ตอนที่แล้วคาถาส่งท้าย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปคาถาพิเศษ [Part 2]

คาถาพิเศษ [Part 1]


 

ผมเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่าความสุขของผมหน้าตามันเป็นไง ?

ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของผมมีแต่เรื่องแย่ ๆ เกิดขึ้นมาตลอด นับตั้งแต่ผมได้ลืมตาขึ้นมาบนโลกใบนี้พร้อมกับพลังพิเศษ ครอบครัวของผมต้องแบกรับความรับผิดชอบอันแสนใหญ่หลวงมาหลายชั่วอายุคน เพื่อดูแลหนังสือเล่มหนึ่ง หนังสือที่ขังพลังความชั่วร้ายเอาไว้ไม่ให้ออกมาได้ แต่ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องการจะปลดปล่อยมันออกมาถึงขนาดตามล่าครอบครัวผมแบบเอาเป็นเอาตาย และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ครอบครัวของผมเปลี่ยนที่อยู่ตลอดเวลาเพื่อหนีคนพวกนั้น

ผมย้ายมาอยู่เมืองไทยตอนผมอยู่ชั้น ม.5 หลังจากพ่อของผมเสียชีวิตลง พ่อของผมเป็นคนไทยที่ไปเรียนต่อและได้งานทำที่ต่างประเทศจนได้มาเจอกับแม่ของผม ผมเป็นคนที่สนิทกับพ่อมาก คุยกับพ่อทุกเรื่อง แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันมันก็เกิดขึ้นมาจนได้ เมื่อคนพวกนั้นตามหาพวกเราจนเจอ ไม่ว่าเราจะป้องกันมันขนาดไหนก็ตาม พ่อของผมถูกใช้เป็นเครื่องต่อลองกับแม่เพื่อแลกกับหนังสือเล่มนั้น และแน่นอนว่าแม่เลือกที่จะปกป้องหนังสือแทนที่จะเป็นพ่อ มันทำให้ผมโกรธแม่มากในตอนนั้น ผมเกลียดสิ่งที่ตัวเองเป็นมาตลอด ไม่เคยมีความสุขเลยที่ต้องแบกรับอะไรแบบนี้ไว้ ก็ได้แต่หวังว่าเวลาจะทำให้ผมโกรธแม่น้อยลง

กระทั่งช่วงเวลาหนึ่งที่ผมย้ายมาอยู่เมืองไทย ผมเองก็เหมือนกับวัยรุ่นทั่ว ๆ ไป ผมแอบชอบผู้หญิงคนหนึ่งเข้า เธอเป็นรุ่นน้องในโรงเรียนผมนี่เอง ช่วงนั้นผมอยากหารายได้พิเศษขึ้นมาด้วย เลยรับสอน รับติวภาษาอังกฤษที่ผมใช้มาตั้งแต่เกิด รุ่นน้องคนนั้นเป็นรุ่นน้องผม 1 ปี เธอชื่อสุกี้ครับ เธอให้ผมเรียกเธอสั้น ๆ ว่ากี้ กี้เป็นเด็กสาวที่ตัวเล็กน่าทะนุถนอม ใบหน้าของเธอผมเห็นครั้งแรกก็รู้ทันทีเลยว่าเธอมีเชื้อสายจีนอยู่มาก บางทีผมก็ไม่รู้ว่าเธอลืมตาหรือหลับตาคุยกับผมอยู่ ยิ่งตอนยิ้มนี่นะ ตาเป็นเส้นตรงเลยก็ว่าได้ แต่ก็นะ ผมว่ามันน่ารักดี เธออยากสอบได้ทุนโครงการแลกเปลี่ยนต่างประเทศครับ เพื่อนของเธอที่เรียนกับผมเลยแนะนำผมให้เธอรู้จักอีกที

กี้เป็นคนเฟรนลี่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย บ่อยครั้งมันก็ทำให้ผมแอบคิดว่าบางทีน้องเขาจะชอบผมบ้างหรือเปล่า แต่ผมเองก็กลัวที่จะดึงคนอื่นเข้ามาให้ตกอยู่ในอันตรายกับเรื่องครอบครัวผมเหมือนกัน

“พี่บอกกี้แล้วไงครับ ถ้าเป็น passive voice มันต้องมี verb.to be ก่อนซิ แล้วดู tense ด้วย ผิด tense อีก โอ๊ย เด็กคนนี้” ผมพูดพลางเขกหน้าผากน้องเขาเบา ๆ ที่ทำข้อสอบพลาดมาสองข้อติดแล้ว

ตอนนี้ผมกำลังนั่งติวให้น้องหลังเลิกเรียนที่โรงอาหารของโรงเรียน คนถูกเขกหัวทำหน้าเบ้ก่อนบ่นโอดครวญเรื่องเรียนให้ผมฟัง

“ก็กี้ลืมอะพี่แมท ช่วงนี้มึน ๆ วันนี้ก็เพิ่งสอบย่อยไป”

เห็นแล้วก็เอ็นดู ยิ่งทำหน้าอ้อนแบบนั้น ผมยิ่งใจไม่ดี

“ไหวไหมเนี่ยเรา เอางี้ วันนี้ไม่ต้องเรียนละ พี่พาไปกินบิงซูดีกว่า เลี้ยงด้วย เอาเปล่า” ผมถามน้องเขาไป ไหน ๆ ก็เห็นว่าวันนี้เจ้าตัวไม่ค่อยมีสมาธิสักเท่าไร ขืนฝืนเรียนต่อไปก็คงจะไม่ได้อะไรขึ้นมา

“ก็ได้ ๆ งั้นไปร้านข้างโรงเรียนนะ” กี้พูด

ผมกับกี้เดินมาร้านขายบิงซูแถวโรงเรียนที่เดินออกมาไม่นานก็ถึง วันนี้ก็คนเยอะอีกตามเคยเพราะเป็นช่วงหลังเลิกเรียนด้วย กี้มองหน้าผมเป็นเชิงถามว่าเอาไงกันดีเพราะไม่มีโต๊ะว่างให้เรานั่งเลย และดูแต่ละโต๊ะน่าจะนั่งแช่กันอีกนาน ป๊ากี้คงจะมารับพอดีกว่าเราจะได้เข้าไปนั่งกินกัน

“งั้นไปกินก๋วยเตี๋ยวกันปะ” ผมหันไปบอกกับกี้ นึกขึ้นได้ว่าที่ท้ายซอยก็มีร้านก๋วยเตี๋ยวร้านอร่อยอยู่เหมือนกัน แถมเดินต่อจากตรงนี้ไปอีกสักห้านาทีก็ถึงแล้ว

“เอาจริงดิพี่แมท นี่เพิ่งห้าโมงเย็นเองนะ กี้ยังไม่หิวเลย อยากกินอะไรเบา ๆ” คนถูกชวนตอบผมกลับมา

“ก็พี่อยากเลี้ยงอะ ถ้าเราไม่อยากกิน งั้นก็แยกย้ายละกัน ไว้เจอกันพรุ่งนี้ครับ” ผมตอบคนตัวสูงน้อยกว่ากลับไป แกล้งดึงหน้าตึง ๆ พร้อมทำท่าจะเดินกลับไปอีกทาง ยังอยากให้อยู่ด้วยต่อนี่นา วันนี้อุตส่าห์ยอมเลิกสอนไวด้วย นึกว่าจะได้มานั่งหาไรกินด้วยกัน

“โอ๋ ๆ ก๋วยเตี๋ยวก็ได้ ไม่น้อยใจนะโอ๋เอ๋” เสียงพูดอ้อนดังขึ้นข้างหลังก่อนมือของกี้จะดึงชายเสื้อนักเรียนที่ถูกเอาออกมานอกกางเกงของผมไว้แล้วเดินมาขวางข้างหน้า มือของเจ้าตัวจิ้มมาที่พุงผมสามสี่ครั้งทำหน้าแบ๊วใส่อีก ให้ตายเถอะ แล้วรอยยิ้มพร้อมกับตาสระอินั่นคืออะไร ลืมตาเถอะกี้

มันจะน่ารักเกินไปแล้ว ...

“ทำไมพี่แมทพุงนิ่มจัง ซิทอัพบ้างนะ”

โอ๊ย เด็กบ้าอะไรเนี่ย  ถึงเนื้อถึงตัวผู้ชาย เขินเป็นนะเฮ้ย ...

“เพื่อนเล่นเหรอ” ผมพูดออกไปพร้อมดันหัวน้องออกห่าง

“just kidding น่า”

ผมไม่ตอบอะไรกี้กลับไป เขกมะเหงกคนที่หลอกจิ้มพุงผมหนึ่งที ก่อนพวกเราจะพากันเดินมาเกือบสุดซอยซึ่งมีร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าดังเปิดร้านรอพวกเราอยู่ แน่นอนว่าคนยังน้อยอยู่ อาจเป็นเพราะยังไม่ถึงเวลามื้อเย็นของใครหลาย ๆ คนก็เป็นไปได้

“หมี่ขาวน้ำใสพิเศษลูกชิ้นครับ” ผมสั่งเมนูไปกับแม่ค้า

“เอาหมี่เหลือต้มยำหมูรวมค่ะ”

หลังจากสั่งไปไม่นาน ไม่ถึงสิบนาทีชามก๋วยเตี๋ยวสองชามก็ถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะ ตั้งแต่กลับมาเมืองไทยผมน้ำหนักมากกว่าเดิมเยอะเลย ของกินอร่อยเยอะ กลิ่มหอม ๆ ของสิ่งที่อยู่ในชามช่างทำให้ความหิวของผมเพิ่มขึ้นมาเลย ว่าแล้วก็จัดการจับตะเกียบแล้วคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปาก

“พี่แมทไม่ปรุงอะไรเลยเหรอ” คนที่นั่งตรงข้ามผมถามขึ้นมา

“ไม่อะ พี่ชอบกินจืด ๆ” ผมตอบน้องเขาไป

ยอมรับเลยว่ากินเผ็ดไม่ได้ ผมท้องเสียทุกทีเลยเวลากินของเผ็ด ๆ แต่สำหรับคนที่นั่งตรงข้ามผมlbแปลก ปกติผมมักจะเห็นพวกตี๋ ๆ หมวย ๆ เขาชอบกินแบบจืด ๆ กันซะอีก เห็นน้ำซุปสีส้มเหมือนทะเลเพลิงในชามของกี้แล้วผมก็ยอมเลย กินแบบนั้นไม่ได้จริง ๆ

“หูย เหมือนเฮียหนูเลย โตจะตายแล้วยังกินเป็นเด็กน้อย”

นั่น มีมาแขวะผมด้วย

“หรา”

กินไปไม่ถึงห้านาทีผมก็เห็นคนที่อยู่ตรงข้ามคว้าแก้วน้ำมาดื่มทุก ๆ ครึ่งนาที แล้วคนไหนมันบอกไม่เผ็ดหว่า แล้วดูปากเล็ก ๆ นั่น แดงไปหมดแล้ว แต่เจ้าตัวก็ดูเอร็ดอร่อยแถมตักเข้าปากได้เรื่อย ๆ อยู่ดี

“กี้” ผมเรียกน้องเมื่อเห็นใบหน้าที่แดง พร้อมกับน้ำหูน้ำตาที่ไหลออกมา หลังจากทานคำสุดท้ายเสร็จก็ยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มอึก ๆ ลงท้อง

“คะ ?” คนถูกเรียกเงยหน้าขึ้นมองผม

ใบหน้าที่แดงเพราะความเผ็ดร้อนยิ่งแดงหนักเข้าไปอีกเมื่อผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้

“พะ พี่แมท จะทำอะไรอะ ยื่นหน้ามาใกล้ทำไม” คนพูดว่าตะกุกตะกัก ผมเห็นแล้วก็ขำ ยิ่งขำหนักเข้าไปใหญ่เมื่อเจ้าตัวหลับตาปี๋ นี่คิดว่าผมจะทำอะไรเนี่ย น้องอายุไม่ถึงสิบแปดด้วยซ้ำ สงสัยอ่านนิยายมากเกินไป

“หลับตาทำไมกี้ ลืมตา พี่จะบอกว่าพริกติดฟันเรา ฮ่าฮ่า”

“พี่แมท !”

“เบา ๆ ซิ ป้าเขาหันมามองแล้ว” ผมรีบบอกน้องเขาแล้วขำต่อเพราะเสียงที่พูดเมื่อกี้ดังไม่ใช่น้อยเลย คุยเล่นไปอีกสักพักมือถือกี้ก็มีสายเข้า ผมเห็นเจ้าตัวทำหน้างง ๆ เมื่อก้มไปที่ลงไปมองชื่อคนที่โทรมาก่อนกดรับสาย

“คะว่าไงเฮีย หืม เฮียอยู่ไหนแล้วนะ ฮะ ... ยืมมอไซค์เฮียอิฐมารับ ป๊าไม่ว่าง ไม่ ๆ เฮียไม่ต้องไปหน้าโรงเรียน กี้ออกมาหาอะไรกินข้างนอก”

“โอ๊ย เดี๋ยว ๆ เฮียไม่ต้องเข้ามา เดี๋ยวกี้ออกไปหาเอง” กี้พูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“มีไรหรือเปล่ากี้ทำไมต้องทำท่ารีบร้อนขนาดนั้นอะ” ผมถามน้องหลังจากเจ้าตัวกดวางสายลง

“ก็วันนี้เฮียกี้มารับอะพี่แมท คือเฮียกี้เขาเป็นคนหวงกี้มากอะ บ้า ๆ บอ ๆ อีกอย่างกี้บอกเขาด้วยว่ารุ่นพี่ที่กี้มาติวด้วยเป็นผู้หญิง ถ้าเขามาเจอพี่แมทตอนนี้ กี้ว่าไม่น่าจะโอเค” กี้ตอบผมกลับมาพร้อมคว้ากระเป๋าขึ้นมาสะพาย

“โห ขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมถามกี้ไปหัวเราะขำ ๆ ก็อย่างว่านะมีน้องสาวน่ารักก็ต้องห่วงเป็นธรรมดา

“งั้นกี้ขอตัวกลับก่อนนะ มาแล้วไวมากเลย พี่แมทอย่าเพิ่งออกไปนะ รอให้กี้ออกไปสักห้านาทีก่อน”

“โห ต้องขนาดนั้นเลย โอเค งั้นไว้เจอกันนะครับ”

พูดจบผมก็ยิ้มขำก่อนโบกมือลาน้องเขาไป เห็นแวบ ๆ เหมือนเห็นเฮียของกี้เป็นนักเรียนวัยเดียวกันกับผมอยู่เลยใส่หมวกกันน็อคผมเลยไม่เห็นหน้า ไอ้เราก็นึกว่าเป็นแบบพี่ชายที่แก่กว่าสักสี่ห้าปีซะอีก แต่ก็ช่างเถอะ ว่าแล้วผมก็เดินไปจ่ายเงินแม่ค้าพร้อมออกจากร้านไป

ผมเดินออกจากร้านไปสักพักก็รู้สึกเหมือนมีคนสะกดรอยตามมาข้างหลัง เซ้นส์ของผมมันบอก ว่าแล้วผมก็หันกลับไปดู มีชายชุดดำคนหนึ่งแอบตามผมมาจริง ๆ ด้วย ผมถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน นี่มันถึงเวลาที่ผมต้องย้ายที่อยู่ ที่เรียนอีกครั้งแล้วสินะ ชีวิตวัยรุ่นที่แสนปกติอย่างคนอื่นเขาคงไม่มีวันเป็นจริงสำหรับผม

ลาก่อนนะกี้ ...

และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่ผมเจอกับกี้ก่อนต้องย้ายโรงเรียนไปอยู่ต่างจังหวัดอยู่พักหนึ่ง ผมไม่อยากให้คนนอกเข้ามามีส่วนพัวพัน พวกมันอาจจะใช้คนอื่นเป็นเครื่องต่อลองเหมือนเรื่องพ่อผมก็ได้

ผมใช้ชีวิตแบบปกติไปอีกเกือบหนึ่งปีก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ แน่นอนว่าผมอยากให้มันเป็นแบบนี้ตลอดไป แต่แล้วชีวิตผมก็เป็นสุขได้ไม่นานนัก วันที่ผมหายโกรธแม่ก็มาถึงแบบไม่ทันตั้งตัว น้าของผมได้มาบอกข่าวว่าแม่ของผมถูกพวกแม่มดดำฆ่าตายแล้ว ตอนนั้นผมช็อกมาก ช็อกจนทำอะไรไม่ถูก ผมไม่เคยคิดว่าแม่จะจากผมไปทั้ง ๆ ที่ผมยังรู้สึกไม่ดีกับแม่อยู่แบบนี้ ผมยังโทษแม่เรื่องการตายของพ่ออยู่ ความรู้สึกเหล่านั้นยังไม่หายไปไหนสักที แต่หลังจากที่รู้ว่าแม่ได้ตายไปแล้วผมก็ยกโทษให้แม่ทั้งหมด ตอนนี้ผมคือคนคนเดียวที่ต้องดูแลหนังสือเจ้าปัญหานั้นต่อ และครอบครัวคนสุดท้ายที่ผมเหลือคือน้าซิลเวีย น้องสาวของแม่ที่ไม่ได้มีพลังติดตัวมาตั้งแต่เกิดเหมือนพวกเรา

แต่มันยังมีปัญหาตามมาอีกที่ว่าตอนนี้หนังสือนั่นมันได้ไปอยู่ในมือของคนอื่น คนที่แม่ของผมทิ้งเอาไว้ให้ และนั่นเป็นเหตุทำให้ผมรู้จักกับคนคนหนึ่ง

ไอ้ชาบู ...

ไอ้ตี๋ที่ดูนิสัยคล้ายผมอย่างประหลาด พร้อมกับหน้าตามันที่ผมรู้สึกคุ้นเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ผมกลายเป็นเพื่อนกับมันโดยบังเอิญเพราะมันดันไปเผาหนังสือที่ครอบครัวผมดูแลมาหลายชั่วอายุคน และทำให้มันกลายเป็นพ่อมดเหมือนกันกับผม ด้วยนิสัยและอะไรหลาย ๆ อย่างทำให้ผมสนิทกับมันอย่างรวดเร็ว แถมผมยังได้เพื่อนเพิ่มขึ้นมาอีกสองคนคือไอ้คีย์ และไอ้อิฐ ถึงแม้ว่ามันจะตามมาด้วยเรื่องราวปวดหัวมากมาย แต่ผมก็รู้สึกสนุกทุกครั้งที่ได้อยู่กับพวกมัน

พวกมันทำให้ผมได้รู้ว่าผมไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลก ...

แม้กระทั่งวันที่ผมถูกน้าตัวเองหักหลัง มันเหมือนกับว่าเราเกิดมาเพื่อต่อสู้กับปัญหามากมายอยู่คนเดียว มันทั้งเหนื่อยและท้อ แต่เมื่อไรที่มีคนคอยอยู่เป็นเพื่อนเรา ความรู้สึกเหล่านี้มันดีขึ้นจนน่าประหลาด

ผมเองก็เพิ่งมารู้ภายหลังว่ากี้เป็นน้องสาวแท้ ๆ ของชาบู นั่นทำให้ผมแปลกใจกับโลกใบนี้มากขึ้นไปอีก อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น ช่วงนั้นชีวิตผมเลยกลับมามีสีสันอีกสักระยะ

แล้ววันที่ต้องจบสิ้นทุกอย่างก็มาถึง ผมต้องตัดสินใจที่จะทำอะไรบางอย่าง แม่ของผมไม่ได้ทิ้งหนังสือเล่มนั้นด้วยความบังเอิญ แต่จงใจทิ้งไว้เพื่อให้ผมตามไปฆ่าเจ้าของร่าง เพื่อใช้ร่างนั้นผลึกพลังชั่วร้ายเอาไว้ แต่ตลอดเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมามันทำให้ผมทำแบบนั้นไม่ลง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นทำให้ผมผูกพันกับพวกมันไปแล้ว ผมฆ่าชาบูไม่ได้ ถ้าผมทำแบบนั้นผมก็ไม่ต่างอะไรจากแม่ ยอมปกป้องหนังสือถึงแม้ว่าจะต้องเสียคนสำคัญของตัวเองไป

สำหรับผมแล้ว ผมไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์มันซ้ำรอยหรอก ผมไม่ได้มองว่าสิ่งที่ผมเสียสละลงไปมันจะทำให้ผมดูดี ดูเท่ห์ ดูเป็นพระเอกหรืออะไร ผมมองแค่ว่ามันคุ้มแค่ไหนต่างหากกับคนที่เหลือที่สำคัญกับเรา ชาบูยังมีคนที่เป็นห่วงมันอีกเยอะ มันมีทั้งป๊า ทั้งม๊า ทั้งกี้ และเพื่อนของมัน

แต่สำหรับผมแล้ว ผมมีแค่พวกมัน ผมคิดว่าผมคิดถูกแล้วที่ทำแบบนี้

“ไอ้แมท ! เป็นผีแล้วยังทำตัวเป็นพระเอกเอ็มวีอีก ไปได้แล้วมึง” เสียงของชาบูเรียกผมที่กำลังยืนมองพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่ริมโขงอยู่ ใช่แล้วครับ ผมได้ตายไปเรียบร้อยแล้วเมื่อสามวันก่อน ตอนนี้ผมก็แค่วิญญาณดวงหนึ่งที่ตามพวกเพื่อน ๆ มาเที่ยวกัน

ผมหันไปมองคนอื่น ๆ ที่โบกมือรอผมอยู่แล้วก็ยิ้ม ผมเหลือเวลาอีกแค่ 10 วันบนโลกใบนี้ก่อนที่จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ที่ตัวผมเองก็ยังไม่รู้หรอกว่ามันจะเป็นยังไง แต่ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ผมมีความสุขมากจนไม่อยากจะจากไปไหนเลย

ภาพไอ้คีย์ที่ยิ้มให้กับพี่ฟองขณะเดินคุยกันไป ...

ภาพไอ้อิฐที่ช่วยถ่ายรูปให้กี้โดยพยายามจะลากผมเข้าไปอยู่ในเฟรมให้ได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีทางถ่ายติด ...

ภาพชาบูที่ถูกใยไหมบ่นเวลาถ่ายรูปให้ไม่ได้ดั่งใจ ...

ผมเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่าความสุขของผมหน้าตามันเป็นไง ?

ผมคิดว่าตอนนี้ผมรู้คำตอบของมันแล้ว ...

         หน้าตามันเหมือนสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของผมนี่เอง ...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด