ตอนที่แล้วตอนที่ 35 แมวเล่นกับหนู
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 37 ทศกัณฐ์แผลงฤทธิ์

ตอนที่ 36 รอชองแซงกับชองซา


ชายวัยกลางคนเสนอตัวช่วยอย่างเต็มใจ เขาคือ ชองแซง เป็นฮันเตอร์พเนจรแรงค์ C ขั้นต้น ความสามารถทางปราณอาคมหลักของเขาคือการอัญเชิญองค์เทพเทวาลงมาสนับสนุนในระยะเวลาหนึ่ง แต่ว่ามันเป็นอาคมชนิดที่ใช้เสริมความสามารถให้กับผู้อื่นเท่านั้น

ส่วนหลานสาว ชองซา เธอเป็นหญิงสาวจากชนเผ่าห่างไกล ใบหน้าหวาน แก้มแดงปลั่ง เธออายุมากกว่าเหนือภพหลายปี เธอเป็นฮันเตอร์แรงค์ D ที่ใช้ปราณอาคมเช่นเดียวกับผู้เป็นตา เพียงแต่ว่าสิ่งที่เธออัญเชิญได้คือนางอัปสราแห่งสรวงสวรรค์ ซึ่งเงื่อนไขในการใช้ก็ไม่ได้ต่างจากผู้เป็นตาเลย นั่นคือใช้เสริมความสามารถให้กับผู้อื่นเท่านั้น

โดยปกติสองตาหลานจะผลัดกันอัญเชิญอาคมให้แก่กันและกัน เพื่อเสริมพลังในการต่อสู้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาจะอัญเชิญพลังของเทพเทวากับนางอัปสราลงมาประทับในตัวเหนือภพพร้อม ๆ กัน

พวกเขาจำเป็นต้องถอยออกจากระยะต่อสู้ แล้วปล่อยให้เหนือภพกับชายปริศนาอีกคนที่ปกปิดใบหน้าเข้าโรมรันถ่วงเวลาให้กับพวกเขา

การใช้ปราณอาคมสนับสนุนอันทรงพลังนี้ต้องแลกกับการใช้เวลาในการร่าย เมื่อบทอาคมเริ่มต้นร่ายมันจะถูกขัดขวางไม่ได้เป็นอันขาด ทันทีที่สองตาหลานเริ่มใช้ปราณของตน ท่าทางบุคลิกก็ดูแปลกไปอย่างประหลาด ร่างกายบังเกิดกระแสอาคมไหลเวียนเล็กน้อย แล้วก็ค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้น

ร่างกายสั่นเทิ้มของชองแซง เริ่มร่ายรำด้วยท่วงท่าที่ทั้งแข็งแกร่งและนุ่มนวลราวกับว่าเป็นองค์เทพเทวาลงมาร่ายรำด้วยเองโดยผ่านร่างเขา

ส่วนชองซาก็เริ่มการร่ายรำเช่นกัน เป็นท่วงท่าเนิบช้า แต่ไหลลื่นต่อเนื่องราวกับสายน้ำอันสุขสงบ ช่างเป็นระบำอัปสราที่งดงามอ่อนช้อย ปรากฏคล้ายภาพร่างนางอัปสราสวมทับร่างของเธอ รัศมีความบริสุทธิ์และความศักดิ์สิทธิ์ของกระแสอาคมที่ปลดปล่อยออกมานั้น แม้เทียบไม่ได้กับองค์เทพเทวาของผู้เป็นตา แต่กลับสามารถสะกดตรึงสิ่งมีชีวิตเพศผู้ที่อยู่ในละแวกนี้ให้เกิดความรู้สึกหลงใหลอย่างประหลาด

แม้แต่พญานาคก็ยังคงถูกสะกดให้หลงเคลิบเคลิ้ม ดวงตาเลื่อนลอย ร่างหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ไม่ว่าเหนือภพหรือชายปริศนาอีกคนจะรุมโจมตีหนักเพียงใด มันก็ยังคงนิ่งไม่ตอบโต้

หากเป็นนางอัปสราตัวจริงคงทำให้พญานาคถูกกำราบจนสิ้นฤทธิ์ได้ในทันที ช่างน่าเสียดายชองซากลับมีพลังไม่มากพอที่จะคงความสามารถนั้นไว้ได้นาน เพียงแค่ไม่กี่วินาทีต่อมาพญานาคก็หลุดจากการสะกด มันพุ่งตรงมาทางชองซาในทันที ผู้หญิงคนนี้เป็นภัยต่อมัน

เหนือภพในร่างยักษ์สหัสเดชะพุ่งตัวไปจับปลายหางของพญานาคแล้วกระชากสุดแรง ยื้อยุดอยู่แบบนั้น เพื่อไม่ให้ชองแซงกับชองซาถูกโจมตี แต่เรี่ยวแรงของพญานาคนั้นนับว่าทรงพลังอย่างแท้จริง

ร่างยักษ์ที่ยืนปักหลักมั่นของเหนือภพถูกลากให้เคลื่อนที่ตามหางของพญานาคทีละน้อย ครูดไถหน้าดินเป็นร่องลึกรูปคลื่นโค้งซ้ายขวา

‘ปราณอาคมทักทอพิฆาต บทที่ 1 กำลังสองเป็นหนึ่ง’

ชายปริศนาที่ปกปิดปราณอาคมประจำกายมานาน เริ่มปลดปล่อยไม้ตายของตัวเองออกมา เกิดกระแสปราณอาคมแข็งกร้าวพัดหมุนรอบกาย ผ้าคลุมศีรษะที่ปกปิดตัวตนมาตลอดจึงหลุดร่วง เผยใบหน้าชายหนุ่มผู้หนึ่งที่มีแววตาว่างเปล่าไร้ชีวิต มีกายหยาบสัตว์อสูรชนิดหนึ่งปรากฏอยู่ข้าง ๆ เขา

มันคือ ทักทอ สัตว์อสูรประเภทสิงห์แต่มีหัวเป็นช้าง เมื่อมันยืนสี่ขา ช่วงหลังสูงจากพื้นถึงห้าเมตร

เมื่อชายคนนั้นเหวี่ยงมือทั้งสองข้างออกมาทำท่ายื้อยุดกลางอากาศ ร่างทักทอที่อยู่ข้างเขาก็พุ่งตัวออกไปตะครุบหางของพญานาคในทันที ราวกับว่าการเคลื่อนไหวของมันสอดคล้องตามการเคลื่อนไหวของผู้ใช้ปราณอาคม

จึงเกิดเป็นภาพยักษ์กับสิงห์หัวช้างช่วยกันออกแรงฉุดดึงหางพญานาค พญานาคถูกลากถอยหลังไปทีละนิด ในท้ายที่สุดมันก็ไม่อาจต้านกำลังของทั้งคู่ได้ มันจึงถูกเหวี่ยงไปทางภูเขาด้านตะวันตก เกิดเสียงดังตึงก้องสะท้อนไปทั่วทิศ ผืนดินสั่นสะเทือนราวกับเกิดแผ่นดินไหวขนาดย่อม

“ขอบใจ”

เหนือภพเอ่ยด้วยรอยยิ้มขณะปาดเหงื่อบนใบหน้า เขาก็รู้สึกคุ้นหน้าผู้ชายคนนี้ เหมือนเคยเห็นมาก่อน ชายคนนั้นไม่ได้ตอบอะไร ท่าทางเขาดูเหมือนคนไร้จิตวิญญาณ ดูอมทุกข์อย่างมาก

ครืดดด

พญานาคที่ถูกเหวี่ยงไปเมื่อกี้ได้เลื้อยกลับมาอย่างรวดเร็ว มาอยู่ตรงหน้าพวกเขาอีกครั้ง ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ร่างกายคดเคี้ยวของมันยังคงดำเงางาม ไม่มีร่องรอยขีดข่วนหรือเสียหายอะไรทั้งสิ้น

ชายปริศนาเลิกคิ้วสูง ในขณะที่เหนือภพถอนหายใจแล้วก็คร่ำครวญออกมา

“โอ๊ย หนังหนาเกินไปแล้ว ข้าไม่สู้แล้ว เจ้ากลับลงไปเลยนะ”

เหนือภพพอจะเข้าใจความรู้ของหลวงภามแล้ว ตอนที่มันโจมตีเขา ยังไงเขาก็ไม่สะทกสะท้าน มันทำให้คนโจมตีอึดอัดใจเสียจริง

‘อะไรกัน ข้าเพิ่งจะเริ่มสนุก เอาอีกสิ หรือไม่เช่นนั้นเจ้าก็คืนแก้วจันทรกาลมาให้ข้า’

ตลอดการจำศีลอันยาวนานของมัน ไม่รู้ว่าผ่านมากี่ร้อยกี่พันกี่หมื่นปีแล้วที่มันอยู่อย่างสงบใต้ดิน มันไม่เคยรู้สึกกระปรี้กระเปร่าและสนุกสนานขนาดนี้ เจ้าหนุ่มน้อยหัวขโมยตัวร้ายนี่มีฝีมือไม่เลว

‘ข้ายังไหว’

เหนือภพจ้องตาพญานาคด้วยความมุ่งมั่น เขาจะไม่ยอมแพ้ เขาไม่เชื่อหรอกว่ามันจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้จุดอ่อน

เหนือภพสู้จนร่างสหัสเดชะหมดเวลา สองตาหลานก็ยังร่ายอาคมของตนไม่เสร็จ พวกเขายังร่ายรำอย่างต่อเนื่องจนบรรยากาศบริเวณนั้นก็เต็มไปด้วยพลังงานอาคมมหาศาล แม้แต่เหนือภพยังรู้สึกขนลุก

พญานาคเองก็เล็งเห็นถึงความอันตรายนั้น มันพยายามอย่างมากที่จะเข้าไปทำลายพิธี แต่ก็ถูกเหนือภพกับชายปริศนาจับโยนออกมาเรื่อย ๆ พญานาคขัดขวางด้วยสารพัดวิธี แต่มันก็ทำไม่สำเร็จ เพราะถูกมนุษย์โต้กลับ

‘อยู่ข้างล่างไม่มีเพื่อนเล่นหรอ’

เหนือภพถามพญานาคในใจขณะเหวี่ยงร่างมันออกไปเป็นครั้งที่ร้อย แล้วเขาก็ได้ยินเพียงเสียงพญานาคหัวเราะชอบใจ

ดวงจันทร์ลอยสูงเด่นกลางฟ้า สองตาหลานก็ยังร่ายรำไม่เสร็จ ส่วนพวกเหนือภพก็ยังคงต่อสู้กันอยู่โดยมีผู้ชมมายืนมุงดูอย่างหนาแน่น พวกเขาคือคนจากตระกูลต่าง ๆ ที่ทยอยเดินทางมาถึง

เมื่อเหล่าฮันเตอร์มากหน้าหลายตาพากันสลับหมุนเวียกันเข้ามาช่วยโจมตีพญานาค พญานาครู้สึกหงุดหงิดกับพวกมดปลวกที่ชอบจุ้นจ้าน มันจึงพ่นเพลิงพิษสีม่วงดำออกมา

ฟู่ววว

เพลิงพิษสีม่วงดำมีลักษณะคล้ายเปลวเพลิงร้อนผสมด้วยของเหลวที่มีฤทธิ์กัดกร่อน

“เย้ย”

“หลบเร็ว”

เหนือภพและชายปริศนาดีดตัวหลบด้วยความว่องไว แต่ฮันเตอร์ผู้เคราะห์ร้ายจำนวนมากถูกกัดกร่อนทำลายจนร่างกายย่อยสลายกลายเป็นหลุมบ่อแห่งซากศพ

ฤทธิ์กัดกร่อนนี้ไม่ธรรมดา แม้แต่ถุงมือมัจฉาเจ็ดสีข้างขวาของเหนือภพยังถูกสะเก็ดพิษกัดกร่อนทำลายไปสามในห้าส่วน

ฟู่ววววววววว

พญานาคพ่นพิษอีกครั้ง ครั้งนี้ยาวนานและมันก็ส่ายหัวไปมาเพื่อให้พิษกระจายออกเป็นวงกว้าง กลืนกินรัศมีโดยรอบ

เหนือภพตีลังกาหลบ แต่เขาก็ยังโดนพิษอยู่ดี ชุดเกราะส่วนต่าง ๆ เริ่มย่อยสลาย สภาพไม่มีชิ้นดี และหากไม่มีผ้าประเจียดของพระอาจารย์ช่วยคุ้มครองกาย เกรงว่าเขาคงกลายเป็นแอ่งน้ำเลือดน้ำหนองสีดำไปแล้ว ส่วนชายปริศนานั้นหลบได้ไวกว่าเหนือภพมากนัก พวกเขาไม่ต้องห่วงสองตาหลานมากนัก เพราะตอนนี้รอบกายพวกเขาปรากฏพายุหมุนอาคมที่สามารถป้องกันเพลิงพิษได้

“โธ่”

เหนือภพน้ำตาแทบไหลเป็นสายเลือด ชุดเกราะที่เขาสู้อุตส่าห์มานะหาวัตถุดิบและลงทุนจ้างช่างทำด้วยทองทั้งหมดที่มี ในตอนนี้เหนือภพต้องทนดูมันค่อย ๆ ย่อยสลายไปต่อหน้าต่อตา

“โอ้ววว แม่เจ้า”

“เห้ย”

“ว้ายยย”

“ปิดตาก่อนลูก”

“..........................”

เสียงฮือฮาจากฝูงชนเริ่มทำให้เหนือภพคิดได้ว่าตอนนี้เขากำลังยืนเปล่าเปลือยต่อหน้าธารกำนัล แม้แต่พญานาคยังจ้องมองเข้าด้วยความอึ้ง เพราะพญาอสรพิษตรงหว่างขาของเหนือภพกำลังผงาดชี้หน้าพญานาคอย่างท้าทาย มันเป็นอิสระแล้ว

“นี่ เอาไป”

ฮันเตอร์หญิงคนหนึ่งใช้อาคมโยนผ้าคลุมมาให้เหนือภพจากระยะไกล แม้ว่ารูปร่างของเหนือภพจะล่ำสันบึกบึนสมชายชาตรีมากก็เถอะ แต่เธอก็ทนเห็นภาพอุจาดตาไม่ได้อีกต่อไป

ตอนนี้เหนือภพไม่มีเวลามารู้สึกเขินอายอะไร เขารับรู้เพียงแค่ว่าร่างกายเบาสบายมากขึ้น พร้อมกับความไวที่มากขึ้นเช่นกัน

‘นี่มันนานเกินไปแล้ว’

เหนือภพคำนวณเวลาคร่าว ๆ สองตาหลานร่ายรำมานานเกือบครึ่งวันแล้ว แต่ก็ยังไม่เสร็จสักที เรี่ยวแรงที่มีก็เริ่มถดถอย ฤทธิ์ของว่านกระทิงคลั่งใกล้จะสิ้นฤทธิ์เต็มที เหนือภพรู้สึกอยากจะคลั่งตาย

‘มันอะไรกันนักกันหนาเนี่ย’

ความรู้สึกตึงที่หว่างขาและท้องน้อยทวีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาปล่อยให้ตัวเองชูชันแบบนี้มานานถึงสามวันสามคืน นี่เขาต้องยอมอดทนรอไปอีกนานเท่าไหร่ ความรู้สึกที่เหมือนปวดฉี่อยู่ตลอดเวลานี้มันช่างทรมานเหลือเกิน

จนกระทั่ง…

“จ้าวอสูรทะเลสาบ จ้าวอสูรภูเขามาช่วยเจ้าแล้ว”

เสียงตะโกนแทรกแสนประหลาดทำให้เหนือภพตาเบิกกว้าง เสียงนี้คุ้นหูมาก ทันใดนั้นก็มีหน้าตาที่คุ้นเคยมาปรากฏตัวต่อหน้าเหนือภพ เจ้าหนุ่มไร้ชื่อที่เขาเจอในป่าสินธุนั่นเอง

ทันทีที่ไร้ชื่อพุ่งลงมาที่กลางลานกว้าง เบื้องหลังเขาปรากฏภาพอาคมเป็นฝูงสัตว์อสูรหน้าตาดุร้ายเจ็ดตัวที่คอยช่วยเสริมกำลังให้ ได้แก่ กระต่าย หมี ลิง หมู หมา กา และไก่

สัตว์อสูรปรากฏร่างค้ำหลังให้เจ้าไร้ชื่อ แล้วดาบที่อยู่ในมือไร้ชื่อก็ตวัดคมใส่เศียรพญานาคที่กำลังพุ่งเข้ามา

ฉับ

พญานาคเซถอยไปร่างกายโงนเงนเล็กน้อย ปรากฏรอยดาบที่ปากของพญานาคเล็กน้อย จากนั้นบาดแผลก็ถูกฟื้นฟูจนหายไปในเวลาไม่กี่วินาที

พญานาครู้สึกแปลกใจเล็กน้อย พลางจ้องมองเจ้าเด็กหนุ่มผมเผ้ากระเซอะกระเซิง แต่งกายราวกับคนป่าเถื่อนด้วยชุดหนังสัตว์ไร้อารยธรรม ในขณะที่เสื้อคลุมตัวหลวมของเขาถูกทิ้งลงข้างกาย

เหนือภพรู้สึกอึ้ง แต่เขาก็ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ ผู้มีพรสวรรค์ยังไงก็คือผู้มีพรสวรรค์

“เก่งนี่น่า”

เมื่อไร้ชื่อได้รับคำชมจากเหนือภพ เขาก็พอได้ทีตะลุยต่อสู้โดยไม่หยุดพัก ปราณอาคมของเขาคือการรวมพลังของสัตว์อสูรที่เคยเลี้ยงดูเขามาทั้งหมด ทำให้แข็งแกร่ง และป่าเถื่อนดุจสัตว์ป่า การโจมตีแต่ละครั้งเทียบได้กับสัตว์อสูรแรงค์ D ที่โจมตีพร้อมกัน 7 ตัว

แต่น่าเสียดายที่ชั้นเชิงการต่อสู้ของไร้ชื่อยังอ่อนด้อย เขาสู้ตามสัญชาตญาณแบบสัตว์ป่าที่ใช้กำลังมากเกินไป ไม่รู้จักป้องกัน ไม่มีเทคนิคพลิกแพลง เอาแต่บุกทะลวงไปด้านหน้าอย่างหัวชนฝา ไร้แบบแผน จนเหนือภพต้องคอยช่วยเหลือทุกครั้งที่พญานาคโจมตีกลับ

“เจ้าหนุ่มพวกข้าพร้อมแล้ว เตรียมรับมันไว้ให้ดี จะสำเร็จหรือไม่มันอยู่ที่เจ้าแล้ว”

ในที่สุดเสียงสวรรค์ก็ลอยเข้ามาสู่โสตประสาทของเหนือภพ เขารีบย่อตัวลงกดน้ำหนักตัวเองลงอย่างสุดกำลัง ทำให้พื้นที่เขายืนอยู่ปริแตกเป็นใยแมงมุม เกิดเป็นหลุมที่ค่อย ๆ ลึกลงไปเรื่อย ๆ ขณะที่กระแสอาคมอันศักดิ์สิทธิ์ของเทพเทวาและนางอัปสราไหลพุ่งเข้ามารวมตัวกันที่ร่างกายของเหนือภพ มองดูคล้ายร่างอาคมของเทพเทวาและนางอัปสราตัวสูงใหญ่กำลังโอบเหนือภพไว้ในอ้อมแขน แสงอาคมสีทองหลากเฉดตัดสลับไปมาช่างดูโดดเด่นท่ามกลางความมืดยามกลางคืน

ชองแซงเอ่ยเตือนเหนือภพว่า

“การแบกรับพลังเทพระดับสูงสุดที่พวกข้าเรียกมา จะทำให้เจ้าเจ็บปวดอย่างมาก เจ้าต้องอดทน อย่างได้ว่อกแว่ก ตั้งจิตใจให้มั่นคงไม่เช่นนั้นสิ่งที่พวกข้าทำมาทั้งหมดจะสูญเปล่าไปพร้อมกับร่างกายเจ้าที่แหลกเหลว”

เหนือภพหนังตากระตุก จะมาแช่งให้กลัวทำไมเนี่ย ?

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด