ตอนที่แล้วตอนที่ 5 ราชันย์พิภพ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 7 ข้าขอเพิ่มอีกได้ไหม

ตอนที่ 6 จากหิมพานต์อันไกลโพ้น


เหนือภพตามผู้เป็นอาจารย์ไปยังวิหารชั้นในของวัด ที่นี่ถูกตั้งเป็นดินแดนต้องห้าม เขาเคยเข้ามาที่นี่แค่ไม่กี่ครั้งเพื่อฝึกฝนร่างกาย เพราะแรงโน้มถ่วงของที่นี่รุนแรงมาก มันจะเพิ่มขึ้นทุกครั้งเมื่อเรารู้สึกว่าร่างกายรับไหว ทำให้การฝึกสามารถพัฒนาไปได้เรื่อย ๆ แต่ละคนจึงได้รับมันไม่เท่ากันจะมากจะน้อยก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของคนคนนั้น

เหนือภพตามอาจารย์ผ่านทางเดินเข้าไปในวิหาร มีรูปปั้นยักษ์หน้าตาดุร้ายเฝ้าหน้าประตูทางเข้าที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของเขตวัด

รูปปั้นยักษ์สองตนนี้สูงใหญ่เทียมฟ้า แม้ว่าจะถูกแกะสลักด้วยลวดลายวิจิตร ละเอียดลออ แต่ก็ยังสื่อถึงความดุร้ายที่น่าเกรงขามได้อย่างชัดเจน

สหัสเดชะ ผู้ซึ่งมีกายสีขาวที่ไม่ทราบว่าแกะสลักมาจากหินชนิดใด แต่มันช่างเปล่งประกายระยิบระยับล้อไปกับลวดลายละเอียด

ส่วน ทศกัณฐ์ ผู้ซึ่งมีกายสีหยกเขียว ที่แกะสลักมาจากหินสีเขียวเข้ม และมีการประดับประดาด้วยเกล็ดหินสีเขียวในเฉดสีต่าง ๆ ทำให้ดูมีมิติมากขึ้น

เมื่อเดินเข้ามาข้างในก็จะพบกับโบสถ์แก้วขนาดกลางที่ลอยอยู่กลางอากาศ มีบันไดพันขั้นเชื่อมต่อเอาไว้กับชานบันได มีรูปปั้นสิงห์ตัวใหญ่อ้าปากคำรามตั้งขนาบซ้ายขวา บนราวบันไดมีรูปปั้นสิ่งมีชีวิตโบราณ ลักษณะของมันจะผสมกันระหว่างจระเข้กับพญานาค คือมีลำตัวยาวเหยียดคล้ายพญานาค แต่มีขายื่นออกมาจากลำตัว และส่วนหัวที่คายพญานาคออกมานั้นเป็นปากจระเข้ เจ้าสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ เรียกว่า มกรคายนาค

เมื่อก้าวเดินขึ้นไปถึงบันไดชั้นบนสุด ก็พบว่าหน้าประตูโบสถ์แก้วมีรูปปั้นสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง รูปร่างมันเหมือนกับสัตว์หลายชนิดผสมกัน ไม่ว่าจะเป็นมกร แมว สิงห์ วานร มันคือ สิงห์มอม

สิ่งมีชีวิตเหล่านี้คือเหล่าสัตว์โบราณที่คอยปกป้องศาสนสถานแห่งนี้ พวกมันเคยมีชีวิตอยู่ในดินแดนพิศวงที่ถูกเรียกว่า หิมพานต์

“อาจารย์ครับยักษ์สองตนนี้คือใครครับ ทำไมข้าไม่คุ้นตาเลย”

เหนือภพเอ่ยถามขึ้น เมื่อเห็นว่าซ้ายขวาของประตูโบสถ์แก้ว มีภาพสลักของยักษ์อีกสองตน

“ตนหนึ่งคือ ตรีบุรัม เป็นยักษ์ที่มีฤทธิ์มาก อีกตนคือ กุเวร เป็นยักษ์ผู้เฝ้าสมบัติ”

“ยักษ์ ? ทำไมต้องเอายักษ์มาเฝ้าวัดละครับ เท่าที่ข้ารู้มาพวกยักษ์ล้วนชั่วร้าย แม้จะมีพลังอำนาจมากมาย แต่ก็ทำแต่เรื่องเลวร้าย การที่เอาพวกยักษ์มาไว้ที่วัดมันจะดีหรือครับ”

พระอาจารย์สิริหันกลับมามองศิษย์รักด้วยแววตาสงบนิ่ง

“ถูกต้อง เหล่ายักษ์เหล่านี้ล้วนเคยก่อความวุ่นวาย สร้างกรรมชั่วมามากมาย พวกเขาต่างล้มตายด้วยไฟสงคราม ถูกความดีชะล้างความชั่วร้ายจนสิ้นซาก ทำให้พวกเขาต่างสำนึกผิดกลับตัวกลับใจหันมารับใช้ความดีงาม

แล้วเหตุใดศาสนสถานจะไม่ยินดีต้อนรับพวกเขาเล่า ไม่ว่ามนุษย์หรืออสูรล้วนมีความดีและความชั่วอยู่ในใจ เมื่อมีใจคิดสำนึกเราก็ควรให้โอกาสพวกเขาได้ทำกรรมดี นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมวัด จึงต้องมีรูปปั้นของพวกเขา”

“แต่ทำไมถึงต้องทำให้พวกเขามีหน้าตาดุร้าย แทนที่จะทำให้หน้างดงาม”

“ก็เพื่อเป็นคำสอน และย้ำเตือนผู้คนว่า อย่าได้ตัดสินใครแค่เพียงรูปลักษณ์ภายนอก เพราะภาพลักษณ์ที่มองเห็นว่าหวานซึ้งอาจซ่อนคมดาบไว้เบื้องหลัง หรือภาพลักษณ์ของยักษ์ที่มองดูดุร้าย แต่ภายในจิตใจพวกเขาล้วนสำนึกตนประพฤติอยู่ในความดีงาม ฉะนั้นการมองใครก็ตาม ควรมองที่นิสัยอันแท้จริงหาใช่รูปโฉม”

“ข้าเข้าใจแล้วอาจารย์”

“เจ้าสำรวมใจเถอะ แล้วตามข้าเข้าไปทำใจให้สงบ ในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์ข้า เจ้าก็ควรได้รับสิ่งคุ้มกาย ดังเช่นศิษย์พี่ทั้งสอง”

อาจารย์เข้าไปนั่งคุกเข่ากราบพระพุทธรูปแก้วที่อยู่ด้านในสุดของโบสถ์สามครั้ง แล้วหันกลับมานั่งหันหลังให้กับพระพุทธรูป

เหนือภพก็ทำตามอาจารย์ทุกอย่าง โดยกลับมานั่งขัดสมาธิตรงหน้าผู้เป็นอาจารย์

“ปลดจีวรส่วนบนของเจ้าออก แล้วหันหลังมาให้อาจารย์ อาจารย์จะลงยันต์อาคมให้กับเจ้า”

เหนือภพทำตามอย่างว่าง่าย แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความสงสัย

“อาจารย์ท่านจะสักอะไรให้ข้า ข้าไม่เอาเสือเผ่นนะอาจารย์ ข้ากลัวว่าเวลาปลุกพลังยันต์ขึ้นมา ได้วิ่งหนีป่าราบแน่ อายเขาตาย”

“เจ้านี่มันพูดมาก เจ้าคิดว่าใครจะสักยันต์อะไรก็ได้งั้นหรือ หากผู้สักไม่สามารถสื่อจิตถึงสิ่งที่จะสักให้ผู้อื่นเพื่อดึงพลังของสิ่งนั้นมาลงที่ยันต์ได้ ก็ไม่เรียกว่าสักยันต์ มันจะเป็นแค่การเอาสีมาขีดเขียนบนเนื้อคนเท่านั้น นอกจากสวยงามแล้วมันไม่ได้มีประโยชน์อะไร”

“แล้ว..”

“สิ่งที่ข้าจะสักให้เจ้าได้ คือสิงห์มอม เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์”

“อาจารย์ ข้ารู้สึกว่ามันไม่น่าเกรงขามมากพอ มีตัวเลือกอย่างอื่นอีกไหม”

เหนือภพยิ้มกว้างอย่างประจบ จะสักทั้งทีก็เอาที่น่าเกรงขามไปเลย อิทธิฤทธิ์ของสิงห์มอมมันก็สูงส่งสะท้านสะเทือนอยู่หรอกนะ แต่รูปลักษณ์หน้าตาของมันดูแปลก ๆ ชอบกล

“เจ้ามันเรื่องมาก แต่จะว่าไปสิงห์มอมก็ไม่ได้เหมาะกับเจ้าซะทีเดียว เจ้าเหมาะกับสัตว์แห่งพละกำลังอย่าง นรสิงห์ แต่น่าเสียดายที่ข้ามอบลายยันต์นรสิงห์ให้แก่ศิษย์พี่รองของเจ้าไปแล้ว”

“สักซ้ำไม่ได้หรือครับ”

ผู้เป็นอาจารย์ส่ายหน้าในทันที

“ไม่ได้ การสักคือการสื่อจิตไปยังดินแดนพิศวงเพื่อดึงพลังจากพวกเขาให้มาเชื่อมต่อบนลายยันต์ ช่วงชีวิตของผู้สักทำได้เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น เพราะการสักแต่ละครั้งผู้สักจำเป็นต้องจ่ายพลังชีวิตเพื่อเชื่อมโยงกับสิ่งมีชีวิตพิเศษในดินแดนพิศวง อาจารย์ก็อายุมากแล้วจึงไม่มีพลังชีวิตเพียงพอที่จะเปิดมิติเพื่อเชื่อมโยงกับนรสิงห์อีกตน”

เหนือภพหน้าม่อยลงทันที

“แต่เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าเคยเชื่อมโยงจิตเอาไว้กับสิ่งมีชีวิตวิเศษอีกสี่ตนที่ถ่ายทอดผ่านเจ้าอาวาสแต่ละรุ่นเพื่อเฟ้นหาผู้ที่เหมาะสม แต่เจ้าต้องสัญญากับข้าว่าจะนำมันไปใช้ในทางที่ดี ห้ามใช้มันในทางชั่วร้าย ห้ามข่มเหงผู้อ่อนแอเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะเป็นการสร้างกรรมชั่วให้กับพวกเขาด้วย”

เหนือภพเงียบขรึมลงเมื่อได้ยินคำพูดของผู้เป็นอาจารย์ สีหน้าและแววตาของอาจารย์ดูจริงจังกว่าเดิมมาก

เหนือภพครุ่นคิดอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะเอ่ยปากรับคำอาจารย์

“ข้ารับปากว่าข้าจะสร้างกรรมดี พยายามละเว้นกรรมชั่ว แต่ข้าไม่อาจรับปากได้ทั้งหมด บางครั้งชีวิตของคนเราก็ต้องสร้างกรรมชั่วเพื่อปกป้องผู้คน แบบนั้นจะเรียกว่ากรรมชั่วหรือกรรมดีครับ ข้ารู้ว่ากรรมดีและกรรมชั่วอยู่ที่เจตนา แต่ถ้าหากวันหนึ่งข้าจำเป็นต้องฆ่าคนคนหนึ่งทั้งที่เขาเป็นคนดี เพื่อแลกกับการช่วยคนกลุ่มหนึ่งที่มีทั้งดีและเลว ท่านคิดว่านี่คือกรรมชั่วหรือกรรมดี”

“ไม่ว่าคนดีหรือคนเลว ชีวิตก็คือชีวิต อาจารย์เข้าใจว่าการใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยสงคราม เต็มไปด้วยคมหอกคมดาบมันยากที่เจ้าจะไม่ทำกรรมชั่ว แต่อาจารย์ขอให้เจ้าพึงระลึกไว้ว่า หากละเว้นได้ก็ควรละเว้น ควรเลือกสิ่งที่สำคัญและส่งผลกระทบต่อคนอื่นให้น้อยที่สุด แต่บางครั้งการทำลายส่วนมากก็อาจเป็นสิ่งที่ดีกว่า อาจารย์เองก็ไม่อาจให้คำตอบแก่เจ้าได้หรอก”

เหนือภพรู้สึกเลื่อมใสในตัวอาจารย์ที่ไม่ได้บีบบังคับ ไม่ได้กำหนดว่าอะไรผิดหรือถูก อาจารย์สอนให้เขาคิดและใช้ปัญญาในการแก้ปัญหา ทุกสถานการณ์มีทางออกและมีหนทางแก้ไขที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งไม่มีใครสามารถบอกได้นอกจากผู้ที่เผชิญกับมันเท่านั้น

“ข้าจะเชื่อฟังและทำตามที่ท่านสั่งสอน”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด