ตอนที่แล้วบทที่ 58 หาเจอแล้ว!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 60 งูน้อยตาเขียว

บทที่ 59 ตัวอักษรทิเบต


“ถูกแล้ว...ที่นี่แหละ”  ฉือหว่านชิงเองก็รู้สึกยินดีเช่นกัน  ราวกับว่าเธอได้ช่วยเย่โม่ทำเรื่องมหัศจรรย์สำเร็จสักเรื่องหนึ่ง

เย่โม่วางฉือหว่านชิงลงแล้วเดินไปตรงช่องว่างระหว่างต้นสนหมื่นปีทั้ง 2 ต้น  เขาพบกับหลุมที่ถูกกลบเอาไว้จริงๆ  เย่โม่หาไม้แท่งหนึ่งมาขุดหลุมนั้นอย่างระมัดระวัง  ข้างในมีซากกระดูกที่ถูกล้อมรอบด้วยก้อนหินจำนวนหนึ่ง  รวมถึงยังมีถุงพลาสติกถุงหนึ่งที่ถูกปิดไว้อย่างแน่นหนาด้วย  แต่ถุงพลาสติกถุงนี้ก็มีหลายจุดที่เริ่มเปื่อยยุ่ยแล้วเช่นกัน

เย่โม่ค่อยๆ หยิบถุงพลาสติกนั้นขึ้นมา  เขามองสำรวจซากกระดูกอย่างละเอียด  ตรงบริเวณนั้นไม่มีของอย่างอื่นอีก  ถุงพลาสติกนี้พระทิเบตของจะเก็บซ่อนไว้กับตัวอย่างดีก่อนจะเสียชีวิตลง  หลังจากศพได้กลายเป็นกองกระดูกแล้วถุงนี้จึงร่วงตกลงมา  นี่คงเป็นสาเหตุที่ฟางหนานไม่เจอถุงใบนี้นั่นเอง

เย่โม่ค่อยๆ เปิดถุงออก  ข้างในมีแผนที่หนังแกะอยู่แผ่นหนึ่งซึ่งเริ่มจะเน่าเปื่อยแล้วเช่นกัน  เพียงแต่แผนที่หนังแกะชิ้นนี้เหมือนจะถูกสร้างขึ้นจากกรรมวิธีพิเศษ  ถึงแม้จะเน่าเปื่อยแล้วแต่ก็ยังสามารถมองเห็นสิ่งที่ถูกเขียนไว้ได้อย่างชัดเจน  เย่โม่มองพิเคราะห์แผนที่อย่างละเอียด  สถานที่ซึ่งถูกวาดไว้คล้ายกับทะเลทรายแห่งหนึ่ง   รวมถึงยังมีอักษรอยู่ชุดหนึ่งถูกเขียนเอาไว้  เพียงแต่มันเป็นตัวอักษรที่เขาไม่รู้จัก

ขณะที่เย่โม่กำลังมองภาพทะเลทรายและตัวอักษรอันแปลกประหลาดอย่างหงุดหงิดอยู่นั้นเอง  กลิ่นหอมอ่อนๆ ก็ลอยเข้าจมูกของเขา  เส้นผม 2-3 เส้นที่ระต้นคอทำให้เย่โม่รู้สึกจักจี้อยู่บ้าง  เขารู้ทันทีว่าเป็นฉือหว่านชิงที่อยู่ด้านหลังเขา  เธอกำลังมองแผนที่นั้นอยู่

เย่โม่เปิดทางให้เธอแล้วพูดขึ้นด้วยอาการลำบากใจ  “ตัวอักษรพวกตัวผมไม่รู้จักเลย  รวมถึงแผนที่นี้ก็ไม่สามารถถูกเคลื่อนย้ายได้อีก  ไม่อย่างนั้นมันคงยุ่ยเป็นชิ้นๆ แน่”

เพราะเย่โม่เอี้ยวตัวเปิดทางให้  ฉือหว่นชิงจึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าเมื่อครู่เธออยู่ในท่าที่ดูแล้วแนบชิดสนิทสนมกับเย่โม่อย่างมาก  ขณะที่กำลังรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่นั้นก็ได้ยินคำของเย่โม่  เธอจึงรีบพูดขึ้น  “พี่ใหญ่เย่  ฉันรู้จักตัวอักษรพวกนี้  มันคือตัวอักษรทิเบต  เมื่อก่อนคุณปู่ของฉันอาศัยอยู่ในทิเบตเป็นเวลานาน  ตัวอักษรเหล่านี้ท่านก็เป็นคนสอนฉันเอง”

“หว่านชิง...เธอรู้จักจริงๆ หรือ?  รีบบอกผมเร็ว!”  เย่โม่ที่ตอนแรกคิดจะจดตัวอักษรพวกนี้เอาไว้   แต่ในเมื่อฉือหว่านชิงบอกว่าเธอรู้จัก  นั่นทำให้เขารู้สึกดีใจขึ้นมา

“ตัวอักษรที่เขียนไว้ไม่สมบูรณ์  แต่ก็พอจะอ่านได้บ้าง ‘ทะเลสาปคู่’ ‘ทากลามากัน’ ยังมี ‘หลัวปู้’ ‘ประตูศักดิ์สิทธิ์’...มีเท่านี้แหละ  ฉันคิดว่า ‘ทากลามากัน’ คงจะหมายถึงทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเราอย่าง ‘ทะเลทรายทากลามากัน’ หรืออีกชือหนึ่งว่า ‘ทะเลแห่งความตาย’ ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของลุ่มแม่น้ำธาริม  สิ่งที่เขียนไว้บนแผนที่คงจะหมายถึงตรงนี้  ส่วนเส้นทางข้างบนนั้นที่จริงแล้วคงหมายถึงลุ่มแม้น้ำธาริม”  ฉือหว่านชิงแปลความหมายของตัวอักษรออกมา  เพียงแต่ตัวอักษรบนแผนที่ไม่สมบูรณ์  ทำให้แปลออกมาได้ไม่ครบความอยู่บ้าง   เธอจึงเพิ่มความเข้าใจส่วนตัวลงไป

เมื่อเย่โม่ฟังจบเขาก็พึมพำกับตัวเอง  “ที่แท้ก็ตรงนั้นเอง  ดูท่าแล้วแผนที่คงจะนำไปสถานที่นั้นจริงๆ   เข้าใจล่ะ  ขอบคุณมาก…หว่านชิง”

ฉือหว่านชิงยิ้มออกมา  “ฉันดีใจมากที่ได้ช่วยพี่เย่  ไม่ต้องขอบคุณหรอก...เรื่องครู่ฉันยังไม่ได้มีโอกาสขอบคุณพี่เลย”

“หืม...ก็จริง”  เย่โม่หัวเราะออกมา  เขาเอาแผนที่และถุงพลาสติกเก็บกลับเข้าไปในหลุมศพอีกครั้ง   รวมถึงซากกระดูกเหล่านั้นด้วย

ตอนที่เย่โม่แบกฉือหว่านชิงขึ้นหลังอีกครั้งนั้น...พวกของกัวฉี่ทั้ง 3 คนก็จัดการเก็บกวาดซากการต่อสู้เรียบร้อยแล้ว  พวกเขากำลังรอทั้ง 2 คนอยู่

ฉือหว่านชิงรู้สึกได้ทันทีว่าสายตาของเพื่อนร่วมทีมที่มองมาดูจะต่างจากเดิมอยู่มาก  เธอคิดจะอธิบายแต่ก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงดีเหมือนกัน

เย่โม่วางฉือหว่านชิงลงแล้วพูดขึ้น  “ผมต้องไปแล้ว  พวกเราแยกกันตรงนี้ก็แล้วกัน”

“เอ๊ะ...พี่ใหญ่เย่จะไปแล้วหรือ?”  เมื่อได้ยินว่าเย่โม่จะจากไปฉือหว่านชิงก็รู้สึกใจหายขึ้นมา

หลูหลินหันมามองฉือหว่านชิง  เธอรีบพูดขึ้น  “เย่โม่  ถ้านายไปแล้วฉันคงต้องแบกฉือหว่านชิงขึ้นหลัง  แต่ถ้าฉันแบกไม่ไหว...ก็คงต้องให้ฟางเว่ยหรือกัวฉี่แบกแล้ว”

“แล้วมันเกี่ยวกับผมตรงไหน...”  เย่โม่พูดได้ครึ่งเดียวก็รู้สึกถึงสายตาอ้อนวอนของฉือหว่านชิง  เย่โม่จึงรู้สึกว่าเธอก็ช่วยเขาไว้มาก  ไม่อย่างนั้นเขาคงจะต้องจำตัวอักษรเหล่านั้น...ทั้งยังไม่รู้ว่าจะต้องไปหาคนช่วยแปลได้จากที่ไหนอีก

ในเมื่อตอนนี้เขาไม่มีธุระอื่นอีก  ไปส่งเธอเสียหน่อยก็น่าจะดี  พอคิดถึงตรงนี้เย่โม่ก็พูดขึ้น  “เอาเถอะ!  ในเมื่อเป็นแบบนี้ผมจะไปส่งก็แล้วกัน  ขึ้นหลังมาสิ...หว่านชิง”

“อาจารย์...เรียกเธออย่างสนิทสนมจริงนะครับ”  ฟางเว่ยพูดอย่างมีเลศนัย

เย่โม่โบกมือ  “หยุด  ผมยังไม่ได้พูดสักคำว่ารับนายเป็นศิษย์”

ฉือหว่านชิงที่ได้ยินว่าเย่โม่จะไปส่งก็ดีใจ  เธอขานรับแล้วรีบทิ้งตัวบนหลังของเย่โม่ทันทีโดยไม่มีท่าทีเอียงอายเกรงใจแม้แต่น้อย

“เห้อ...หว่านชิง  อย่างน้อยก็สงวนท่าทีสักหน่อยเถอะ  ดูตัวเองสิ...ไม่ทันไรก็เป็นแบบนี้แล้ว  ฉันจะพูดกับเธอยังไงดีเนี่ย?”  หลูหลินมองฉือหว่านชิงแล้วถอนหายใจ

เย่โม่รีบพูดขึ้น  “หัวหน้าหลูหลินอย่าพูดแบบนั้นสิ  ผมกับหว่านชิงเราไม่ไดมีอะไรกัน  ผมเพิ่งรู้จักเธอเหมือนๆ กับที่รู้จักพวกคุณนั่นแหละ”

ใบหน้าของฉือหว่านชิงแดงขึ้นด้วยความอายและไม่กล้าพูดอะไร  ได้แต่ถามตัวเองว่าเมื่อกี้ทำอะไรลงไปเนี่ย!?  แต่เธอก็รู้ตัวดีว่าเย่โม่เป็นผู้ชายคนแรกนอกจากพ่อของเธอที่ทำให้รู้สึกดีได้แบบนี้  เธออยู่ในกองทัพมา 3 ปีแล้ว...ยังจะมีอัจฉริยะแบบไหนกันที่เธอไม่เคยเจอ?  แต่ไม่มีใครสักคนที่ทำให้เธอรู้สึกประทับใจได้เลย  แต่วันนี้ตอนที่ได้เห็นเย่โม่ครั้งแรก...ใจของเธอก็สลักภาพเขาลงไปเสียแล้ว

ถึงแม้ฉือหว่านชิงจะมีนิสัยเย็นชา  แต่ด้วยอิทธิพลจากครอบครัวก็ส่งผลให้เธอกลายเป็นคนเปิดเผย   เธอปกปิดความรู้สึกของตัวเองไม่เก่ง  หรือพูดได้ว่าเธอไม่คิดจะทำมันตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ  รู้สึกดีก็คือรู้สึกดี  ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ  ถ้าไม่ใช่เพราะนิสัยแบบนี้เธอก็คงจะไม่มีปากมีเสียงทะเลาะกับครอบครัว  จนสุดท้ายจึงแยกตัวมาอยู่กองทัพแบบนี้หรอก

เพราะอย่างนั้นการที่เย่โม่รั้งอยู่ด้วยกันแบบนี้เธอจึงรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก  บางทีถ้าหลูหลินไม่เอ่ยปากรั้งเขาไว้...เธออาจจะเป็นฝ่ายอ้อนวอนเขาแทนก็เป็นได้  ตอนที่เรียนมหาวิทยาลัยยายของเธอเคยบอกเอาไว้   ‘อย่าได้ปล่อยให้โอกาสหลุดมือ  เพื่อจะมานั่งเสียใจภายหลัง’

แววตาของเย่โม่ใสกระจ่าง  ไร้ร่องรอยซ่อนเร้นแผนการในแบบที่เธอไม่ชอบ  ที่สำคัญที่สุดคือเขาช่วยชีวิตเธอไว้  รวมถึงว่าเขายังเป็นคนเก่งมีฝีมืออีกด้วย

ในความคิดของฉือหว่านชิง  เย่โม่นั้นคล้ายกับไข่มุกที่ซ่อนเร้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้า  ในเมื่อเธอพบเขาแล้ว  ก็ไม่มีเหตุผลใดให้ต้องรั้งรออีกแล้ว  ถึงแม้ตอนนี้เขาจะดูซอมซ่ออยู่มาก  แต่สักวันหนึ่ง...เขาจะต้องทะยานสู่ท้องฟ้าเป็นแน่!

แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้ฉือหว่านชิงรู้สึกดีต่อเย่โม่  สาเหตุหลักก็คือบนตัวเย่โม่มีสิ่งที่เธอปราถนาอยู่...ความสงบ  อิสระและความเป็นธรรมชาติที่ยากจะบรรยายออกมาได้

ด้วยรู้นิสัยของฉือหว่านชิงดี  หลูหลินจึงไม่ได้พูดอะไร  กัวฉี่และฟางเว่ยเองก็ไม่ได้ล้อเลียนเช่นเดียวกัน  ส่วนตัวแล้วกัวฉี่เคารพเย่โม่มาก  ในสายตาของเขา...เย่โม่ถือได้ว่าเป็นยอดฝีมือของจริงที่เก็บงำความสามารถเอาไว้

ป่าบริเวณเขตชายแดนของจีนและเวียดนามนั้นมีขนาดกว้างขวาง  นอกจากหัวหน้าหลูหลินที่สะพายกระเป๋าน้ำหนักเบาของเย่โม่แล้ว  กัวฉี่และฟางเว่ยต่างก็แบกปืนนับ 10 กระบอกรวมถึงเถ้ากระดูกของเพื่อนร่วมทีมที่เสียชีวิตด้วย…ทำให้รู้สึกกินแรงอยู่บ้าง  เดินมาไม่กี่ชั่วโมงฟ้าก็มืดเสียแล้ว  พวกเขาจึงตัดสินใจตั้งแค้มป์พักสักคืนหนึ่งแล้วค่อยเดินทางต่อ

เพราะพวกของหลูหลินถูกซุ่มโจมตี  ขณะที่หนีเอาชีวิตรอดจึงทำให้ของต่างๆ หล่นหายไปเสียเยอะ   ตอนนี้จึงมีเพียงเต็นท์ในกระเป๋าของเย่โม่เท่านั้น  เขาหยิบเต็นท์ให้หลูหลินและฉือหว่านชิงเข้าไปพัก  ส่วนเย่โม่กับอีก 2 คนก็ได้แต่นอนอยู่ข้างนอก

กัวฉี่และฟางเว่ยนั้นถือว่ามีประสบการณ์เอาชีวิตรอดนอกสถานที่มาไม่น้อย  เพียงไม่นานก็จัดการเก็บกวาดสถานที่รวมถึงสร้างเต็นท์ไม้ออกมาอีกด้วย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด