ตอนที่แล้วตอนที่ 8 เพื่อ 200 เหรียญทองแดง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 10 พรสวรรค์ระดับ 7 !

ตอนที่ 9 แท่นจ้าวอาคม


“เจ้าเห็นแท่นตรงนั้นหรือเปล่า”

พี่พลชี้ไปยังแท่นศิลาสีดำสนิทรูปร่างคล้ายพีระมิดยอดตัดสูงประมาณ 4 เมตร ทุกด้านของศิลามีอักษรโบราณแกะสลักอยู่เต็มพื้นที่ เมื่อเห็นเหนือภพพยักหน้ารับ พลก็อธิบายต่อไปในทันทีว่า

“แท่นนั่นมีชื่อเรียกว่า แท่นจ้าวอาคม มันมีไว้ตรวจสอบปราณอาคมที่อยู่ภายในร่างกายของผู้เข้าทดสอบ หากใครมีปราณอาคมอยู่ในร่างกาย แม้เพียงเล็กน้อย มุกขาวที่ลอยอยู่เหนือแท่นจะเปล่งแสงสีทอง เอาไว้ตอนเจ้าอายุครบ 12 ปีเต็ม ก่อนช่วงเวลาที่เจ้าจะได้พบเจอผู้ชี้นำ ข้าจะพาเจ้ามาทดสอบ”

“ทำตอนนี้ไม่ได้หรือครับ ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำก่อนการเข้าพบผู้ชี้นำ”

เหนือภพไม่ค่อยเข้าใจเหตุผล ก็แค่วัดปราณอาคมภายในร่างกายทำตอนไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ

“เจ้าเด็กน้อยคนนี้นี่ เจ้าไม่รู้อะไร การวัดปราณจากแท่นจ้าวอาคมมันทำได้เพียงครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้น ดังนั้นการวัดปราณจึงต้องเลือกช่วงเวลาที่ปราณอาคมภายในร่างกายมีมากที่สุด เจ้ารู้หรือเปล่า ปราณอาคมภายในร่างกายคนเรามันจะตื่นขึ้นในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน บางคนตื่นขึ้นมาตั้งแต่เกิด บางคนกว่าจะตื่นขึ้นก็เป็นช่วงเสี้ยววินาทีสุดท้ายการพบผู้ชี้นำแล้ว ไม่มีหลักการแน่นอน

แต่ว่าโดยส่วนใหญ่แล้ว มักจะเกิดขึ้นก่อนพบผู้ชี้นำเสมอ ส่วนเหตุผลเพราะอะไรนั้นข้าไม่รู้ แต่ที่ข้ารู้คือแท่นจ้าวอาคมมันไม่ได้มีเพื่อวัดปราณอาคมเพียงอย่างเดียว แต่มันยังสามารถช่วยปรับรากฐานปราณอาคมภายในร่างกายของผู้ทดสอบให้มั่นคงขึ้น บางคนอาจมีโอกาสที่ปราณอาคมจะเพิ่มขึ้นไปหนึ่งขั้นได้อย่างฟรีๆ ดังนั้น พิธีกรรมแบบนี้จึงไม่ได้ทำกันง่ายๆเมื่อไหร่ก็ได้อย่างที่เจ้าคิด”

เหนือภพพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ แต่ใจจริงไม่ค่อยเข้าใจนัก ที่พอเข้าใจได้คือเรื่องที่ว่าตัวเขาก็ยังมีโอกาสที่ปราณอาคมจะตื่นขึ้น แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ส่วนเรื่องอื่นเขารู้สึกว่ามันซับซ้อนจนน่าปวดหัว

“.......และสุดท้ายนี้ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเจ้าทุกคนจะผ่านการทดสอบ และมุ่งสู่เส้นทางการเป็นฮันเตอร์ที่เก่งกาจต่อไป เริ่มพิธีการได้ ณ บัดนี้”

เมื่อผู้เฒ่าพสุธากล่าวคำเปิดงานเสร็จสิ้น เสียงปรบมือก็ดังรัวขึ้นพร้อมกับเสียงพลุเฉลิมฉลองนับสิบที่ถูกจุดขึ้นเป็นสัญญาณเปิดพิธีการอย่างยิ่งใหญ่

ผู้นำในการทำพิธีในการตรวจวัดปราณอาคมในครั้งนี้คือ หัวหน้าไท เขาอยู่ในชุดเครื่องแบบทางการฮันเตอร์ แรงค์ D

ชุดเครื่องแบบทางการฮันเตอร์แรงค์ D นั้นประกอบไปด้วยรองเท้าบูทหนังสีน้ำตาลยาวเกือบถึงเข่า มีแผ่นแหล็กกล้าที่ผ่านการชุบเคลือบด้วยแร่สองสีติดอยู่ด้านหน้าแข้งของรองเท้า กางเกงยาวเนื้อหนารัดรูปสีดำเข้ม ส่วนเสื้อตัวบนนั้นเป็นเสื้อแขนสั้นสีน้ำตาลแนบสนิทกับลำตัว สวมทับด้วยเสื้อเกราะเหล็กที่มีลายนูนรูปดาบไขว้ต่างกัน 3 เล่ม

แน่นอนว่าเสื้อเกราะก็ถูกชุบเคลือบด้วยแร่สองสีด้วยเช่นกัน มันจึงเป็นชุดเกราะสีเงินที่เปล่งประกายเงิน ประกายทองน่าหลงใหลยิ่ง รวมถึงเครื่องยศสำหรับใส่ในงานพิธีสำคัญนั่นคือ หมวกเหล็ก สนับแขน สนับขา ดาบยาวห้อยข้างลำตัวและผ้าคลุมยาวกำมะหยี่สีดำติดเข็มกลัดตรานักอาคมที่หน้าอก ท่าทางองอาจห้าวหาญของเขาทำให้เหล่าครูฝึกหญิง และเด็กสาวบางคนที่เข้าร่วมงานถึงกับรู้สึกหวั่นไหว

หัวหน้าไทจะประกาศเรียกรายชื่อผู้ที่จะได้รับการทดสอบขึ้นมาทีละคน

“ประยุทธ์”

เมื่อรายชื่อแรกถูกเรียกก็ตามติดมาด้วยเสียงขานรับของผู้ถูกเรียก เขาวิ่งออกมาจากแถวตรงเข้าสู่แท่นจ้าวอาคม จากนั้นใช้มือสัมผัสแนบกับแทนจ้าวอาคมโดยตรง เพียงครู่เดียวร่างกายของผู้สัมผัสคล้ายถูกแรงดึงดูดมหาศาลรั้งเอาไว้ มีพลังงานสีทองจากแท่นอาคมไหลเวียนเข้าสู่ร่างกายของผู้สัมผัสวนเวียนอยู่ภายในอยู่สามรอบ ก่อนแสงที่ว่าจะถูกดึงดูดกลับไปยังแท่นจ้าวอาคม

แท่นจ้าวอาคมจากที่เคยเป็นมีสีดำทึบกลับเปล่งแสงสีทอง ก่อนที่แสงที่ว่าจะค่อยๆไหลขึ้นไปยังมุกที่อยู่เหนือแท่น แสงเหล่านี้จะแผ่ออกจากมุกโดยมีความหนาแน่นของแสงต่างกัน แบ่งออกเป็นชั้นๆ ชั้นในสุดจะมีความเข้มมากที่สุด ชั้นแสงเหล่านี้สามารถแยกได้ด้วยตาเปล่า

เมื่อมุกเปล่งแสงสีทองสว่างออกมา 3 ชั้น แท่นศิลาก็กลับกลายเป็นสีดำเช่นเดิม ตามมาด้วยเสียงประกาศอันดังก้องของหัวหน้าไท

“ประยุทธ์ พรสวรรค์ ระดับ 3”

เมื่อเสียงหลุดออกจากปากหัวหน้าไท เสียงฮือฮาจากกลุ่มคนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ก็ดังขึ้น

“ระดับ 3 เลยหรอ นี่มัน เหนือกว่าในประวัติของหมู่บ้านที่เคยมีเลยนะ”

“เด็กคนนี้ น่าจะมีอนาคตไกล”

“ข้าไม่คิดว่า หน้าตาซื่อๆโง่ๆแบบนั้นจะมีพรสวรรค์สูงถึงระดับ 3”

เมื่อหัวหน้าไทยกมือขึ้น เสียงฮือฮาของผู้คนก็เงียบลง ตามมาด้วยเสียงประกาศรายชื่อถัดไปอีกหลายคน แต่กลับไม่มีรายชื่อใดเลยที่ทำให้ผู้คนรู้สึกสนใจ

จนกระทั่ง...

“ช้าง พรสวรรค์ระดับ 4”

“ม้าศึก พรสวรรค์ระดับ 4”

เมื่อทั้งสองชื่อถูกขานออกไป เสียงฮือฮาจากผู้คนก็ดังกระหื่มครึกครื้นขึ้นอีกครั้ง เหล่าครูฝึกต่างถิ่นที่หวังจะมาค้นหาผู้มีพรสวรรค์ถึงกับรู้สึกตื่นตัว สายตาเป็นประกายยิ่งกว่าเมื่อได้ยินชื่อ ‘ประยุทธ์’ ผู้เข้าทดสอบคนแรกเสียอีก

แม้แต่เหนือภพเองก็ยังรับรู้ได้ว่า ผู้คนรอบๆตัวเขาให้ความสนใจกับคนที่ชื่อ ม้าศึกกับช้างเป็นพิเศษ มากกว่าคนที่ชื่อประยุทธ์เสียอีก เขาไม่เข้าใจว่าแค่ตัวเลขแตกต่างกันเพียงแค่ลำดับเดียวมันจะแตกต่างกันได้ถึงเพียงนี้ จึงหันไปถามพี่พล แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากถาม พี่พลคล้ายจะรู้อยู่แล้วจึงอธิบายขึ้นพร้อมชี้นิ้วไปยังกลุ่มครูฝึกที่อยู่ในเครื่องแต่งกายต่างถิ่น

“เจ้าสังเกตเห็นครูฝึกต่างถิ่นเหล่านั้นไหม พวกเขาแต่ละคนล้วนมาจากเมืองใหญ่ ผู้มีพรสวรรค์ระดับ 3 สำหรับพวกนั้นแล้วมีมากจนเกลื่อนกลาด แต่หมู่บ้านเล็กๆอย่างพวกเรานั้นนับว่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่พรสวรรค์ ระดับ 4 นั้นแตกต่างออกไป แม้แต่ในเมืองใหญ่ โอกาสที่จะเกิดขึ้นได้นั้นมีโอกาสเพียงแค่หนึ่งในหมื่นเท่านั้น เป็นธรรมดาที่เหล่าครูฝึกจากต่างถิ่นจะให้ความสนใจ”

“ข้าค่อยไม่เข้าใจ”

เหนือภพเกาหัวตัวเอง มันดูเหมือนเข้าใจง่ายแต่เขาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจความแตกต่าง ของระดับขั้นของปราณอาคมอยู่ดี

เฮ้อ พลถอนหายใจ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อไปดี

“ในเมื่อไม่เข้าใจก็ช่างเถอะ”

“พยัคฆ์คีรี”

เสียงเรียกขานของหัวหน้าไทดังขึ้น ทุกคนในงานพิธีไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ต่างก็เงียบเสียงลงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ผู้เฒ่าพสุธายืดอกขึ้น ท่าทีดูกระตือรือร้นกว่าคนอื่นๆ

เด็กสาวสูงศักดิ์ที่ยืนหลบมุมอยู่ในมุมอับสายผู้คน มีท่าทีให้ความสนใจพยัคฆ์คีรีไม่ด้อยไปกว่าผู้เฒ่าพสุธา แววตาของเธอมีประกายแห่งความรู้สึกที่ห่วงหาอาทร พลางลอบมองดูเด็กชายร่างสูงโปร่ง เส้นผมสีส้มเปล่งประกายเจิดจ้าอยู่กลางลานพิธี ขณะที่เขากำลังย่างก้าวเข้าห้าแท่นจ้าวอาคมด้วยท่วงท่าสง่างามนั้นสีหน้าของเขายังคงนิ่งเฉยไม่มีแววหวั่นกลัว เมื่อมือขาวเรียวสัมผัสเข้ากับแท่นจ้าวอาคม ก็เกิดปฏิกิริยาพิเศษอย่างไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน นั่นคือแสงสีทองสว่างวาบเป็นชั้นๆ รัศมีของแสงทองนี้กว้างกว่าของใครๆ แม้แต่หัวหน้าไทยังต้องชะงัก

“พยัคฆ์คีรี พรสวรรค์ระดับ 5”

“ระดับห้า !”

“นี่มันเท่ากับองค์จ้าวแคว้นแห่งอมตะนครในวัยเยาว์เลยนี่”

“...................”

ผู้เฒ่าพสุธายืนขึ้นดีใจจนออกนอกหน้า นี่คือเหลนชายของเขา เขาผู้ซึ่งเป็นทวดรู้สึกดีใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เหล่าผู้อาวุโส ผู้มีอำนาจ ครูฝึกบางคนที่ได้ยินแบบนั้นต่างหันมาทางผู้เฒ่าพสุธาพร้อมกับกล่าวด้วยประโยคคล้ายๆกันว่า

“ยินดีด้วยกับท่านผู้เฒ่าด้วย เหลนของท่านช่างเป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง”

ณ มุมหนึ่งของอาคารในจุดอับสายตาของผู้คน มีเด็กสาวที่แต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายแบบชนชั้นสูง มันคือชุดกระโปรงสีชมพูเนื้อดีซ้อนทับสลับด้วยผ้าลูกไม้ดิ้นทอง เธอสวมเครื่องประดับลวดลายน่ารักแบบสาวน้อย มีทั้งสร้อยจี้ทับทิม แหวนทองคำ กำไลทองคำ รวมถึงรัดเกล้าทองคำลวดลายเถาวัลย์ที่มีจี้ทับทิมรูปหยดน้ำห้อยลงมาที่กลางหน้าผาก

เมื่อสวมลงบนกลุ่มผมสีดำเงางามที่มัดรวบไว้ที่ท้ายทอยอย่างเป็นธรรมชาติแล้ว ช่างดูสูงศักดิ์ยิ่งนัก และข้างกายของเธอยังมีผู้ชายร่างสูงใหญ่ที่สวมชุดคลุมสีเทาเข้มยาวระพื้น แม้มันจะดูเหมือนเป็นเพียงเนื้อผ้าแบบธรรมดาแต่มันก็หนาและทนทาน มันปกปิดเขาเอาไว้ทั้งตัวจนไม่สามารถมองทะลุเข้าไปเห็นตัวตนของเขาได้

เด็กสาวสูงศักดิ์ยิ้มทั้งน้ำตาขณะใช้สองมือน้อยๆปิดปากตัวเองเอาไว้อย่างอดกลั้นไม่อยู่เมื่อได้ยินเสียงประกาศนั้น

“องค์หญิง กลับกันเถอะขอรับ กลับไปรายงานเรื่องนี้ให้องค์จ้าวแคว้นได้รับรู้ เผื่อว่าองค์จ้าวแคว้นจะถอนรับสั่ง ท่านเองจะได้อยู่กับท่านพยัคฆ์คีรีอย่างสมเกียรติ”

องครักษ์เงาข้างกายเด็กสาวสูงศักดิ์กล่าวขึ้น เพราะคำเตือนนั่นจึงทำให้เด็กสาวสูงศักดิ์คิดได้ แต่นางก็ยังไม่อยากกลับในทันที

“ข้าเข้าใจแต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องสะสาง ข้าจำเป็นต้องจัดการบางเรื่องที่แม้แต่เขาก็ทำไม่ได้ก่อน ข้าถึงจะวางใจ”

สีหน้าของเด็กสาวน่ารักกลับแปรเปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียม

“เจ้าตามหาเด็กโสโครก ชั่วร้ายคนนั้นเจอหรือยัง”

เสียงของเธอที่เปล่งออกมานั้นเต็มไปด้วยความอาฆาต เรียวคิ้วเหนือดวงตากลมโตสีม่วงเข้มขมวดมุ่นเข้าหากัน ช่างขัดกับหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักของเธอ

“ขอรับ สายสืบรายงานมาว่า จากคำพูดจากเด็กที่เรียนรุ่นเดียวกับพยัคฆ์คีรี เด็กคนนั้น ชื่อเหนือภพ มันอยู่ที่งานพิธีด้วยเหมือนกัน คนนั้นล่ะครับ”

องครักษ์เงาชี้นิ้วไปยังเหนือภพที่ยืนอยู่ปะปนอยู่กับผู้คน

“หาทางจับตัวมันมาให้ข้า ข้าจะสั่งสอนมันอย่างที่มันเคยทำกับ พี่คีรี”

“ขอรับ”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด