ตอนที่แล้วตอนที่ 85 จุดอ่อนของฉัน อยู่ตรงที่หัวใจ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 87 ยอมทำตามทุกอย่าง

ตอนที่ 86 นักโทษคดีร้ายแรง


แน่นอนว่าโทษของการก่อความวุ่นวายจนเป็นที่เดือดร้อนต่อสาธารณชนในระหว่างงานเทศกาลประมูลนั้นเป็นโทษที่รุนแรงมาก โทษคือความตายสถานเดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสิ่งที่เหนือภพได้กระทำลงไป ทั้งระเบิดบ้านเรือน ร้านค้าจนเสียหาย ทั้งยังเผาทำลายพื้นที่รอบข้าง ทั้งยังฆ่าคนตายนับร้อยรายเกลื่อนกลาดทั่วเมือง ถึงผู้ตายจะเป็นนักฆ่าก็ตาม ไม่มีใครสนใจทั้งนั้น

เมื่อกลุ่มชนพากันลุกฮือเพื่อพยายามบีบให้เหนือภพถูกจับ เหตุการณ์ก็ยิ่งลุกลามบานปลายออกไปเรื่อย ๆ ต่อให้องค์ประมุขแห่งนิรันดร์กาลจะพยายามมองข้ามเหตุการณ์นี้เพราะไม่อยากมีปัญหากับหอโลหิตและกลุ่มภารดา แต่พระองค์ก็ไม่อาจทำได้ เพราะหากประชาชนชาวเมืองนิรันดร์กาลและแขกผู้มาจากต่างเมืองลุกฮือขึ้นจนเกิดเป็นความไม่พอใจ นั่นจะเป็นการสั่นคลอนตำแหน่งของเขา องค์ประมุขลังเลอยู่เพียงชั่วขณะ เมื่อเห็นว่าการประท้วงของฝูงชนเริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ พระองค์จึงต้องประกาศจุดยืนของตัวเองออกมา

“เราผู้เป็นองค์ประมุขแห่งนิรันดร์กาล ไม่อาจยอมให้ความมืดบดบังแสงสว่าง และย่อมไม่ให้ท้ายต่อความผิดทุกประเภทไม่ว่ามันผู้นั้นจะเป็นใครก็ตาม เหนือภพมีความผิดโทษฐานฆ่าคนโดยเจตนาและก่อความวุ่นวายในงานเทศกาลที่เป็นงานรวมตัวของทุกเมืองในแคว้น”

คำกล่าวขององค์ประมุขแห่งนิรันดร์กาลเรียกเสียงสรรเสริญจากผู้คนได้ดังกระหึ่มอาคารประมูล ทว่าเสียงเหล่านั้นกลับถูกหยุดยั้งโดยคำพูดขององค์หญิงบุษย์น้ำเพชร เธอใช้อาคมขยายเสียง ทำให้น้ำเสียงไพเราะของเธอดังกังวานไปทั่ว

“เรียนองค์ประมุข ท่านด่วนสรุปเกินไปหรือเปล่า เท่าที่ข้ารู้มาคือเหล่าผู้คนที่ตายไปล้วนเป็นนักฆ่าที่ใครบางคนจ้างวานมาฆ่าเหนือภพไม่ใช่หรือ”

แม้คำพูดของบุษย์น้ำเพชรจะไม่มีหลักฐานมายืนยัน แต่มันก็มีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้ประชาชนหยุดชะงักไป ด้วยกิตติศัพท์ขององค์หญิงที่ทำแต่เรื่อง ๆ ดีมาโดยตลอด เธอช่วยคลี่คลายคดีอันไม่เป็นธรรมให้ประชาชนมานักต่อนักแล้ว เมื่อเห็นว่าทุกคนหยุดฟังเธอ เธอก็พูดต่อ

“แต่ว่าเรื่องที่เหนือภพสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินและเป็นสาเหตุของเพลิงไหม้ขนาดใหญ่นั้น มันเป็นเรื่องที่ไม่อาจปฏิเสธได้ หนำซ้ำเรื่องที่กล่าวอ้างว่าคนที่ตายไปเป็นนักฆ่าก็ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่านั่นเป็นเรื่องจริง ดังนั้นสิ่งที่องค์ประมุขตัดสินนั้นถูกต้องแล้ว แต่ว่าเพื่อให้ความยุติธรรมของพระองค์เป็นที่ประจักษ์เราควรรอหลักฐานที่ชัดเจนแล้วค่อยลงโทษเขา”

องค์ประมุขแห่งนิรันดร์กาลรู้สึกเหมือนถูกตบหัวแล้วค่อยลูบหลัง แต่อย่างน้อยคำพูดของบุษย์น้ำเพชรก็ช่วยสนับสนุนทำให้คำพูดของเขามีน้ำหนักมากขึ้น พระองค์รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก ไม่เสียแรงที่พระองค์เลือกที่จะสนับสนุนองค์หญิงและพระอนุชา เธอไม่ทำให้เขาผิดหวังเลย

“เหนือภพ จนกว่าเราจะค้นพบความจริงเจ้าถือว่าเป็นนักโทษคดีร้ายแรงของเมืองนิรันดร์กาล อย่าได้คิดหลบหนี ต่อให้เจ้ามีคนคอยหนุนหลังมากมายเพียงใด ถ้าเจ้าผิดจริงเราก็จะเอาเจ้าลงมาลงโทษตามกฎหมายให้ได้”

“หึ น่าขำ”

วัฏจักรแค่นเสียงพูดพลางหัวเราะไปด้วย ก่อนจะจ้องมองไปยังองค์ประมุขแห่งนิรันดร์กาล ที่บัดนี้พระองค์กำลังแสร้งแสดงสีหน้าหนักแน่นมากด้วยคุณธรรม ทั้ง ๆ ที่ภายในกำลังสั่นกลัวอำนาจของหอโลหิตและกลุ่มภารดา

ส่วนเหนือภพก็กำลังจ้องมองบุษย์น้ำเพชรอย่างเคืองแค้น สายตาของเขาจ้องเธอไม่วางตา ขณะพึมพำออกมาเบา ๆ

“นังงูพิษ”

บุษย์น้ำเพชรเห็นแบบนั้นก็เบือนหน้าหนี เธอเองก็ละอายใจเกินกว่าที่จะสบตาเหนือภพ แต่เธอจำเป็นต้องทำแบบนั้น

ส่วนองค์รัชทายาทจากอมตะนครก็กำลังประเมินสถานการณ์อย่างเงียบ ๆ ไปพร้อมกับเสียงไอ แค่ก ๆ เป็นระลอก สายตาเขาจับจ้องไปยังเหนือภพด้วยความรู้สึกที่อยากได้คนแบบนี้มาเป็นผู้ช่วยส่วนตัว แต่การที่เขาจะพูดช่วยเหลือเหนือภพในตอนนี้มันไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย ในเมื่อคำพูดของเขาไม่ได้มีน้ำหนักมากไปกว่าขนนก มันทำให้คนรับฟังได้ แต่ไม่หนักแน่นพอที่ใครจะเกรงใจและทำตามคำพูดของเขา การเงียบเป็นสิ่งที่ดีที่สุด และสิ่งที่ดีกว่าคำพูดคือการกระทำ นับตั้งแต่ที่เรื่องเหนือภพถูกตามฆ่ามาถึงหูเขา เขาก็ได้เตรียมการทุกอย่างไว้หมดสิ้นแล้ว รอเพียงให้พยัคฆ์คีรีกลับมาพร้อมหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่าพวกนั้นเป็นนักฆ่า ก็อาจจะช่วยให้เหนือภพรอดพ้นจากข้อกล่าวหาทั้งมวลได้

แม้ว่าหลังจากนั้นคนจากตระกูลนาคราชสายหลักจะเข้ามาช่วยพูดอย่างไรก็ตาม องค์ประมุขก็ยังไม่ยินยอม และหอโลหิตกับกลุ่มภารดาก็ยังไม่ประสงค์ออกหน้าในคราวนี้ พวกเขาเองก็มีศัตรูมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นหากออกตัวเข้าขัดขวางจนลุกลามไปเป็นการใช้กำลังกัน เรื่องก็จะยุ่งยากมากไปกว่านี้ พวกเขามีแผนที่ดีกว่านั้นมีเพียงแค่เหนือภพที่จะทำได้

เหนือภพหลังจากฝากสัมภาระของตนกับศิษย์พี่เขาก็ถูกขุนเจษและลูกน้องรวบตัวไปคุมขัง แต่เนื่องจากหมู่บ้านลมหวนไม่ได้ออกแบบก่อสร้างคุกหลวงไว้คุมขังนักโทษคดีร้ายแรง พวกเขาจึงนำเหนือภพไปขังรวมกับพวกทาสที่จะถูกนำขึ้นประมูลในวันนี้แทน ที่นั่นมีการคุมขังที่แน่นหนากว่าคุกหลวงมาก

ณ อาคารจัดเตรียมของประมูล

เหนือภพถูกพาตัวมาในอาคารปิดล้อมแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากอาคารประมูล เขาถูกปิดตาและมัดมือไพล่หลังไว้อย่างแน่นหนาด้วยโซ่อาคม เขาไม่รู้ว่าที่นี่เป็นสถานที่แบบไหนแต่เขาสัมผัสได้ว่าที่นี่อยู่ใกล้มาก ๆ บรรยากาศเย็นยะเยือก อากาศอับชื้นหายใจลำบาก แถมยังมีกลิ่นตุ ๆ กลิ่นเหม็นของสิ่งที่มนุษย์ขับถ่ายออกมา และกลิ่นเหงื่อไคลที่ไม่รู้ว่าหมักหมมมานานแค่ไหน

“นี่ พาข้ามาที่ไหนหรอ”

เหนือภพพูดด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ เขาเชื่อในแผนการของศิษย์พี่ทั้งสอง เขาก็แค่อดทนรอสักหน่อย

“หุบปาก”

ขุนเจษพูดจบก็ผลักเหนือภพเข้าไปชนกับผนังหินด้านหนึ่ง ทำการสวมใส่โซ่ตรวน จากนั้นเขาก็ปิดประตูเหล็กดังปัง แล้วก็จากไปในความเงียบ

“อะไรวะ ทิ้งข้าไว้อย่างนี้เลยหรอ”

เหนือภพได้ยินเสียงแกรกกรากจากรอบ ๆ ด้าน เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองอยู่ที่ไหน แล้วมีอะไรอยู่รอบ ๆ เขาจึงเอาใบหน้าของตัวเองครูดกับผนังหินขรุขระ สักพักผ้าปิดตาของเขาก็หลุดออก

เขาพบว่าตัวเองถูกขังอยู่ในกรงขังเหล็กแคบ ๆ ขนาดประมาณสี่ตารางเมตร โดยมีแสงรำไรจากคบเพลิงเพียงอันเดียว ข้าง ๆ กรงขังของเขาเป็นกรงขังที่เรียงต่อ ๆ กันไปทั้งซ้ายขวา แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจก็คือใบหน้ามนุษย์ที่แนบหน้าสลอนกันอยู่ตรงผนังกรง มีมนุษย์เกือบร้อยคนเบียดเสียดกันอยู่ที่นี่ ทั้งหมดล้วนถูกตรึงโซ่ข้อมือและเท้าเข้าด้วยกันกับโซ่ตรวนขนาดใหญ่เพียงเส้นเดียว มันเป็นโซ่ที่ทำจากเหล็กขนาดเกือบเท่าขาของนักกล้ามที่ร้อยเรียงเหล่าทาสไว้ด้วยกัน มันเป็นการป้องกันที่หนาแน่น ไม่มีทาสคนใดสามารถหลบหนีไปได้ หรือหากมีคนบุกมาช่วย ทางเลือกก็มีแค่สองทางเท่านั้น คือทำลายโซ่ หรือว่าพาทาสไปทั้งหมดพร้อมกัน

เหนือภพพยายามออกแรงทำลายโซ่ตรวน แต่ไม่ว่าเขาจะใช้กำลังระดับไหน โซ่ตรวนก็ไม่ขาดออกจากกันอย่างที่เขาหวัง

“อย่าพยายามเลยน้องชาย”

ชายร่างกายกำยำที่อยู่กรงข้าง ๆ เหนือภพพูดขึ้น

“โซ่ถูกออกแบบมาพิเศษ ไม่ว่าพละกำลัง อาคม หรือพิษก็ทำลายโซ่นี้ไม่ได้ เก็บแรงไว้เถอะ เวลายังอีกยาวไกล”

แววตาของชายกำยำดูปลงและท้อแท้กับโชคชะตา ไม่ใช่แค่ชายคนนี้เท่านั้น แต่ทุก ๆ คนภายในที่คุมขังก็เป็นเช่นนี้ นั่นทำให้เหนือภพพยายามเรียบเรียงความคิด เขานั่งฟังคนที่นี่พูดคุยกัน บรรยากาศที่น่าจะครึกครื้น เพราะมีคนหมู่มากมารวมตัวกัน แต่เปล่าเลยมันกลับเป็นบรรยากาศแห่งความหดหู่และความสิ้นหวัง เหนือภพนิ่งฟังเพื่อทำความเข้าใจกับสถานการณ์ ผ่านเรื่องราวจากปากของคนอื่น ๆ

“ข้าชื่อโชติ เป็นคนจากหมู่บ้านเจ้าพระยา อยู่ทางใต้ของเมืองเทวฤทธิ์ ครอบครัวข้าเป็นช่างตีเหล็กหาเช้ากินค่ำมาหลายรุ่น มีเมีย มีลูก ข้ามีความสุขมาก แต่ความสุขของข้ามันก็ค่อย ๆ หมดไป ทันทีที่มีการผลัดเปลี่ยนเจ้าเมืองคนใหม่ คนไร้พรสวรรค์ถูกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นหลายเท่าจากเดิม จากที่บ้านข้าเคยอยู่อย่างพอเพียงก็เริ่มขัดสน เงินที่สะสมมานานค่อย ๆ ร่อยหรอ ทุกคนพยายามที่จะมีชีวิตรอด ข้าวปลาอาหารก็แพงขึ้น เพื่อที่จะให้ลูกเมียข้าอยู่อย่างสบาย ข้าจึงไปกู้เงินเพื่อบรรเทาความยากแค้น

แต่โชคชะตาช่างกลั่นแกล้งพวกข้านัก เพียงไม่กี่เดือนเจ้าเมืองก็เพิ่มภาษีขึ้นอีกครั้ง ข้าไม่มีเงินไปคืนเจ้าหนี้ พวกเขาก็เริ่มคุกคามครอบครัวข้าทุกวัน จนเมียข้าตรอมใจตาย พวกมันเลยเสนอให้ข้าขายลูกสาวเพื่อชดใช้หนี้ ข้าไม่ยอม แต่ถึงข้าไม่ยอมยังไงพวกมันก็ยังแย่งลูกสาวข้าไป ข้าจึงขายตัวเองมาเพื่อมาตามหาลูกสาวข้า”

เรื่องราวของชายชื่อโชติแปลกใหม่และแตกต่างจากทาสทุกคน เหนือภพไม่เคยสัมผัสกับเรื่องพวกนี้ แม้เขาจะเคยเห็นความโหดร้ายภายในห้องใต้ดินของพันศรีวะรามาก่อน แต่นั่นมันก็เป็นเรื่องที่แอบลักลอบทำเป็นงานอดิเรกที่ไม่อาจยอมรับกันได้ แต่นี่มันคือการซื้อขายมนุษย์กันแบบโจ่งแจ้ง ที่มีกฎหมายรองรับ

‘ไม่ใช่ว่า มนุษย์เท่าเทียมกันหรอกหรือ นี่มันเรื่องบ้าอะไร’

เหนือภพมีใบหน้าเคร่งขรึมลง ขณะฟังเหล่าคนที่ถูกยัดเยียดคำว่าทาส บอกเล่าประสบการณ์ชีวิตออกมา แน่นอนว่าเรื่องราวแต่ละคนนั้นไม่ได้จรรโลงใจหรือน่าฟังนัก แต่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่พวกเขาจะได้ปลดปล่อยอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองออกมาด้วยการเล่าเรื่อง นี่เป็นเรื่องที่เหล่าทาสทำ และดูเหมือนจะเป็นประเพณีอย่างหนึ่งที่มีไว้เพื่อทำความรู้จักคนที่มีหัวอกเดียวกัน

“พ่อหนุ่มล่ะ เป็นไงมาไงถึงได้มาเป็นทาส”

ชายมีอายุกล่าวขึ้น หลังจากที่ฟังเรื่องราวจากคนแรกจบลง เขาก็มองมาทางเหนือภพที่มาใหม่

“ที่นี่ไม่ใช่คุกหรอ”

“ถึงไม่ใช่ ก็ไม่ต่างกันหรอกไอ้น้อง”

“อย่างน้อยอยู่ในคุกพวกเราก็ยังคงเป็นคน แต่ที่นี่แม้แต่สัตว์ก็ยังมีค่ามากกว่าพวกเรา”

คำพูดของชายร่างผอมบางอีกคน ทำให้เหนือภพนิ่งไปชั่วครู่หนึ่ง

แม้เหนือภพจะเป็นเด็กบ้านยากจนจากหมู่บ้านชนบท เติบโตมาด้วยการทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว แต่หมู่บ้านของเขาก็ไม่ได้มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ทาส’ มีเพียงข้ารับใช้ที่เกิดจากการตกลงระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง ซึ่งเป็นไปตามข้อตกลงเท่านั้น

เหนือภพเงียบก่อนพูดขึ้น เมื่อรู้สถานการณ์ตัวเอง

“ข้าเป็นเพียงแค่คนธรรมดา มีคนพยายามจะฆ่าข้า ข้าเลยปกป้องตัวเองโดยฆ่าเจ้าคนพวกนั้น แต่การต่อสู้ของข้ามันรุนแรง ทำให้เกิดความเสียหายต่อบ้านเรือนหลายหลัง แต่แล้วยังไงล่ะ ที่ข้าทำไปก็เพื่อเอาชีวิตรอด แต่เจ้าพวกมีอำนาจพวกนั้นกลับมองข้าเป็นนักโทษ กล่าวว่าข้าทำลายทรัพย์สิน ยื่นข้อหาว่าข้าเป็นฆาตกร”

เรื่องของเหนือภพ ทำให้ทุกคนนิ่งเงียบแม้พวกเขาไม่อยากเชื่อ แต่เสื้อผ้าที่มีรอยฉีกขาด และชุ่มไปด้วยเลือดของเหนือภพนั้นยืนยันได้เป็นอย่างดี

“ข้าก็เหมือนกัน”

หญิงสาวคนหนึ่งเอ่ยขึ้น เธอจ้องมองเหนือภพ แล้วก็หันไปมองหน้าทุกคน

“ข้ามีน้องสาว ข้ากับน้องใช้ชีวิตอยู่ที่หมู่บ้านผาแดง พวกเรามีกันแค่สองคนพี่น้อง คอยดูแลกันและกัน พวกเราไม่เคยยุ่งกับใคร ไม่เป็นหนี้ ไม่เคยสร้างความเดือดร้อน จนกระทั่งวันหนึ่ง ขุนนางเดรัจฉานกล่าวหาว่าน้องข้าเป็นขโมยม้า ทั้งที่น้องข้าอายุเพียงแค่เจ็ดขวบ นางตัวเล็กมาก อย่าว่าแต่จับม้าเลย นางยังไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะจับไก่ด้วยซ้ำ ข้ารู้สึกเรื่องนี้ไม่เป็นธรรมจึงรวบรวมพยานหลักฐาน ทุกคนในหมู่บ้านล้วนยืนยันว่าน้องสาวข้าบริสุทธิ์แต่พอไปร้องทุกข์กับทางการ ผลลัพธ์ที่ได้ ทางการกล่าวหาว่าพวกข้าแจ้งความเท็จ มีความผิดฐานใส่ร้ายขุนนางมีโทษถึงประหาร ทุกคนในหมู่บ้านไม่อยากหาเรื่องให้ตัว สุดท้ายแม้จะสงสารพวกข้าสองพี่น้อง พวกเขาก็รักชีวิตมากกว่าจะมาเสี่ยงชีวิตกับคนไร้พรสวรรค์ พวกเขากลับคำให้การ แน่นอนว่าข้าเข้าใจข้าไม่โกรธพวกเขา แม้บทสรุปสุดท้าย ข้าจะโดนยึดทรัพย์ที่ดินทำกิน บ้านของข้าถูกเผา ข้าถูกบีบให้ออกมาจากที่ดินที่บรรพบุรุษข้าอยู่มาเป็นร้อย ๆ ปี”

“แล้วเกิดอะไรขึ้นหลังนั้น”

หญิงสาวพอได้ยินคำถามเช่นนั้นเธอก็นิ่งเงียบ แววตาของเธอเศร้าขณะฝืนกลั้นน้ำตา จนทุกคนคาดเดาเรื่องราวได้ ข้างกายเธอไม่ได้มีน้องสาว เธอเหลือเพียงตัวคนเดียวและก็ซูบผอม

นั่นทำให้เหนือภพสะเทือนใจ ทาสแต่ละคนที่นี่ล้วนมีความเป็นมาที่คล้าย ๆ กัน หากไม่ถูกรังแก ถูกกดดันจนต้องขายตัวเองมา ก็ถูกบีบบังคับให้มาเป็นทาสเพื่อชดใช้หนี้ บางคนก็ถูกกวาดต้อนโดยผู้มีอำนาจทั้งที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด ผิดแค่เกิดมาไร้พรสวรรค์เท่านั้น

เหนือภพกัดฟันกรอด นี่หรือโลกที่แท้จริงที่พระอาจารย์เคยพูดถึง ว่าชีวิตการเป็นอยู่ของคนไร้พรสวรรค์ไม่ได้ดีอย่างที่เขาเคยรู้ สิ่งที่เขาเคยเห็นมันเป็นเพียงเศษเสี้ยวของสังคม เขาเพิ่งเข้าใจว่า

เพราะอะไรถึงต้องมีกลุ่มภารดา

เพราะอะไรกลุ่มภารดาถึงถูกมองว่าเป็นกบฏ

เพราะพวกเขาทำสิ่งที่ขัดต่อความเป็นไปของสังคม พวกเขาเห็นค่าของคนไร้พรสวรรค์ พวกเขาพยายามเปลี่ยนกฎเกณฑ์ของสังคม พยายามเปลี่ยนระบบการปกครองที่ผู้มีพรสวรรค์สำคัญกว่าผู้ไร้พรสวรรค์ เพราะในท้ายที่สุดแล้ว ทุกคนก็มีความสำคัญเหมือนกันไม่ใช่หรือ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด