ตอนที่แล้วบทที่ 38 หญิงสาวผู้ลงกลางทาง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 40 หาเงินเหมือนจะง่ายดายนะ

บทที่ 39 หญิงสาวผู้แข็งแกร่ง


“ที่นี่ไม่มีถนนเส้นอื่นนอกจากเส้นนี้แล้ว  ถ้าเข้าภูเขาลูกนี้ไปก็ถึงเขตภูเขากุ้ยเซียง  ถึงที่นั่นจะมีจุดท่องเที่ยวอยู่บ้าง  แต่ส่วนมากแล้วจะเป็นป่าเขาตามธรรมชาติทั้งนั้น  ถ้าเธอลงตรงนี้ล่ะก็ไม่มีที่ไปแน่...”  ชายวัยกลางคนในรถคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยความหวังดี

หญิงสาวคนนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง…จากนั้นจึงกลับไปนั่งที่เดิมอีกครั้ง  ไม่รู้ว่าเพราะคำพูดของชายวัยกลางคนมีเหตุผลหรือเป็นเพราะสาเหตุอื่นกันแน่  แต่เย่โม่กลับใจกระตุกไปวูบหนึ่ง  ถึงแม้กับคนอื่นแล้วการลงรถตรงนี้จะไม่มีข้อดีอะไร  แต่สำหรับเย่โม่นั้นการลงที่นี่มีข้อดีอยู่เหมือนกัน

เย่โม่รู้จักเขตภูเขากุ้ยเซียงดี  มันเป็นเขตภูเขาขนาดใหญ่ที่ตัดผ่านมณฑลใหญ่ๆ อย่างหูจง  เซียงห้วย และกุ้ยหนาน  เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็น 1 ใน 3 เขตภูเขาที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจีน  แล้วกุ้ยหนานนั้นอยู่ตรงกลางชายแดนระหว่างจีนและเวียดนาม  จุดหมายของเย่โม่คือกุ้ยหลิน  ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ทางตอนใต้สุดของมณฑลกุ้ยหนาน

ถ้าหากเขาอยากจะนั่งรถไปกุ้ยหลินล่ะก็  เขาต้องเปลี่ยนรถไปเรื่อยๆ ทั้ง 3 มณฑลตั้งแต่ที่หูจง   เซียงห้วยและกุ้ยหนาน  วิธีนี้ทำไม่ได้เพราะเขาไม่มีบัตรประชาชน  โอกาสถูกเปิดโปงจะยิ่งสูงขึ้นไปอีก  หากเขาเดินทางด้วยตัวเองจากเขตภูเขากุ้ยเซียงล่ะก็  ถึงแม้จะกินเวลามากไปหน่อยแต่ก็ปลอดภัยขึ้นมากเช่นกัน  อีกอย่างรถที่ผ่านเขตภูเขากุ้ยเซียงก็มีเยอะแยะเย่โม่จะขึ้นไปเมื่อไหร่ก็ได้  หรือต่อให้หารถไม่ได้จริงๆ  การเดินทางไปตามภูเขาแล้วฝึกวิชาไปพลางสำหรับเย่โม่แล้วก็ไม่เลวเช่นกัน

“คนขับ!  หยุดรถหน่อย  ผมจะลงตรงนี้  รถของเพื่อนผมมาถึงแล้ว  ผมจะนั่งไปกับเขา”  เย่โม่พูดจบก็ลุกขึ้นเดินไปด้านหน้า

คนขับนิ่งอึ้งไป  คนบนรถทั้งหลายก็เช่นกัน  แม้แต่หญิงสาวคนนั้นยังมองมาทางเย่โม่ด้วยสายตาแปลกๆ  ที่เธอเลือกจะไม่ลงจากรถนั้นไม่ใช่เพราะที่นี่นั้นเต็มไปด้วยป่าเขา  แต่เป็นเพราะกลัวคนอื่นๆ สงสัยต่างหาก  ถึงยังไงการที่ผู้หญิงตัวคนเดียวจะลงตรงนี้ในที่แบบนี้มันก็ต้องดูแปลกๆ อยู่แล้ว  ขณะที่เธอกำลังคิดหาเหตุผลอยู่ๆ ก็มีคนอยากจะลงรถแบบนี้  ซึ่งนั่นก็เข้าทางเธอพอดี

ครั้งนี้คนขับไม่ได้เอ่ยปากแนะนำอะไรอีก  การบอกว่ามีรถคันอื่นมารอแล้วนั่นก็แปลว่าไม่อยากจะนั่งรถบัสคันนี้แล้วนั่นเอง...รถหยุดได้ลง  เย่โม่เดินลงจากรถเป็นคนแรก  หลังจากนั้นหญิงสาวคนนั้นจึงค่อยลงตามมา   แต่ที่ทำให้คนบนรถรู้สึกประหลาดใจก็คือ  นอกจากเย่โม่และหญิงสาวแล้ว  ข้างหลังยังมีชายอีก 2 คนลงจากรถไปด้วย

ยังไม่ต้องพูดถึงคนขับที่แก่ประสบการณ์แล้วเลย  แม้แต่ผู้โดยสารที่เหลือก็ยังรู้ว่าชาย 2 คนที่ลงรถตามหลังไปนั้นคงมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่เย่โม่และหญิงสาวคนนั้น  คนขับเองก็ไม่กล้าจะยุ่งวุ่นวายอะไรมาก  เขารีบออกรถทันที  รถบัสคันนั้นเลี้ยวหายไปตามมุมโค้งอย่างรวดเร็ว

เย่โม่รู้ว่าทำไมหญิงสาวคนนี้ถึงลงจากรถ  เพราะก่อนหน้าที่เขาจะขอลงจากรถหญิงสาวคนนี้ก็เคยพูดกับคนขับแล้ว  แต่ที่เย่โม่ไม่เข้าใจก็คือทำไมชาย 2 คนข้างหลังถึงอยากจะลงรถด้วย

แต่ไม่นานเขาก็เข้าใจ  นั่นก็เพราะชาย 2 คนนี้ล้อมเขากับหญิงสาวเอาไว้แล้ว  อีกทั้งหนึ่งในนั้นยังจ้องมาที่เย่โม่แล้วพูดขึ้น  “ไอ้หนู!  ถ้ายังอยากมีชีวิตรอดก็รีบไสหัวไปซะ  เรื่องตรงนี้ไม่เกี่ยวกับแก”

เมื่อพบเจอการปล้นชิงแบบนี้  ในใจเย่โม่ก็ยิ้มขำ  ชาย 2 คนนี้ถึงดูแล้วจะมีความดุดันโหดเหี้ยมอยู่บ้าง  แต่เย่โม่ก็แน่ใจว่าพวกเขาไม่ใช่คู่มือของหญิงสาวคนนั้นแน่นอน

ชายที่ไล่เย่โม่ไปหันกลับมาจ้องหญิงสาวทันที  “สาวน้อย!  หยิบเงินในกระเป๋าเธอขึ้นมาซะดีๆ  อย่าได้คิดตุกติดเชียว  ตอนเธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาฉันเห็นนะ  คงมีอยู่สัก 2-3 หมื่นนั่นแหละ  ฮี่!  ฮี่!  เดิมทีพวกเรา 2 พี่น้องตั้งใจจะปล้นรถบัสคันนั้นนั่นแหละ  แต่ในเมื่อเธอมีเงินติดตัวมากขนาดนี้  ปล้นคนเดียวก็น่าจะได้แล้วล่ะ”

เย่โม่หัวเราะออกมา  เดิมทีเขาเองก็ไม่อยากยุ่งกับเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว  อีกอย่างทั้ง 2 ฝ่ายก็ไม่ใช่คนดีอะไร

“นายรอก่อน!”  เย่โม่ที่เพิ่งหันหลังกำลังจะเดินจากไปกลับถูกหญิงสาวคนนั้นเรียกขึ้นอย่างกะทันหัน

“มีอะไร?”  เย่โม่หันหน้ากลับมาถามเรียบๆ

เมื่อเห็นท่าทีไร้ความกังวลของเย่โม่แล้ว  หญิงสาวคนนั้นก็มองสำรวจเย่โม่ด้วยความประหลาดใจอีกครั้ง  แต่เธอก็มองไม่ออกว่าเย่โม่นั้นแตกต่างจากคนอื่นตรงไหน  รองเท้าที่ใส่ก็เป็นรองเท้าผ้าใบธรรมดาๆ ดูแล้วธรรมดาจนไม่อาจธรรมดาไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว  จนเธอคิดในใจว่าชายคนนี้ดูท่าจะด้านชาแล้วจริงๆ

“ช่วยฉันก่อนสักเรื่องสิ”  หญิงสาวผู้มีรูปร่างอวบอัดทว่าแข็งแกร่งคนนี้กลับยิ้มขึ้นมาแล้วถอดแว่นตาออก  หน้าตาที่จากเดิมนับได้ว่าไม่แล้วกลับถูกรอยยิ้มนี้เปลี่ยนให้เป็นใบหน้าที่มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที

นี่เป็นครั้งแรกที่เย่โม่ได้เห็นใบหน้าที่เปลี่ยนอารมณ์ได้มากขนาดนี้เพียงเพราะรอยยิ้มเดียว  ราวกับว่าเธอมี 2 บุคลิกในตัวอย่างไรอย่างนั้น

“ผมไม่ชอบต่อสู้”  หญิงสาวยังพูดไม่ทันจบก็ถูกเย่โม่ปฏิเสธออกมาแล้ว

“ฮ่า!ฮ่า!...”  หญิงสาวคนนั้นตะลึงไปพักหนึ่งแล้วหัวเราะออกมา  เธอพูดต่อ  “ไม่ใช่ว่าอยากให้นายต่อสู้เสียหน่อย  แค่อยากให้ช่วยรอฝังชาย 2 คนนี้ในป่าให้หน่อย...”

ชาย 2 คนที่ล้อมหญิงสาวเอาไว้เดิมทียังจ้องมองเย่โม่อย่างดุดันอยู่บ้าง  พวกเขาเห็นว่าเย่โม่ไม่ได้แสดงท่าทีหวาดกลัวรีบหนีแต่อย่างใด  พวกเขาจึงระวังเย่โม่เอาไว้บ้าง  คนทั่วไปเจอเหตุการณ์ปิดถนนปล้นแบบนี้เข้าไปยังไงก็ต้องหันหลังวิ่งหนีแน่นอน  แต่คนที่แสดงท่าทีไร้ความหวาดกลัวอย่างเย่โม่แบบนี้ถือว่าหาได้น้อยมาก

ตอนที่พวกเขาทั้ง 2 ได้ยินว่าหญิงสาวต้องการให้เย่โม่ช่วยฝังพวกเขานั้น  ชายรูปร่างสูงหนึ่งในนั้นไหนเลยจะทนฟังได้  เขายกมีดขึ้นมาแทงไปยังกลางอกของหญิงสาวทันที

กร๊อบ!...อ๊ากกกก!... พอเสียงเหล่านี้จบลงชายคนที่ลงมือแทงก็ร่วงลงไปกองกับพื้น

ส่วนชายอีกคนที่ตัวเตี้ยกว่าเล็กน้อยนั้นยังไม่ทันได้ตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น  เขายืนนิ่งตะลึงงันไป   แต่สำหรับเย่โม่นั้นเขากลับเห็นได้อย่างชัดเจน  ขณะที่ชายคนนั้นกำลังแทงมีดมายังหน้าอกเธอก็คว้าข้อมือเขาเอาไว้ได้อย่างรวดเร็ว  เธอดึงข้อมือที่คว้าเอาไว้ไปทางด้านบนพร้อมกับหักข้อมือเขาไปด้วยในเวลาเดียวกัน  เธอสะบัดหลังมือไปกระแทกกับด้ามมีด  มีดเล่มนั้นราวกับมีตาเป็นของตัวเอง มันพุ่งไปแทงคอของชายร่างสูงคนนั้นทันที

เป็นหญิงสาวที่ฝีมือดีจริงๆ  การกระทำทั้งหมดของเธอนั้นใช้เวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น  หากไม่ใช่ว่าตอนนี้เย่โม่อยู่ระดับ 2 แล้วล่ะก็  แม้แต่เขาก็คงมองไม่ออก  ใจของเย่โม่เต้นระรัว  หากเปลี่ยนเป็นเขาตอนที่ยังอยู่ระดับ 1 แล้วต่อสู้กับหญิงสาวคนนี้ล่ะก็  ยากที่จะคาดเดาว่าใครจะอยู่ใครจะตาย

เป็นครั้งแรกที่เย่โม่ได้พบกับยอดฝีมือแบบนี้  ถึงแม้ตอนนี้เขาจะสามารถจัดการกับเธอได้ภายในเวลาไม่กี่นาทีก็ตาม  ทว่าเขาก็รับรู้ได้ถึงปัญหาข้อหนึ่ง  นั่นก็คือในโลกนี้นั้นมีเสือซุ่มมังกรซ่อนจำนวนมากอยู่ทั่วทุกมุมโลก  หากเขาไม่ขยันฝึกฝนล่ะก็  ไม่แน่ว่าในอนาคตเขาอาจจะต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือพวกนี้ก็เป็นได้  เย่โม่ไม่ชอบความรู้สึกอันตรายกดดันแบบนี้  หนทางเพียงหนึ่งเดียวของเขาก็คือฝึกฝนอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น!

ในที่สุดชายร่างเตี้ยอีกคนก็ได้สติขึ้นมา  ถึงแม้จะผ่านไปแค่ไม่กี่ลมหายใจแต่เขาก็ได้เข้าใจแล้ว  ว่าครั้งนี้พวกเขาเจอตอเข้าให้แล้ว  เขาหันหลังวิ่งโดยไม่คิดอะไรอีกแล้ว  ทว่าหญิงสาวคนนั้นกลับเตะไปยังมีดที่ยังปักอยู่ตรงคอของชายร่างสูงที่ตอนนี้นอนกองอยู่กับพื้น  พอมีดเล่มนั้นลอยขึ้นมาเธอก็เตะไปอีกครั้ง  ราวกับมีดวงตาเป็นของตัวเอง  มันพุ่งไปเสียบหัวใจของชายที่วิ่งอยู่จากด้านหลังทันที

“นายกล้าหาญไม่เลวเลย  ฉันไม่ได้อยากให้นายช่วยสู้เสียหน่อยเห็นไหม  ฉันแค่อยากให้นายช่วยลากร่างพวกนี้ไปฝังในป่าให้ที  เงินบนตัวพวกเขาฉันยกให้นายหมดเลย”  หญิงสาวคนนั้นหันมาพูดยิ้มๆ กับเย่โม่อีกครั้งหนึ่ง

“ถ้าบนตัวของ 2 คนนี้ไม่มีเงินล่ะ?”  เย่โม่ถามกลับเรียบๆ

หญิงสาวคนนั้นนิ่งงันไป  เธอคิดไม่ถึงว่าเวลานี้เย่โม่ยังจะคิดเรื่องแบบนี้อีก  คนปกติทั่วไปพอได้ยินที่เธอพูดก็มักจะรีบลงมือทำตามแล้ว  ไหนเลยจะกล้าถามกลับแบบนี้

“ถ้าไม่มีเงินล่ะก็… ของพวกนี้ก็เป็นของนาย”  พูดจบหญิงสาวก็หยิบเงินจากในกระเป๋ามาครึ่งปึกยื่นส่งให้เย่โม่

เย่โม่ยื่นมือไปรับ  มองเงินพวกนี้แล้วยังเห็นรอยประทับตราจากธนาคารอยู่เลย  ดูแล้วเดิมทีทั้งปึกคงมีอยู่ 1 หมื่น  เมื่อถูกหญิงสาวคนนี้ดึงออกมาคิดว่าคงเหลือไว้ประมาณ 4-5 พัน  ถือว่าเธอใจกว้างเป็นอย่างมาก

เย่โม่ที่กำลังต้องการเงินอยู่พอดีรับเงินไปแล้วพูดยิ้มๆ  “ดี!  ถือว่าเราตกลงกันแล้ว”

พูดจบเขาก็ลากร่างของชายทั้ง 2 บนพื้นไปยังป่าข้างๆ ทาง

เมื่อเห็นเย่โม่หายเข้าไปในป่าพร้อมกับลากศพทั้ง 2 ตามไปด้วยอย่างง่ายดายแล้ว  แววตาของหญิงสาวก็ปรากฏแววชื่นชมออกมาแวบหนึ่ง  เธอพูดกับตัวเอง  “ความกล้าไม่เลว  แรงกายก็ไม่ใช่น้อยๆ  น่าเสียดายที่ไม่แมนเลย!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด