ตอนที่แล้วบทที่ 10 เริ่มต้นการแข่งขันสานสัมพันธ์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 12 การประลองของกุนไท่

บทที่ 11 วางแผนการรบ


บทที่ 11 วางแผนการรบ

แต่ละทวีปจะต้องส่งตัวแทนสิบคนขึ้นมาบนแท่นสูง เบื้องหน้าของพวกเขาเหล่านั้นปรากฏผู้ตัดสิน ซึ่งเป็นชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบปี สวมใส่อาภรณ์สีขาว ใบหน้าดุดัน มีเรือนผมสีดำขลับ ทั่วร่างกายแผ่ไอแห่งความตายตลบอบอวล ทำให้ผู้คนที่อยู่โดยรอบนั้นก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว

“ข้าขอประกาศ! การแข่งรอบแรก ทวีปอรุณเบิกฟ้าประลองกับทวีปสวรรค์ลับแล พวกเจ้าทั้งสองทวีปออกมาวางแผนการรบได้”

เมื่อชายวัยกลางคนพูดมาถึงตรงนี้ คนของทั้งสองทวีปก็กวาดตาดูค่ายกลขนาดเล็ก เมื่อมองเข้าไปแล้วทำให้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ สิ่งปลูกสร้าง รวมถึงต้นไม้ใบหญ้า และทหารของทั้งสองฝั่งได้

“พวกเจ้าทั้งสองฝ่ายคงเห็นแล้วว่า ภายในค่ายกลนั้นมีสิ่งต่างๆที่ให้ไว้ ทหารให้ฝั่งละหนึ่งแสนนาย ส่วนจะจัดกองกำลังอย่างไรนั้นล้วนขึ้นอยู่กับพวกเจ้า เริ่มได้!”

คนทั้งสองทวีปต่างแยกกันมาปรึกษาหารือ

“เฟยเทียน! เจ้าเคยติดตามบิดาของเจ้าซึ่งเป็นกุนซือไปทำสงครามแล้ว ข้าให้เจ้าวางแผนรบ และจัดตั้งกองทัพ ส่วนเจ้าฉวี่เฉิน เจ้าไปสำรวจดูสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม หรือสิ่งที่ทำให้ฝั่งเรานั้นสามารถสร้างความได้เปรียบ เมื่อทราบแล้วเจ้าจงไปบอกเฟยเทียนเพื่อให้เขาวางแผนการรบได้ดีขึ้น!”

หนิงเทียนผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึม เขานั้นรู้ความสามารถของคนในกลุ่มดี การแบ่งหน้าที่จะช่วยทำให้งานง่ายขึ้น

“ส่วนหยางสือ เจ้าหาคนที่น่าจะสามารถเป็นผู้บังคับบัญชาในกองทัพได้มาที ส่วนเจ้า เจ้า และเจ้า...

หนิงเทียนยังคงสั่งให้คนอื่นทำตามหน้าที่ ยกเว้นกุนไท่ เพราะเขาไม่รู้ว่านายน้อยผู้นี้ทำอะไรเป็นบ้าง และสถานะของเด็กหนุ่มนั้น หนิงเทียนไม่กล้าสั่งกุนไท่ให้ทำสิ่งใด

กุนไท่นั้นไม่มีความรู้ทางด้านนี้มากอยู่แล้ว เขาเคยได้แต่อ่านตำรามาบ้างเท่านั้น ทำให้เขาพอเข้าใจอยู่บ้างแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี เพียงแต่เขานั้นอยากมีส่วนร่วมด้วยเช่นกัน ตนเลยเอ่ยปากถามขึ้นมาอย่างคาดหวัง

“ศิษย์พี่หนิง ข้าขอช่วยด้วยได้หรือไม่?”

“ข้าไม่ทราบว่า ศิษย์น้องกุนมีความสามารถด้านไหนบ้างในด้านการรบ เอาอย่างนี้เป็นเช่นไร! เจ้าเป็นคนมองสถานการณ์ก็แล้วกัน”

หนิงเทียนตอบกลับก่อนจะเลิกสนใจอีกฝ่าย เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบตกลง เพราะเขาก็ไม่รู้ว่าจะทำสิ่งใดเหมือนกัน แม้เป็นผู้มองสถานการณ์รบแต่ก็สำคัญเช่นกัน เพราะหากเกิดสิ่งผิดปกติหรือสิ่งใดผิดพลาดขึ้น ก็ต้องรีบรายงานให้แม่ทัพรับรู้ แล้วจะทำให้สถานการณ์ภายในสงครามไม่เกิดสิ่งใดผิดพลาด

เมื่อแบ่งหน้าที่กันเรียบร้อยแล้ว ค่ายกลก็ส่งพวกเขาเข้าไปข้างในทันที สภาพแวดล้อมของพวกเขาเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน รอบตัวพวกเขานั้นมีทั้งภูเขา ต้นไม้ และแม่น้ำ หรือสิ่งปลูกสร้างที่เป็นเหมือนฐานทัพ

“พวกเรานั้นเป็นฝ่ายตั้งรับ พวกเราจะรอให้พวกมันเข้ามาหาเอง ข้าได้วางแผนเรียบร้อยแล้ว ทหารมีทั้งหมดหนึ่งแสนคน ทหารราบข้าแบ่งเป็นสามหมื่นนาย นักธนูสองหมื่นนาย ทหารม้าสองหมื่นนาย ทหารเกราะหนักหมื่นนาย และที่ขาดไม่ได้เลยคือกองโจรสองหมื่นคน!”

“นี่คือทหารทั้งหมดที่ข้าจัดขึ้นมา ฉวี่เฉินบอกข้ามาว่าข้างหน้าป้อมปราการของเรา เป็นพื้นที่ว่างโล่ง ข้าเลยจะให้ทหารช่วยกันขุดหลุมลึกเป็นสองฝั่ง ซ้ายและขวาโดยเหลือที่ตรงกลางไว้เพื่อจำกัดพื้นที่ของพวกมัน ส่วนตรงกลางที่เหลือนั้น จะให้ทหารเกราะหนักไปอยู่ปิดเส้นทาง ส่วนบนป้อมปราการให้นักธนูประจำแต่ละจุดไว้”

“หากพวกพวกมันเปลี่ยนเส้นทางไม่ยอมมาพื้นที่ราบ มันยังมีอีกทางนั่นคือต้องเดินขึ้นเขา พวกเราจะให้กองโจรเปิดฉากรอบสังหาร และถอยหนีออกมาเพื่อให้มันตกใจกลัว หลังจากนั้นจะให้ทหารม้าส่วนหนึ่งไปปะทะกับพวกมันต่อ จากนั้นทหารราบอีกส่วนหนึ่งก็เข้าไปปะทะอีกทาง และกองโจรที่หนีออกมาตอนแรกนั้น ก็แอบรอโอกาสที่ฝั่งนั้นจะตลบหลังเรา เพื่อเผยแผนการของพวกมันออกมา ในค่ายกลนั้นพวกเราไม่สามารถใช้พลังหรือทำสิ่งใดได้ ทำได้เพียงแค่สั่งทหารเท่านั้น!”

เฟยเทียนกล่าวอย่างภาคภูมิกับแผนการของเขาราวกับว่าสมบูรณ์แบบ แต่หากเทียบกับผู้เชียวชาญที่แท้จริงแล้ว มันเป็นแค่การวางแผนเช่นเด็กน้อยเท่านั้น

เมื่อจัดเตรียมทุกอย่างเสร็จสิ้น พวกเขาเพียงแค่รอให้ศัตรูบุกมาเท่านั้น ทหารทุกคนนั้นมีพลังเท่ากันเพื่อความเท่าเทียม

ผ่านไปไม่นาน มีเสียงดังโลหะดังขึ้นพร้อมกันเป็นจังหวะ เบื้องหน้าป้อมปราการนั้นมีทหารม้าหลายหมื่นกำลังเดินมาอย่างเชื่องช้าด้านหลังนั้นมีทหารราบจำนวนเพียงแค่ไม่กี่พันเท่านั้น การแบ่งจัดหน้าที่ทหารนั้นมันดูผิดแปลกชอบกล

สิ่งนี้ทำให้เฟยเทียนต้องหรี่ตาในความสงสัยใคร่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน

ย้ากกกกกก

เสียงทหารที่ควบม้าวิ่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง พร้อมกับพุ่งตรงมายังหน้าป้อมปราการ แต่เมื่อสังเกตเห็นหลุมลึกเป็นทางยาว พวกมันรีบพยายามหยุดม้าที่วิ่ง การวิ่งมาอย่างเต็มกำลังของพวกมันไม่สามารถหยุดยั้ง ทำให้พวกมันล้มไม่เป็นท่า

ก่อนที่ลูกธนูนับไม่ถ้วนจะตกลงมาใส่พวกมันจนตายไปบางส่วน ส่วนทหารม้าที่มาตรงกลางนั้นไม่เจอหลุมเลยแม้แต่น้อย

พวกมันกลับคิดเพียงแค่ว่าโชคดีเท่านั้น ก่อนจะกระโจนเข้าใส่ทหารเกราะหนักที่ยืนเรียงรายราวกับกำแพงมนุษย์ขนาดใหญ่ ทหารเกราะหนักพวกนี้ไม่มีอาวุธมีเพียงแต่โล่ยักษ์ที่ปิดทั้งตัว พวกมันใช้แรงยกโล่ขึ้นก่อนจะดันให้ทหารม้าพวกนั้นล้มลงเป็นแถว ทหารเกราะหนักปกตินั้นจะไม่มีอาวุธ แต่เฟยเทียนนั้นได้ให้ทหารเกราะหนักพวกนี้แอบเก็บมีดสั้นเอาไว้ที่ด้านหลัง

พวกมันเอามีดออกมาก่อนจะแทงไปที่พวกทหารที่ตกลงจากหลังม้า ยกเว้นม้าศึกที่ไม่ได้ฆ่า ผ่านไปเพียงไม่กี่ลมหายใจทางฝั่งนั้นก็สูญเสียไปเป็นพันแล้ว

ส่วนทหารราบที่อยู่ด้านหลังของทหารเกราะหนักนั้น เดินออกมาแล้วตรงไปที่ม้าพร้อมกับขี่มันแล้ว กลายเป็นทหารม้าอีกหลายพันคนถึงแม้จะไม่ได้ใช้หอก แต่นับว่ามีประโยชน์อย่างมากในการเดินทัพ เมื่อได้ม้ามาบางส่วนแล้ว พวกเขาจึงกลับเข้าไปในป้อมปราการเพื่อรอรับคำสั่งใหม่

ทางฝั่งของทวีปสวรรค์ลับแลเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด ใครจะคิดว่าทหารม้าที่เอาไว้เปิดทางให้ทหารราบที่คิดจะแอบลอบเข้าไปในปราการ เพื่อที่จะได้เข้าไปลอบสังหารนักธนูที่อยู่บนป้อมปราการ แต่ไม่นึกว่าจะแผนการจะล้มไม่เป็นท่าเช่นนี้!

ผู้ใดเล่าจะคิดว่ากองทัพแรกจะตายหมดทัพอย่างน่าสังเวช ถึงจะเป็นเพียงไม่กี่พันก็ตาม แต่ทางฝั่งนั้นสูญเสียไปไม่ถึงหนึ่งคนด้วยซ้ำ แถมยังได้ม้าฟรีไปใช้งานอีกด้วย ขณะที่พวกมันต้องเป็นฝ่ายสูญเสียอย่างหนัก

ทุกอย่างเป็นเป็นตามที่เฟยเทียนวางแผนทั้งหมด และนี่คือหนึ่งในศิษย์ของสำนักลิขิตสวรรค์ แต่ละคนนั้นต่างมีศักยภาพที่น่าสะพรึงกลัว!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด