ตอนที่แล้วตอนที่ 1 คืนเเดงเดือด (ฟรี)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 3 หนึ่งตัวเลือกที่ยิ่งใหญ่ (ฟรี)

ตอนที่ 2 ความเงียบสงัด (ฟรี)


เด็กชายถูกดึงออกจากรังเล็กๆของเขา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าขนมปังที่เหลือในมือของเด็กหนุ่มถูกเด็กพวกหัวโจกทั้ง 12 คนชิงไปทันที

ผู้นำของกลุ่มหัวโจกหยิบขนมปังขึ้นมาสูดดมกลิ่นที่ไม่เคยได้รับมาก่อน ค่อยๆบรรจงเอาเข้าปากเเละกลืนมันลงไป ภาพที่เกิดขึ้นทำเอาให้เด็กคนอื่นที่อยู่รอบๆพากันน้ำลายสอไปเลยทีเดียว

ขนมปังหนึ่งคำไม่ได้ทำให้ความโกรธของเด็กหัวโจกสงบลง

แววตาพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ “นี่เเกกล้าซ่อนอาหารได้ยังไงห๊ะ! เเล้วอีกครึ่งหนึ่งล่ะอยู่ไหน? ซ่อนมันไว้ที่ไหน? จะบอกไม่บอก! พวกแกจัดการมันซะ!!”

เด็กชายตัวเล็กๆถูกกระทืบคาพื้นในขณะที่มีเด็กตัวใหญ่จำนวนมากเบียดเสียดกันรุมเข้ามาเตะกระทืบเขาไม่หยุด

เด็กผู้หญิงเดินถอยหนีไปข้างหลังด้วยความตื่นตระหนก เธอรู้ว่าถ้าเด็กชายที่โดนกระทืบอยู่พูดออกมาว่าขนมปังอีกครึ่งหนึ่งถูกมอบให้กับเธอไปแล้ว เธอจะต้องถูกพวกมันฆ่าแน่ๆ

เเต่ทว่าเด็กชายผู้นี้กลับไม่ส่งเสียงหรือพูดอะไรออกมาเลยสักคำ เพียงแค่อดทนกับการถูกทำร้ายอย่างเงียบๆ

เเละในที่สุดพวกเด็กหัวโจกก็เริ่มชักจะอ่อนล้ากับการทุบตีเด็กชาย และเปลี่ยนเป็นเข้าไปรื้อค้นในรังซ่อนตัวของเด็กชายแทน

“ดูเหมือนว่าอีกครึ่งหนึ่งมันกินไปแล้ว!” เด็กตัวใหญ่คนหนึ่งพูดด้วยความเกลียดชัง

“เปิดท้องของมันเลย! บางทีเราอาจจะหาขนมปังได้ทัน!” เด็กตัวโตผิวคล้ำเสนอขึ้นมา

ผู้นำของกลุ่มเด็กหัวโจกง้างเท้าและเตะเข้าใส่เด็กชายผอมโซอย่างโหดร้าย “อีกครึ่งหนึ่งอยู่ที่ไหน! เเกกินไปแล้วหรือ? งั้นก็ตายซะเถอะ!”

ใบหน้าของเด็กผู้หญิงตัวเล็กซีดด้วยความกลัวทันที ทว่าเธอเองก็ประหลาดใจไม่น้อย ที่เด็กชายไม่ได้พูดความจริงออกไป แถมยังพยายามจะดันตัวให้ลุกขึ้นยืน

ปากของเด็กชายขยับราวกับว่าเขากำลังพูด เขากำลังพึมพัมอะไรสักอย่าง แต่กลับไม่มีใครได้ยินชัดว่าเขาพูดอะไรกันแน่ ทำให้เด็กตัวใหญ่คนหนึ่งพยายามเข้าไปใกล้เพื่อจะฟัง แต่แล้วในตอนนั้นเองหมัดขวาของเด็กชายร่างผอมก็กระแทกเข้าใส่หน้าของเด็กตัวโตที่ยื่นหน้าเข้าไปอย่างจัง!

เด็กโตส่งเสียงร้องอย่างน่าอนาถ ยกมือขึ้นกุมใบหน้าที่มีรอยกรีดยาวและมีเลือดไหลโชก เพราะในตอนที่เด็กชายร่างผอมถูกรุมกระทืบอยู่นั้นเขาแอบคว้าแผ่นโลหะเล็กๆมากุมเอาไว้ในมือและอาศัยจังหวะโจมตีเข้าใส่อีกฝ่าย ตอนที่ปล่อยหมัดออกไปเขาก็ยื่นขอบคมของแผ่นโลหะออกมาจากนิ้วทำให้มันกรีดบาดหน้าของอีกฝ่ายจนเกิดเป็นแผลทางยาว

"ตีมันเลย! ตีมันให้ตาย!” เด็กโตที่ได้รับบาดเจ็บตะโกนร้องอย่างบ้าคลั่งขณะที่เขาปิดหน้า

เด็กชายตัวเล็กต่อสู้อย่างสิ้นหวัง ทว่าแค่พริบตาเดียวเขาก็ถูกจับกระแทกลงพื้นอีกครั้ง เด็กชายร่างผอมพยายามจะพยุงร่างตัวเองและพยายามปกป้องตัวเองเอาไว้สุดความสามารถโดยไม่แม้แต่จะปริปากร้องขอความเมตตาหรือส่งเสียงเจ็บปวดออกมาเลย

กลุ่มเด็กหัวโจกที่รุมกันทำร้ายเด็กชายร่างผอมจนเริ่มเหนื่อยกันอีกครั้ง หากเด็กตัวโตที่ได้รับบาดเจ็บยังคงไม่พอใจ เขาเดินเข้าไปดึงตัวเด็กชายร่างผอมขึ้นมา แต่แล้วในตอนนั้นที่เด็กตัวโตกำลังจะอ้าปากตะคอกใส่ จู่ๆกำปั้นของเด็กชายร่างผอมก็ฟาดเข้าใส่หน้าของอีกฝ่ายอย่างจัง!

จนจมูกของเด็กตัวโตนั้นถึงกับหักเลยทีเดียว!

เด็กตัวโตยกมือขึ้นกุมหน้า ส่งเสียงร้องเจ็บปวดดังลั่น ขณะที่เด็กที่เป็นผู้นำของกลุ่มยืนมองและครุ่นคิดในใจ...เพราะอะไรกันทำไมไอ้ขี้ก้างนี่ถึงสามารถลุกขึ้นมาสู้ได้อีกครั้ง มันมีพลังอะไรในตัวกันแน่!

ครั้งนี้...ไม่มีคำสั่งจากหัวหน้ากลุ่ม ทุกคนรุมเข้าไปทำร้ายเด็กชายร่างผอมอีกครั้งอย่างโหดเหี้ยม พอทุกคนหมดแรงเด็กชายร่างผอมก็ฝืนลุกขึ้นยืนอีกครั้งเหมือนเดิม

ช่างเป็นคนดื้อดึงอย่างไม่มีใครเทียบ จะสู้ยันวินาทีสุดท้ายที่จะต้องตาย

“ฆ่ามันซะ!” เด็กตัวโตที่เป็นผู้นำกลุ่มหัวโจมออกคำสั่งด้วยเสียงสั่นเล็กน้อย ถ้าพวกเขาไม่ได้ฆ่าไอ้ขี้ก้างนี้ เขาคงนอนหลับไม่สนิทแน่

ทุกคนพร้อมใจกันลงมือรุมซ้อมเด็กชายร่างผอมอีกครั้ง เเต่ครั้งนี้พละกำลังของทุกคนต่างเหลือน้อยเต็มทีแล้ว ทั้งหมดนี้เป็นเพราะพระจันท์สีเลือดที่ทำให้เขาพวกหิวกระจายมากถึงเพียงนี้ พวกเขาจะต้องรีบจบทุกอย่างให้ไวที่สุดเพื่อจะได้ขนมปังมากินประทังความหิว

เด็กหัวโจกต่างออกแรงสุดกำลังจนตัวเองเริ่มเจ็บเนื้อตัว ทุกคนจึงตัดสินใจหยุด

เเละในเวลานั้นเองเด็กผู้หญิงที่ยืนอยู่นอกวงเป็นเวลานาน จู่ๆเธอก็วิ่งฝ่ากลุ่มเด็กหัวโจกเข้ามาพร้อมกับหินก้อนโต

ทุกคนต่างมองที่เธอเป็นสายตาเดียว ความงดงามบนใบหน้าถูกบิดเบือนด้วยความมุ่งมั่นอย่างบ้าคลั่ง เธอยกก้อนหินอย่างทุลักทุเลและทุ่มมันกระแทกลงหัวของเด็กชายร่างผอมด้วยพละกำลังทั้งหมดที่เธอมี

เลือดค่อยๆไหลอาบลงตามกรอบหน้าของเด็กชายร่างผอม

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้กลุ่มเด็กหัวโจกอึ้งกันถ้วนหน้า อดไม่ได้ที่แอบรู้สึกกลัวจนเผลอก้าวถอยหลังกันช้าๆอย่างไม่รู้ตัว

เธอวิ่งตามก้อนหินที่กลิ้งไปด้านข้าง พยายามอุ้มก้อนหินที่อาบไปด้วยเลือดมันขึ้นมาเพื่อทุ้มใส่หัวเด็กชายร่างผอมอีกครั้ง ทั้งตัวและใบหน้าของเด็กผู้หญิงเองก็เปรอะไปด้วยหยดเลือดที่สาดกระเซ็นมาเหมือนกัน เธออุ้มก้อนหินเดินโซเซมาหาเด็กชายร่างผอมด้วยหัวใจที่หวาดหวั่น

เวลานี้ลมกระโชกพัดผ่าน เศษขยะชิ้นเล็กๆลอยขึ้นในอากาศตามกระเเสลม ความหนาวเข้าปกคลุม ทุกๆคนที่กำลังคุ้ยกองขยะยักษ์อยู่พลันชะงักเพราะความเย็นที่พัดเข้ามากระทันหัน

อีกสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือสนามพลังไร้รูปแบบได้เข้ามาครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดแล้ว

หากคนส่วนมากต่างไม่สนใจและก็ทำการรื้อคุ้ยกองขยะต่อไป มีเพียงแค่บางคนเท่านั้นที่รู้สึกได้ว่าในร่างกายตัวเองมีบางอย่างเกิดขึ้น หากมันเป็นแค่ความรู้สึกแฝงเล็กๆที่ไม่จริงจังดังนั้นจึงไม่มีใครเอะใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

มีคนเพียงแค่กลุ่มคนจำนวนนึงที่ตกใจเมื่อเห็นมือทั้งสองของข้างของพวกเขาเริ่มเปล่งแสงสีจางๆออกมา และมันไม่ใช่แค่มือของพวกเขาเท่านั้นเพราะตัวพวกเขาเองก็มีแสงเปล่งออกมาเช่นนี้ ทุกคนได้แต่งุนงงว่าพลังพวกนี้มันมาจากไหน

ถ้ามองจากตำแหน่งสูง จะสามารถเห็นแสงไฟจำนวนมากในสุสานขยะที่กำลังเปล่งแสงราวกับดวงดาวเปล่งประกายสีต่างๆ

ร่างของเด็กหญิงตัวเล็กๆเองก็มีแสงส่องออกมาเช่นเดียวกัน จู่ๆเธอก็พลันรู้สึกร่างกายมีพละกำลังเพิ่มขึ้นมาอย่างมาก การเคลื่อนไหวที่อ่อนแรงและเดินโซซัดโซเซของเธอกลายเป็นเเข็งเเกร่งไปทันที เธอเร่งฝีเท้าพร้อมก้อนหินในมือเดินเข้าไปหาเด็กชายร่างผอมและใช้หินทุบเข้าที่หัวของอีกฝ่ายอย่างเต็มแรง

กลุ่มเด็กหัวโจกต่างยืนมองเพื่อรอให้เด็กชายร่างผอมจบชีวิต แต่แล้วจู่ๆพวกเขาก็รู้สึกถึงความอึดอัดอย่างรุนแรงแทรกเข้ามาจนไม่สามารถมองภาพตรงหน้าได้ต่อไป

และในตอนนั้นเองมันก็มีลำแสงรุนแรงเปล่งประกายจ้าออกมาจากตัวเด็กชายร่างผอม ลำแสงสีแดงสาดขึ้นฟ้าสูงไปหลายสิบเมตร สูงจนทุกคนมองตามไม่ถึง!

นั่นมันเเสงอะไรกันเเน่?!

ภาพที่เกิดขึ้นสร้างความตกใจให้กลุ่มเด็กหัวโจกอย่างมาก บางคนถึงกับกระโดดถอยห่างด้วยไม่แน่ใจว่ามันจะเกิดอะไนขึ้นต่อ

เเต่เดี๋ยวก่อน! นั่นมันเรือบินที่มีความยาวประมาณ 10 เมตรกำลังลอยข้ามดวงจันทร์สีเลือดไป

มันเป็นเรือโบราณ ทั้งเสากระโดงเรือ โครงสร้าง และดาดฟ้าเป็นเรือโบราณที่ถือว่ายังใช้งานได้ดีเลยทีเดียว เรือทั้งลำเป็นสีเทา ด้านหน้าของเรือเป็นรูปปั้นทองแดงที่มีรูปร่างเป็นมนุษย์ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ ดูยิ่งใหญ่ และในมือยังถือกระบองอีกด้วย

สังเกตจากที่ยื่นออกมาจากด้านข้างของลำตัวคือปีกพร้อมใบพัดหมุนไปรอบๆ เพื่อช่วยเรือปล่อยให้มันไปข้างหน้าอย่างราบรื่น ไม่มีถุงลมหรืออุปกรณ์อื่นๆที่จะช่วยเคลื่อนย้าย เเต่มันก็สามารถลอยได้อยู่บนอากาศอย่างน่าทึ่ง

เเม้มองผ่านๆก็ยังสามารถเห็นได้ถึงเส้นเชือกที่ถูกขึงไว้ไว้ตามจุดอย่างสง่างาม เเม้กระทั่งเครื่องเก็บเชือกหรือราวบรรไดยังงามจนหาที่ติไม่ได้

บนเรือมีชายคนหนึ่งที่มีผมสีเงินซึ่งยืนอยู่ตรงขอบหน้าต่างกำลังมองลงไปที่สุสานขยะด้านล่าง

ลักษณะของเขาดูเหมือนยังหนุ่มยังแน่นอยู่เลย หน้าตาดูดี แววตาล้ำลึก คางที่รับพอดีกับใบหน้า เสื้อผ้าสีดำสนิทอยู่ในเครื่องแบบทหารตามมาตรฐานของจักวรรดิ แต่กลับไม่มีสัญลักษณ์ชของหน่วยที่สังกัดอยู่บนเครื่องแบบ มีเพียงแค่เครื่องหมายรูปดาบไฟกลัดไว้ตรงหน้าอก แม้กระนั้นก็สัมผัสได้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่ทหารธรรมดา

ภายในห้องโดยสารเดียวกัน มีชายอายุประมาณ 50 ปี หัวมีลักษณะค่อนข้างเหลี่ยม กรามขนาดใหญ่ชัดเจนจนดูดุดัน หูกางใหญ่ ทว่าใบหน้ากลับดูเปล่งประกายความใจดีออกมาให้เห็นชัดเจน รูปร่างอ้วนท้วม เขากำลังจ้องกระดานหมากรุกด้านหน้าไม่วางตาในมือมีตัวหมากรุกสีขาวซึ่งทำจากหยกคุณภาพสูง

เกมบนกระดานหมากรุกใกล้จะถึงจุดจบแล้วและฝ่ายสีขาวกำลังจะพ่ายแพ้เข้าไปทุกขณะ

หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดชายสูงวัยก็ถอนหายใจและวางหมากสีขาวลงบนกระดานหมากรุก...เขาต้องยอมรับว่าเขาเเพ้เกมนี้เสียเเล้ว!

“ท่านพี่ซีตง ไม่คิดเลยว่าห่างหายไปนานถึงเจ็ดปีแต่ทักษะการเล่นหมากรุกของท่านยังเก่งกาจไม่เปลี่ยน!” ชายอ้วนวัยกลางคนลุกขึ้นยืนและเดินไปที่หน้าต่างข้างชายผมสีเงินและมองลงไปยังข้างล่าง

ผ่านทางกรอบหน้าต่างบนเรือบิน ทั้งคู่มองเห็นแสงไฟจำนวนมากส่องประกายแสงอ่อนจากสุสานขยะ ราวกับดวงไฟเล็กๆ

ขณะมองภาพที่ปรากฏสู่สายตาตรงหน้า ชายวัยกลางคนก็พูดขึ้นมา “ท่านพี่ซีตงต้องเลิกทำแบบนี้ ศีลปะพลังลับเเห่งสวรรค์มีความสำคัญมาก ทั้งยังช่วยปลุกคนให้ตื่นรู้ เเต่ไม่เห็นจำเป็นจะต้องเดินเรือมายังสุสานขยะแบบนี้ บางทีพี่อาจจะมีพลังเเห่งต้นกำเนิดมากเกินกว่าที่เก็บไว้ใช้คนเดียวงั้นหรือ!”

หลินซีตงยิ้มและพูดตอบ "กู่ตั๋วไฮ มองลงไปสิ พวกคนข้างล่างนั้นยังมีบางคนที่มีศักยภาพที่จะฝึกฝน เเละบ่มเพาะพลังเเห่งต้นกำเนิด เจ้ารู้ไหม"

กู่ตั๋วไฮ ยังไม่ได้สนใจมากเท่าไหร่ เขายังพูดตามความคิดตัวเอง

“งั้นเหรอ? คนที่มีศักยภาพ...ท่านพี่มาหาคนที่มีศักยภาพ? ท่านมาที่นี่เพื่อเเละจะกลับไปยังเมืองหลวง นั่นก็เพื่อให้ข้าเป็นพยานในการใช้พลังลับสวรรค์ของท่านใช่หรือไม่”

หลินซีตงหัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ชี้นิ้วไปที่ด้านนอกหน้าต่าง "ข้าเปล่าคิดเเบบนั้นซะหน่อย ข้าไม่เบื่อเลยที่จะมองลงไป ผู้คนข้างล่างนี่ไม่ได้มีศักยภาพด้อยกว่าพลเมืองในอาณาจักรเลย เจ้าก็รู้เช่นกันหนิ ว่าอาณาจักรของพวกเราเเข็งแกร่งขึ้นมาได้ก็เพราะมาจากการฝึกฝน รวมถึงมีผู้คนที่มีฝีมือ ซึ่งนี่ก็ผ่านมาเป็นเวลา 800 ปีเเล้ว ทว่าคนของเรากลับไม่มีทีท่าที่จะพัฒนาขึ้นเลย ดูเหมือนว่าอาณาจักรของเราอาจจะใกล้ถึงเวลาล่มสลายเเล้วก็เป็นได้"

"ไม่จริง!" กู่ตั๋วไฮส่ายหัว “ไม่ว่าจะมีความสามารถหรือไม่ก็ตาม ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการฝึกฝนต่างหาก ถึงจะจริงที่ในอดีตคนที่มีพรสวรรค์เท่านั้นถึงจะมาถึงจุดนี้ได้ เเต่ทว่าพวกเขาก็ต้องดึงศักยภาพในตัวมาใช้ด้วยเช่นกัน เเม้กระทั่งคนที่แย่ที่สุดยังสามารถก้าวขึ้นมาเป็นลำดับ 3 หรือ 4 เลยได้ แต่สำหรับพวกคนที่อยู่ข้างล่าง เเพ้เเต่การบ่มเพาะพลังการต่อสู้ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มได้ไหม พวกเขาทำไม่ได้หรอกท่านพี่ดูเอาเถิด”

หลินซีตงพูดต่อด้วยท่าทีสบายๆ "แต่มีความจริงที่เถียงไม่ได้ว่าในสภาพแวดล้อมที่สิ้นหวังนั้นอาจกลายเป็นแรงกระตุ้นได้ง่ายขึ้น นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมคนพวกนี้ถึงมีศักยภาพ"

กู่ตั๋วไฮหัวเราะในลำคออย่างไม่ค่อยพอใจ "หึ! นั่นก็เห็นจะปฏิเสธไม่ได้! "

"ก็จริง ในเมื่อทั้งหมดมันถูกเเล้ว ข้าจะต้องพิสูจน์มันอีกทำไมกัน? เพราะประกายแสงเหล่านั้นคือแสงที่จะนำพาจักรวรรดิไปข้างหน้า เป็นความหวังสำหรับอนาคต เเม้กระทั่งตัวข้าเอง” หลินชีตง ก็เริ่มชีวิตจากจุดนั้น

“...เราได้รับเกียรติให้ขึ้นมาจากจุดที่ต่ำที่สุด จากเมืองร้างมาจนถึงเวลานี้ที่ได้รับความไว้วางใจจากองค์ราชา เเละไม่ว่าจะต้องเจอกับอะไรก็ตาม จะปกป้องจักรวรรดิให้ถึงที่สุด…”

กู่ตั๋วไฮพูดด้วยความโกรธว่า "นั่นเจ้ากำลังติเตียนข้าอยู่ใช่หรือไม่? ข้าคงไม่สามารถเปลี่ยนใจคนดื้อรั้นเช่นท่านได้ ฮึ! กู่ตั๋วไห่ นี่ข้าต้องเสียสติไปเเล้วเเน่ๆ เมื่อตบปากรับคำที่จะเป็นทหารอีกสิบปี "

กู่ตั๋วไฮ เห็นว่า หลินชีตง ไม่ได้โกรธก็ยิ้มบางๆ จากนั้นก็ชี้ไปยังนอกหน้าต่าง พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจังและตึงเครียดเบาๆ

"เจ้าคงเห็นเพียงเเสงราวกับดวงดาวที่ส่องเเสง เเต่ตรงหน้าข้านี่มันคือความเวทนาของผู้คน"

ทันใดนั้นมันก็มีลำแสงสีแดงบางๆปรากฏขึ้น!

แม้ว่ามันจะเป็นลำแสงอ่อนแอก็ตาม

กู่ตั๋วไฮ มองสายตาอย่างเงียบๆและพูดพึมพำ“นี่…นี่…ข้าตาฝาดไปงั้นหรือ หรือข้าเเก่มากเเล้ว? นั่นมันลำเเสงสีเเดงงั้นหรือ!!!”

-------

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด