่นบทเป็นซิลเวอร์และช่วยแก้วิกฤติให้ดินแดนแห่งนี้ และพอเขาทำสำเร็จดยุคไคลเนลต์ก็จะกลายมาเป็นพัธมิตรของลีโอ

นี่คงพูดได้เลยว่ามันถือเป็นก้าวแรกสุดในศึกชิงบัลลังก์

ด้วยความคิดนี้ในหัว, เขาก็เริ่มวางแผนการเล่นสองบทบาท

———————-

“ท่านยังอยู่ในดินแดนของดยุคจริงๆด้วยสินะ คิดไม่ถึงเลย”

“ข้าคิดว่าเจ้าจะส่งใครสักคนมาตามข้าในไม่ช้าก็เร็ว แต่ข้าเองก็ประหลาดใจเหมือนกันนะที่เจ้าชายไร้ค่ายอมลงทุนมาถึงที่นี่ด้วยตัวเอง”

ซิลเวอร์อยู่ในโรงเตี๊ยมธรรมดาแห่งนึง พูดให้ถูกต้องกว่านี้ก็คือ, มันถูกจัดฉากให้ออกมาเป็นแบบนี้

เขาใช้เวทย์โบราณใส่เจ้าของโรงเตี๊ยมเพื่อทำให้เขาคิดว่ามีลูกค้าแปลกๆมาพักอาศัยอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้เมื่อห้าวันก่อนและจัดแจงให้เซบาสมาเจอสถานที่แห่งนี้แล้วจากนั้นเขาก็มาพบซิลเวอร์ด้วยตัวเอง

“แล้วสตรีนางนี้คือผู้ใดกัน?”

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะท่านซิลเวอร์ ข้ามีชื่อว่าฟีเน่ ฟ็อน ไคลเนลต์”

“นี่ไม่ใช่การพบกันครั้งแรกของเราหรอกนะ เราได้สบตากันเมื่อห้าวันก่อน”

พอได้ยินสิ่งที่เขาพูด, ฟีเน่ก็สะดุ้งเล็กน้อย

ด้วยความที่เธอยังมีอายุแค่สิบหกปี, การพูดกับนักผจญภัยแรงค์ SS นั้นจึงไม่ใช่งานที่ง่ายเลย แถมมันยังยากขึ้นไปอีกเพราะต้องพยายามพูดให้เขายกโทษให้สำหรับเรื่องหยาบคายที่ตระกูลของเธอได้ทำไป

ดยุคไคลเนลต์ต้องจัดการกับมอนส์เตอร์ในดินแดนดังนั้นเขาจึงไม่สามารถมาด้วยตัวเองได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้บอกกับดยุคไปว่าเขาจะมาคุยกับซิลเวอร์เพียงลำพังก็ได้ อย่างไรก็ตาม, ฟีเน่บอกว่าตัวแทนของตระกูลดยุคควรจะต้องมาด้วยเหมือนกัน

และก็ต้องขอบคุณความจริงใจที่ไม่จำเป็นนี้, เขาถึงต้องสร้างซิลเวอร์ขึ้นมาด้วยเวทย์ลวงตาและแสดงสองบทบาทเบื้องหน้าฟีเน่ ส่วนเหตุผลที่ทำไมเขาถึงเลือกสร้างภาพลวงตาของซิลเวอร์นั้นก็เพราะต่อให้เธอรู้สึกผิดสังเกตขึ้นมาว่าซิลเวอร์ที่อยู่เบื้องหน้าเป็นภาพลวงตา, เขาก็ยังอ้างได้ว่าซิลเวอร์ระวังพวกเขาอยู่ แต่ในทางตรงกันข้าม, ถ้าเขาเลือกสร้างภาพลวงตาของตัวเองในฐานะเจ้าชายเขาก็จะต้องสร้างภาพลวงตาด้วยเวทมนตร์ที่ล้ำขึ้นไปอีกเพื่อให้สามารถสร้างออกมาได้ทั้งรูปร่างภายนอกรวมทั้งเสียงด้วย

อย่างไรก็ตามด้วยวิธีที่ใช้อยู่นี้, มันเป็นไปไม่ได้ที่ต้นตอเสียงของซิลเวอร์จะถูกเปิดเผย แถมหน้ากากที่ซิลเวอร์กำลังสวมอยู่นั้นคืออุปกรณ์เวทมนตร์ที่ทรงพลังมาก มันสามารถใช้เปลี่ยนเสียงของเขาได้ตามต้องการ, นอกจากนี้มันยังสามารถปรับเปลี่ยนอากัปกิริยาและการแสดงออกของซิลเวอร์ได้ยังแม่นยำด้วย ดังนั้นต่อให้พวกเขาจะอยู่ในสถานที่เดียวกันเวลาเดียวกัน, มันก็ไม่มีทางเลยที่ผู้คนจะคิดว่าพวกเขาเป็นคนๆเดียวกัน

“....ตระกูลของข้าได้กระทำสิ่งที่หยาบคายกับท่าน...ข้ารู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งสำหรับความหยาบคายของพวกเราค่ะ.....”

“เรื่องขอโทษหน่ะช่างมันเถอะ ตอนนี้ข้าประเมินตระกูลของเจ้าเอาไว้ต่ำเตี้ยเรี่ยดินแล้ว ข้าเคยได้ยินมาว่าตระกูลของเจ้านั้นเป็นตระกูลของผู้รอบรู้ที่ดูแลผู้คนเป็นอย่างดีแต่ดูเหมือนว่ามันก็คงเป็นแค่กิตติศัพท์ที่ได้ยินมาหล่ะนะ”

“คือว่านั่น.....”

“มันเป็นเรื่องปกติสำหรับนักผจญภัยที่จะมาเยี่ยมเยือนดินแดนที่มีมอนส์เตอร์กำลังอาละวาดอยู่ ถ้าตระกูลของเจ้าคิดถึงผู้คนจริงๆก็คงจะเตรียมตัวเองเพื่อต้อนรับนักผจญภัยทั้งหลายแหล่ที่จะแวะมาแล้ว แต่ว่าความจริงที่พี่ชายของเจ้าทำกับข้านั้นมันก็เพียงพอแล้วหล่ะที่จะพิสูจน์ว่าดยุคไม่เคยเตรียมตัวเองเลย”

นี่คือประเด็นสำคัญ

นี่มันไม่ใช่แค่ความผิดของลูกชายเขาแต่มันคือความรับผิดชอบของทั้งบ้านดยุค ด้วยเหตุนี้เอง, แค่การทำโทษลูกชายคงจะไม่พอ แต่เอาเถอะ, ถ้าเป็นดยุคคนนั้นคงจะไม่ทำแค่นั้นหรอก”

“ข้ายอมรับความผิดค่ะ....มันถือเป็นการละเลยจากบ้านไคลเนลต์ของเราเอง......”

พอเห็นสีหน้าเศร้าสลดของฟีเน่, เขาก็รู้สึกว่านี่มันถึงเวลาที่เขาจะเริ่มเจรจากับซิลเวอร์แล้ว

ถ้าเขาแสดงให้เห็นว่าเขาสามารถโน้มน้าวซิลเวอร์ได้เป้าหมายของเขาก็จะสำเร็จ

เหตุผลที่เขาไม่ได้พาเซบาสเข้ามาข้างในด้วยนั้นก็เพราะว่าเขาไม่รู้ว่าเซบาสจะพูดอะไรกับเขาบ้างถ้าได้มาเห็นการแสดงชั้นสามแบบนี้ แต่ก็เอาเถอะ, ตอนนี้เขาต้องโน้มน้าวตัวเองแล้ว

“ซิลเวอร์, ท่านยังเต็มใจที่จะทำภารกิจของเราต่อรึเปล่าครับ?”

“ถ้าไม่, ข้าก็คงจะไม่อยู่ที่นี่แล้วหล่ะ แต่ว่า, มีสิ่งนึงที่ข้าต้องยืนยันให้ได้ก่อน”

“อะไรหรอครับ?”

“เจ้าดึงดยุคบ้านนี้มาเป็นพันธมิตรได้รึยัง? เจ้าชายไร้ค่า”

“....พวกเขายังไม่รับปากกับข้าเลย”

“ตามที่ข้าคาดเอาไว้เลยนะเจ้าชายไร้ค่า เจ้ายังห่างไกลจากน้องชายของเจ้านัก”

ซิลเวอร์ทำทีเป็นถอนหายใจ

มันชวนให้รู้สึกแปลกและขัดใจอยู่บ้างที่เขาต้องพูดในแง่ลบกับตัวเองแต่ถ้าตัวซิลเวอร์เป็นคนที่พูดออกมาแบบนี้พวกเขาก็จะได้รับความร่วมมือจากดยุคค่อนข้างแน่นอนกว่า

“ข้าจะทำให้พวกเขายอมร่วมมือกับพวกเราอย่างแน่นอน ไม่ต้องห่วง”

“เจ้าจะทำให้พวกเขายอมร่วมมืออย่างเต็มที่สินะ ถ้าเจ้าทำได้ข้าก็จะเติมเต็มคำขอของเจ้า ไม่ว่ายังไงข้าก็มีเหตุผลที่ต้องทำให้น้องชายของเจ้าได้กลายเป็นจักพรรดิอยู่แล้ว และถึงยังไงเหตุผลที่ข้าทำเรื่องขัดหลักของตัวเองและออกจากเมืองหลวงของจักวรรดิจนมาถึงที่นี่ก็เพื่อดึงดยุคมาเป็นพวกของลีโอนาร์ด ถ้าเขาเป็นเหมือนดั่งที่ข่าวลือว่าเอาไว้จริงๆเขาก็คงจะยินดีให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนลีโอนาร์ดอย่างแน่นอน แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้เป็นไปตามข่าวหล่ะนะ ดังนั้นถ้าเจ้าไม่ให้เขาเขียนคำสาบานเอาไว้ก่อนในอนาคตเขาก็อาจจะทรยศเจ้าได้นะเจ้ารู้รึเปล่า?”

“พ่อของข้าไม่มีวันทำเรื่องแบบนั้นหรอกค่ะ!”

“คุณหนูฟีเน่ ตอนนี้คำพูดของท่านไม่มีความหมายสำหรับข้าหรอกนะ ข้าเสียความไว้ใจในตระกูลท่านไปแล้ว”

ซิลเวอร์พูดกับเธอด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

มันมีเหตุผลที่เขาต้องพูดออกมาแบบนี้

เขาต้องการจะโน้มน้าวให้เธอคิดว่าซิลเวอร์ไม่อยากรับงานนี้ ซึ่งนี่จะไปถึงหูของดยุคอย่างแน่นอนผ่านคำพูดของฟีเน่ และแน่นอนว่า, เขากำลังพูดถึงเป้าหมายของซิลเวอร์ด้วย

ในเมื่อพวกเขาลงทุนถ่อมาไกลถึงขนาดนี้ดยุคก็จะต้องมาอยู่ฝั่งของลีโออย่างแน่นอน นี่อาจจะเป็นวิธีการที่อ้อมค้อมแต่การร่วมมือของดยุคไคลเนลต์นั้นคือปัจจัยสำคัญสำหรับพวกเขาในการต่อสู้ชิงบัลลังก์

“ซิลเวอร์ ท่านกำลังจะบอกว่าท่านไม่คิดจะช่วยเขาเว้นเสียแต่ว่าเขาจะให้สัญญาว่าจะยอมให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่สินะครับ?”

“ตามนั้น”

“.....ข้าอยากให้ท่านยอมอะลุ่มอล่วยและช่วยเขาจัดการมอนส์เตอร์ ส่วนตัวข้านั้นจะดึงเขามาเป็นพวกให้ได้อย่างแน่นอนครับ”

“.......นี่เจ้ากำลังขอให้ข้าไว้ใจในตัวเจ้าชายไร้ค่าอย่างงั้นรึ? เจ้ารู้รึเปล่าว่าเจ้ากำลังขออะไรที่มันฟังดูไร้เหตุผลกับข้าอยู่?”

“รู้ครับ แต่ถือว่าข้าขอแล้วกันนะ ช่วยเข้าใจด้วยเถอะ”

เขาพูดในขณะที่โค้งศรีษะลงเล็กน้อย

เขาสามารถคำนับใครก็ได้เพราะเขาไม่ถืออะไรอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น, การที่โค้งคำนับให้กับภาพลวงตาที่ตัวเองสร้างขึ้นมันก็ไม่มีอะไรเสียอยู่แล้ว

“การที่เจ้ายอมคำนับในทันทีเช่นนี้, ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่มีศักดิ์ศรีของการเป็นราชวงศ์เลยนะ”

“ถ้าลีโออยู่ที่นี่เขาก็คงจะทำเหมือนกัน.... ข้ารู้ว่าท่านไม่ไว้ใจข้า แต่ถึงแม้ข้าจะเป็นแบบนี้ข้าก็ยังคงเป็นพี่ชายของลีโออยู่ดี อย่างน้อยก็ขอให้ข้าได้แสดงให้ท่านเห็นเถอะว่าข้าสามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้ ซึ่งนี่เองก็เป็นเหตุผลที่ข้าอยากให้ท่านจัดการกับมอนส์เตอร์พวกนั้น ข้าไม่อยากให้ปัญหานี้มันลากยาวไปมากกว่านี้”

“....ก็ได้ ในฐานะนักผจญภัย, ข้าเองก็ไม่สามารถปล่อยให้มอนส์เตอร์สร้างความวุ่นวายแบบนี้ได้เหมือนกัน ข้าจะรับคำขอของเจ้า แต่ว่านะ, คุณหนูฟีเน่ ข้ากำลังคาดหวังในตัวดยุคอยู่ อย่าลืมเรื่องความร่วมมือของเราหล่ะ”

“ขะ, ขอบคุณมากเลยค่ะ! ข้าจะทำให้มั่นใจว่าพวกเราสามารถตอบสนองต่อความคาดหวังของท่านได้!”

พอพวกเขาโน้มน้าวซิลเวอร์ได้สำเร็จก็ออกมาจากโรงเตี๊ยม

จากนั้นพวกเขาก็เข้าไปในรถม้าที่เซบาสเตรียมเอาไว้ให้ด้านนอกแล้วเขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ

พอเห็นเขาทำแบบนี้, ฟีเน่ก็ก้มหัวให้อย่างรู้สึกผิด

“ขอบคุณมากเลยค่ะ......”

“หืม..? เจ้ากำลังขอบคุณเรื่องอะไร?”

“ก็องค์ชายยอมก้มหัวเพื่อพวกเรานี่คะ.....ต่อให้ความผิดจะมาจากทางฝั่งเรา, ท่านก็ยังสามารถโน้มน้าวท่านซิลเวอร์ให้ยอมช่วยคนของเราได้ ข้ารู้สึกเป็นเกียรติกับเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่งค่ะ”

ดูเหมือนว่าจะมีความเข้าใจผิดครั้งใหญ่เกิดขึ้นแล้วสินะ

 

เด็กคนนี้คงจะเป็นคนประเภทเดียวกับลีโอที่มองทุกคนเป็นคนดีงั้นสิ?

 

ดูเหมือนว่าเราคงต้องแก้ความเข้าใจผิดหน่อยแล้ว ถ้าเธอเข้าใจผิดว่าเราเป็นคนดีมันจะทำให้เราเดินหน้ายากกว่าเดิม

“ข้าก้มหัวเพื่อตัวเองต่างหากหล่ะ มันไม่ใช่เหตุผลแบบที่เจ้าคิดหรอก เจ้าแค่เข้าใจผิด”

“งั้นหรอคะ.... ถ้างั้นข้าจะขอเข้าใจผิดต่อไปแล้วกันค่ะ อ้อแล้วก็มีอีกเรื่องที่ข้าเข้าใจผิดไปเล็กน้อย, องค์ชาย, ตอนแรกข้าคิดว่าท่านเป็นคนน่ากลัวแต่จริงๆแล้วดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้นนะคะ”

“ไม่ใช่, ก็บอกแล้วไงว่า....”

“รู้แล้วค่ะ มันเป็นความเข้าใจผิดของข้า องค์ชายก้มหัวเพื่อตัวเองถูกไหมคะ? ท่านไม่ได้ก้มหัวเพื่อคนของเรา, หรือพวกเราแต่ถึงอย่างนั้น....ท่านช่วยอนุญาตให้ข้าเข้าใจผิดแบบนี้ต่อไปได้ไหมคะ?”

พอพูดจบ, ฟีเน่ก็เผยรอยยิ้มอันนุ่มนวลออกมา

รอยยิ้มนี้งดงามกว่ารอยยิ้มครั้งที่ทำให้ผู้คนในเมืองหลวงหลงไหลในตอนที่จักพรรดิมอบเครื่องประดับนกนางนวลสีน้ำเงินให้เธอซะอีก

หรือจะบอกว่าเขาหวั่นไหวดีหล่ะ? รอยยิ้มของเธอนั้นสั่นคลอนเขาเหมือนกับตอนที่แม่ของเขาพาไปดูดาวตกที่จะเกิดขึ้นแค่สิบปีครั้ง ดาวตกที่อยู่บนท้องฟ้าเปิด, ฉากนั้นมันช่างงดงามจริงๆ และความสุขในตอนที่ได้เห็นพวกมันนั้นก็คือความรู้สึกเช่นเดียวกับตอนที่เขาได้เห็นรอยยิ้มของฟีเน่ ณ ตอนนี้

รอยยิ้มของเธอน่าหลงไหลจนเกินความคาดหมาย, เขาเบือนหน้ามองออกไปข้างนอกเพื่อปกปิดสีแดงระเรื่อที่เผยออกมาบนใบหน้าของเขา

ต้องขอบคุณรอยยิ้มที่ไม่จำเป็นนี้จริงๆ, เขาหมดโอกาสในการแก้ความเข้าใจผิดของเธอแล้ว

สุดท้ายแล้วเขาก็คิดว่าการถูกฟีเน่เข้าใจผิดว่าเป็นคนดีนั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายก็ได้

เพราะถึงยังไง, ในท้ายที่สุดเขาก็ไม่สามารถแก้ความเข้าใจผิดของเธอได้อยู่ดี

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด