ตอนที่แล้วบทที่ 42 หยกสามเม็ด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 44 กับดักมรณะ

บทที่ 43 เงินก้อนนี้ช่างได้มายากเย็นจริงๆ


รถของเหวินตงพุ่งทะยานไปตามถนนบนภูเขาอย่างรวดเร็ว  หากมองออกไปนอกรถล่ะก็อาจทำให้เกิดอาการหวาดระแวงว่ารถอาจจะร่วงลงหน้าผาไปได้ทุกเมื่อ  เหวินตงขับรถได้อย่างรวดเร็วและมั่นคง  ทว่ารถคันอื่นๆ ที่ขับขึ้นภูเขามา  เมื่อได้เห็นรถบิวอิคก์ของเหวินตงแล้วต่างก็หยุดรถอยู่ริมถนนกันทุกราย  ด้วยกลัวว่ายัยบ้าคนนี้อาจจะขับมาชนรถของพวกเขาเอาได้

สาเหตุที่เหวินตงขับรถเร็วเช่นนี้...ก็เพราะเธอเห็นว่าเย่โม่มีท่าทางน่าเบื่อ  เธอกำลังขับรถด้วยความเร็วไปตามถนนริมภูเขาที่อันตรายขนาดนี้  ก็เพราะอยากจะเห็นท่าทางตื่นตกใจของเย่โม่  ให้เขาพูดกับเธอว่า   ‘ขับช้าลงหน่อย’  เมื่อเขาพูดแบบนั้นเธอก็จะถือโอกาสสั่งสอนเขาว่า  ‘แค่นี้จะนับว่าเร็วอะไรได้!  นายยังไม่เคยเจอความเร็วที่แท้จริงหรอก  แต่ในเมื่อนายปอดแหกขนาดนี้ฉันจะขับช้าลงหน่อยก็แล้วกัน’

แต่ผ่านมาได้ก็ครึ่งทางแล้ว  เย่โม่ก็ยังไม่พูดอะไรออกมาสักคำเดียว  เหวินตงมองไปที่เบาะหลังอย่างประหลาดใจเล็กน้อยแต่ก็พบว่าเย่โม่กำลังหลับตาทำสมาธิอยู่ก่อนแล้ว  เขาทำตัวเหมือนว่าไม่ได้นั่งอยู่บนรถที่อาจร่วงลงหน้าผาได้ทุกเมื่ออย่างไรอย่างนั้น  แต่กลับเหมือนนั่งสบายๆ อยู่ในร้านกาแฟสักแห่งมากกกว่า

เหวินตงรู้สึกหมดคำพูดแล้ว  ต่อให้ไม่กลัวจริงๆ ก็เถอะ  แต่การขับรถบนภูเขาสูงชันขนาดนี้แล้วยังไม่มีราวเหล็กกั้นถนนอีก  อย่างน้อยก็ควรจะใส่ใจมองหน่อยไหม  แต่นี่เขากลับหลับไปเสียแล้ว

เป็นเพราะประสาทเขาแข็งหรือเชื่อใจในทักษะการขับรถของเธอกันแน่?  แต่เขาจะรู้ได้ยังไงกันว่าเธอขับรถเก่งหรือเปล่า?  อันที่จริงการขับรถริมภูเขาสูงชันแบบนี้ตัวเธอเองก็ยังรู้สึกใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ อยู่เหมือนกัน

เหวินตงหวนคิดไปถึงตอนที่เจอเย่โม่ครั้งแรกและท่าทีด้านชาของเขา  ในที่สุดเธอเริ่มจะเข้าใจชายที่ชื่อเย่โม่แล้ว  แท้จริงแล้วเขาคงจะเป็นแค่คนที่อ่อนต่อโลกผู้ไม่กลัวสิ่งใดทั้งสิ้น  หรือถ้าจะให้พูดแบบหยาบๆ ก็คือเขาโง่นั่นเอง  แต่ก็ดีแล้วเพราะตอนนี้เหวินตงกำลังต้องการคนแบบนี้มาช่วยเธออยู่พอดี  ไม่อย่างนั้นถ้าเธอต้องทำคนเดียวก็คงจะยากไปเสียหน่อย

เมื่อเห็นว่าเย่โม่ไม่ได้สนใจความเร็วของรถเลย  เหวินตงจึงค่อยๆ ขับช้าลง  ถึงยังไงตอนนี้เธอก็ขับอยู่ริมเขา  ขับเร็วระดับนี้ถึงยังไงก็ยังถือว่าอันตรายมากอยู่ดี  เพราะถนนเส้นนี้ทางคดเคี้ยวมีอยู่มาก  เธอเตรียมจะลงเขาแล้ว  พอถึงทางด่วนค่อยเพิ่มความเร็วอีกที

เวลานี้เองที่เย่โม่ลืมตาขึ้นมาแล้วถามเรียบๆ  “อีกไกลแค่ไหน?”

เหวินตงได้ยินเย่โม่ถามก็ตอบกลับทันที  “คิดว่าคงอีกประมาณ 600 กิโลเมตร”

เย่โม่ขมวดคิ้วแล้วถาม  “เหลืออีกตั้งไกลแต่เธอกลับขับช้าแบบนี้  คิดว่าต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกัน?”

ได้ยินคำพูดของเย่โม่แล้วเหวินตงก็เกือบขับพลาดร่วงจากหน้าผา  เธอคิดในใจว่าที่ขับอยู่ก็ถือว่าเร็วแล้วนะ  หรือนี่ยังถือว่าช้าอยู่?  มิน่าชายหนุ่มคนนี้ตอนแรกถึงไม่พูดอะไรเลย  มาตอนนี้เขาพูดเพราะคิดว่าเธอขับช้าไปนั่นเอง

ตอนนี้พวกเราอยู่ริมเขา  รอให้ถึงทางด่วนก่อนค่อยเร่งความเร็ว  เหวินตงตอบกลับอย่างจนใจเล็กน้อย

เย่โม่ไม่ได้รุกไล่ถามเรื่องปัญหาขับรถช้าของเธอต่อ  แต่กลับปิดตาลงอีกครั้ง  ถ้าไม่ใช่เพราะว่าน้ำเสียงของเย่โม่มีความไม่พอใจเล็กๆ อยู่ในนั้นล่ะก็  เหวินตงคงคิดไปแล้วว่าเขาก็แค่กวนตีนเธอเล่นๆ เท่านั้น

หลังจากขึ้นมาถึงทางด่วนแล้ว  เหวินตงก็เร่งความเร็วขึ้น  เย่โม่รู้สึกว่ารถร่อนเหมือนจะลอยนิดหน่อยเขาจึงเงยหน้ามองแผงหน้าปัด  รถคันนี้ความเร็วเพิ่งจะถึง 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง  ก็เริ่มลอยแล้ว

ไม่ถึง 2 ชั่วโมงเหวินตงก็ขับรถเข้าไปในหยุนตูแต่ก็ไม่ได้ขับเข้าไปในเขตเมือง  แต่กลับขับเข้ามาหยุดที่หน้าคฤหาสน์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในเขตชานเมืองแทน

เย่โม่กวาดสายตามองไปรอบคฤหาสน์หลังนี้  เป็นที่ที่สร้างได้อย่างมีสไตล์จริงๆ ล้อมรอบอาณาบริเวณที่กว้างขวางด้วยป่าไผ่  แถมยังมีทะเลสาบขนาดใหญ่ที่สร้างจากฝีมือคนเสียด้วย  บริเวณลานข้างในก็กว้าง  มีรถหรูจอดอยู่ 7- 8 คัน  สนามหญ้าด้านหน้าก็ใหญ่พอจะจุสนามฟุตบอลได้ถึง 2 สนาม  เป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้ต้องเป็นคนร่ำรวยเงินทองแน่นอน

“นายถือกระเป๋าเล็กใบนั้นนะ  ส่วนใบใหญ่ฉันถือเอง”  เหวินตงพูดจบก็ลงจากรถแล้วถือกระเป๋าที่วางอยู่ตรงเบาะหลัง  เย่โม่รู้ดีว่ากระเป๋าใบใหญ่ที่อยู่ในมือของเหวินตงมีปืนไรเฟิลเอเคอยู่  ส่วนกระเป๋าใบเล็กก็มีเอกสารจำนวนหนึ่งและแบบแปลนประหลาดๆ อันนั้นอยู่

เย่โม่สังเกตขนาดความกว้างของคฤหาสน์หลังนี้  การที่จะสามารถครอบครองคฤหาสน์หลังใหญ่ขนาดนี้นอกเมืองได้  แน่นอนว่าเจ้าของคฤหาสน์ต้องไม่ใช่แค่มีเงิน  แต่ต้องมีเส้นสายอยู่ด้วย  ไม่อย่างนั้นก็มีโอกาสน้อยมากที่จะทำได้ขนาดนี้

คิดถึงตรงนี้เย่โม่ก็หยิบหมวกและแว่นดำจากกระเป๋าสะพายของเขาขึ้นมาสวม  รวมถึงผ้าปิดปากด้วย สุดท้ายจึงหยิบกระเป๋าใบเล็กของเหวินตงขึ้นมา

เหวินตงมองดูการแต่งกายของเย่โม่แล้ว  เธอขยับปากแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา  เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเย่โม่ถึงต้องทำแบบนี้  ในความคิดของเหวินตง  เย่โม่นั้นเป็นคนประสาทด้านชา  ปกติแล้วคงไม่คิดถึงเรื่องที่จะโดนตามฆ่าแก้แค้นอะไร  แต่การที่เย่โม่ทำแบบนี้เธอก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาคิดอะไรอยู่

การแต่งกายแบบนี้ของเย่โม่กลับดูเท่ห์เหลือเกิน  ทำให้คนที่มองเห็นเกิดความรู้สึกที่ยากจะบรรยายออกมาได้

“แบบนี้ก็ไม่เลว”  เหวินตงพึมพำกับตัวเอง  เธอไม่ได้ขับรถเข้าไปแต่กลับถือกระเป๋าเดินเข้าไปข้างในคฤหาสน์แทน

ประตูหน้ามียามยืนเฝ้าอยู่ 2 คน  เย่โม่กวาดสายตามองแวบหนึ่ง  ยาม 2 คนนี้เห็นเหวินตงเดินเข้ามาแต่ก็ไม่ได้ขวางอะไร  ไม่แม้แต่จะถามหรือตรวจสอบอะไรเลย  ปล่อยให้เย่โม่และเหวินตงเดินเข้าไปข้างในอย่างง่ายดาย

ตอนนี้ขอบเขตจิตสัมผัสของเย่โม่มีระยะแคบเกินไป  มองเห็นได้แค่ในระยะ 5-6 เมตรเท่านั้น  รวมถึงภาพยังเลือนรางอยู่เล็กน้อยด้วย  ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถตรวจสอบคฤหาสน์หลังนี้ได้

เย่โม่และเหวินตงเพิ่งจะเดินเข้ามาในห้องโถง  ก็มีเสียงทักทายจากชายที่ค่อนข้างมีอายุดังขึ้น  “ฮ่า! ฮ่า!  คุณเหวินหลังออกจากเป่ยชา (ทรายเหนือ) ก็ยังสุดยอดไม่เปลี่ยน  ผมรออยู่นานแล้ว  มา!  ใครก็ได้หาที่นั่งแล้วรินชาให้เธอหน่อย!”

เหวินตงโบกมือแล้วพูดอย่างตรงไปตรงมา  “เรื่องรินชาน่ะไม่จำเป็นหรอก  ฉันอยากรีบเข้าเรื่องเลย แลกเปลี่ยนกับจบฉันก็จะรีบไปทันที  หลังจากนี้พวกเราจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”

เย่โม่มองพิจารณาคนพูด  เขาเป็นชายวัย 50 กว่าๆ  มีผมขาวแซมอยู่เล็กน้อย  แต่จิตวิญญาณเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังดุดัน  บนร่างปรากฏรังสีฆ่าฟันที่ทั้งเย็นเยียบและดำมืด  ถึงแม้จะมีรอยยิ้มบนใบหน้า  ทว่าแววตากลับเปล่งประกายแหลมคม  นี่ไม่ใช่คนธรรมดาแต่เป็นชายที่เต็มไปด้วยความลึกลับคนหนึ่ง

แต่จากมุมมองของเย่โม่แล้ว  ชายคนนี้อย่างมากสุดก็แค่ระดับเดียวกับเหวินตงหรือต่ำกว่าด้วยซ้ำ ระดับนี้ไม่อยู่ในสายตาเขา  ต่อให้ดูลึกลับแค่ไหนแต่ต่อหน้าพลังของเขาแล้วก็เปรียบได้แค่ก้อนเมฆที่ล่องลอยเท่านั้น

ข้างกายของเขาคนนี้มีชาย 4 คนยืนประกบทั้งด้านซ้ายและขวา  ที่น่าแปลกใจก็คือตอนที่เย่โม่และเหวินตงเดินเข้ามา  ไม่มีคนยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูห้องโถงเลยแม้แต่คนเดียว

เย่โม่มองท่าทีเย็นชาของชายคนนี้แล้วก็รู้ว่าไม่ใช่คนที่จะพูดคุยได้ง่ายๆ  การที่หน้าประตูห้องโถงไม่มีคนเฝ้านั้นดูจะไม่เข้ากันกับรังสีอันเย็นเยียบที่แผ่ออกมาจากชายคนนี้เลย

เย่โม่แผ่จิตสัมผัสออกไปรอบๆ ก็พบชายอีก 4 คน  มี 2 คนยืนอยู่หน้าประตู  ส่วนอีก 2 คนนั่งเตรียมพร้อมซ่อนตัวอย่างชาญฉลาดอยู่หลังฉากบังตาทั้งทางมุมซ้ายและมุมขวาที่ตั้งอยู่ใกล้กับผนังด้านหลังของห้อง  คนพวกนี้มีปืนเตรียมไว้ในมือ  อีกอย่างชายหน้าประตูทั้ง 2 ก็รอเย่โม่และเหวินตงเดินเข้ามาในห้องก่อน จากนั้นพวกเขาจึงมาซ่อนตัวอยู่ตรงประตู

ไม่น่าแปลกที่เหวินตงจะดูไม่ออกว่ามีคนอยู่หลังฉากบังตา  นั่นก็เพราะฉากอันนั้นมีรูที่สามารถมองทะลุผ่านได้อยู่ตรงกลางหลายรู  แถมยังมีพื้นที่ว่างอยู่หลังฉากตรงนั้นอีกด้วย

สาเหตุที่เย่โม่มองออกนั่นก็เพราะจิตสัมผัสของเขาที่แผ่ออกไปนั่นเอง  ฉากบังตาอันนี้ถึงมองไปแล้วจะคล้ายกับภาพวาดบนผืนผ้าผืนหนึ่งที่มีรูอยู่ตรงกลาง  มุมที่อยู่ติดกับด้านในห้องสามารถเห็นเป็นภาพ 3 มิติได้อย่างชัดเจน  แต่จากการวางตำแหน่งอันแยบยลแล้ว  ทำให้คนที่เดินเข้าประตูมาจะเห็นเพียงแต่ฉากบังตาธรรมดาๆ เท่านั้น  ถ้าเย่โม่ไม่มีจิตสัมผัสล่ะก็เขาเองก็คงจะไม่สังเกตเห็นเช่นกัน

ถึงแม้ในกรณีที่เย่โม่ไม่รู้ว่าข้างในฉากบังตาเหล่านี้จะมีช่องว่างอยู่ด้านหลัง  แต่เขาก็ย่อมต้องรู้สึกได้ถึงความผิดปกติอย่างหนึ่งซึ่งคาดว่าเหวินตงเองก็คงจะไม่สังเกตเห็น  นั่นก็คือฉากบังตาส่วนที่อยู่ใกล้กับประตูนั้นด้านล่างถูกตอกยึดไว้กับพื้น  จะมีใครคนไหนที่จะตอกฉากบังตายึดติดไว้ในห้องโถงกัน?  เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าขัดกับหลักทั่วๆ ไป

ด้านหลังของฉากบังตามีชายคนหนึ่งนั่งเตรียมพร้อมอยู่  เสื้อผ้าที่ชายคนนี้สวมมีสีสันและลวดลายเหมือนกับฉากบังตาอันนั้น  อีกทั้งส่วนบนของฉากบังตานี้ก็ยังมีรูอยู่ไม่น้อย  ทว่าด้วยการจัดวางที่ชาญฉลาดทำให้คนที่เดินเข้าประตูมาเห็นฉากบังตาเพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้น  คนปกติทั่วไปเมื่อเห็นฉากบังตาที่ดูธรรมดาและยังมองทะลุไปอีกฝั่งได้เช่นนี้  ก็คงจะไม่สนใจสังเกตกันทั้งนั้น

ดูท่าว่าการทำธุรกิจแลกเปลี่ยนครั้งนี้ของเหวินตงคงไม่ใช่เรื่องธรรมดาๆ เสียแล้ว  เงินห้าหมื่นหยวนนี้ช่างได้มายากเย็นจริงๆ…

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด