คาถาที่ 30 : ดูแล
สองสามวันผ่านไป
ถ้าถามว่าตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่พวกเราเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัย สลับเข้าออกโรงพยาบาลกันคนละกี่รอบ ผมคงตอบได้ว่านับครั้งไม่ถ้วน ตอนนี้ก็วนกันเข้าจนครบทุกคนแล้ว ตั้งแต่ไอ้คีย์ ไอ้อิฐ ผม ตอนนี้ล่าสุดก็เป็นใยไหมที่อาทิตย์ก่อนเพิ่งจะโดนยาสลบ อาทิตย์นี้มาเอากระสุนปืนที่ขาออกอีก จนพวกเจ้าหน้าที่ และพยาบาลที่นี่จำหน้าพวกเราได้แล้ว ยังดีที่มีพี่เต้ พี่ชายพี่ฟองที่ทำงานเป็นเอ็กเทิรน์* คอยช่วยติดต่อนู่นนี่นั่นให้ในเวลาฉุกเฉิน เลยไม่ค่อยลำบากอะไรมากเท่าไร
อาการของใยไหมก็ดีขึ้น อาจจะเดินกระเผลกสักระยะหนึ่งแล้วก็กลับมาเป็นปกติ เห็นไอ้คีย์บอกว่าตอนพามาส่งโรงพยาบาล โดนพยาบาลซักใหญ่ว่าไปมีเรื่องอะไรกันมา เพราะคิดว่ามันและไหมเป็นวัยรุ่นหึงหวงกันแล้วคว้าปืนมายิงกันเล่น แต่มันก็หาเรื่องแถเอาตัวรอดออกมาได้
ตอนนี้ผมขับรถมาจอดอยู่ที่ชั้นล่างของคอนโดแมทธิวหลังจากรับตัวไหมกลับมาจากโรงพยาบาล ไหมคงต้องมานอนคอนโดไอ้แมทสักหนึ่งอาทิตย์ตามที่พวกเราได้ตกลงกันไว้ เพราะยังเดินไม่สะดวก อีกอย่างผมจะได้เข้ามาดูแลด้วย เนื่องจากเจ้าตัวไม่อยากให้ครอบครัวต้องเป็นห่วง แถมไม่อยากให้รูมเมทที่หอซักเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็เลยตัดสินใจมาอยู่ซะที่นี่เลย ตอนแรกจะให้ไปอยู่กับพี่ฟอง แต่พี่ฟองก็ดันมีเคสพิเศษอะไรไม่รู้ของยมทูตกับไอ้คีย์ที่ต่างจังหวัดแบบกะทันหันอีก ผลสรุปเลยมาอยู่กันที่นี่ ตัวผมก็ย้ายของขนเสื้อผ้ามานอนกับไอ้แมทชั่วคราว ปล่อยให้ไอ้อิฐนอนเฝ้าหอในไปคนเดียว
“ไง มากันแล้วเหรอ” ไอ้แมททักขึ้นหลังจากเปิดประตูและให้ผมพยุงไหมเดินเข้าไปภายในห้อง ผมเลยพยักหน้ายิ้ม ๆ ให้มันเป็นเชิงทักทาย
“อ้าว ไอ้อิฐ มึงก็อยู่ที่นี่ด้วย” ผมพูด เมื่อเห็นเพื่อนอีกคนนั่งเคี้ยวขนมอยู่ที่โซฟา ในขณะที่สายตามันกำลังจ้องไปที่จอทีวี ที่มีซีรีย์ฝรั่งเรื่องโปรดฉายอยู่
“เออ หนีกูมานี่กันหมด ไอ้คีย์ก็ไม่อยู่ อยู่หอเบื่อ ๆ” ไอ้อิฐหันมาคุยกับผม
“ก็แฟนกูป่วยเปล่า ก็ต้องมาดูแลดิวะ”
“จ้า ๆ แล้วไหมเป็นไงบ้างอะ ดีขึ้นยั้ง” ไอ้อิฐหันไปคุยกับใยไหมที่ตอนนี้นั่งลงที่โซฟาเรียบร้อยแล้ว
“ดีขึ้นแล้วแหละ ขามันตึง ๆ นิดหน่อย แต่ก็โอเค” ไหมตอบ
“เป็นไงล่ะมึงหมดแก้ว หมดแก้ววันนั้น เกือบตายกันยกแก๊งแล้ววันนี้” ไอ้อิฐพูด นั่น ... ความผิดผมอีก เออ แต่ก็จริง ถ้าวันนั้นพวกมันไม่เมาเละ ผมคงไม่ได้ถูกซิลเวียจับตัวไปง่าย ๆ หรอก แถมคงไม่มีคนต้องมาตายเยอะมากขนาดนั้นด้วย คิดแล้วก็รู้สึกแย่เหมือนกัน ต่อให้มันไม่ใช่สิ่งที่ผมทำโดยตรง แต่ถ้าผมควบคุมสติและอารมณ์ได้มากกว่านั้น มันคงออกมาควบคุมผมไม่ได้ ผมพอจะรู้สาเหตุอยู่บ้าง ว่าทุกครั้งที่ผมโกรธหรือโมโหอะไรมาก ๆ จนหลุด ความคิดแง่ลบมันจะเกิดขึ้นมาทุกที แถมไอ้เสียงกระซิบนั่นก็ทำเอาผมแทบคลั่ง
“เออ กูผิด กูขอโทษน่า สงกรานต์นี่หว่า งานเทศกาลทั้งที ขอโทษที่พาพวกมึงเดือดร้อนไปด้วย” ผมพูดออกไป
“ไม่เป็นไรหรอก ไงมึงก็เพื่อนกู แต่วันนั้นอะ มึงทำกูหลอนมาก จริงไหมวะไอ้แมท” ไอ้อิฐพูดพลางหันหน้าไปคุยกับไอ้แมทที่เดินมายื่นแก้วน้ำส่งให้ไหมและนั่งลงที่โซฟาข้าง ๆ อีกคน
“จริง มึงฆ่าคนได้แบบเลือดเย็นมาก แถมตามึงก็น่ากลัวเป็นบ้า ทั้งฝนตกฟ้าร้อง บรรยากาศอย่างกับวันสิ้นโลกในหนังไม่มีผิด”
“มันไม่ใช่กู พวกมึงก็รู้” ผมพูด พยายามนึกภาพตามสิ่งที่พวกนั้นมันเล่า มันคงหลอนพิลึก เพราะแค่ผมเคยเห็นตัวเองแสยะยิ้มในกระจกที่ดูไม่ใช่ตัวเองมันก็ดูเลวร้ายพอควรแล้ว
“จริง มันน่ากลัวมาก ๆ เลยนะชา ตาแกแบบสีดำสนิทเลย แถมแกยังพยายามจะฆ่าพวกเราด้วย” ไหมเป็นคนพูดเสริม
“เอาน่า มันคงไม่ออกมาอีกหรอก เท่าที่ฉันสังเกตนะ มันออกมาควบคุมฉันได้ ก็แค่ตอนที่ฉันโกรธมาก ๆ เท่านั้นแหละ”
“เหอะ ๆ จบเรื่องนักล่าแม่มดก็ได้ แล้วเรื่องแม่มดดำล่ะ จะเอาไงกันต่อ พวกมันหายเงียบไปตั้งแต่คราวที่จับพี่พิมพ์เข้าไปในกระจกแล้วนะ พวกมันก็ต้องการตัวมึงเหมือนกัน มันขู่ให้มีชีวิตอยู่จนถึงวันที่เกิดจันทรุปราคาใช่ไหม” ไอ้อิฐพูดต่อ
อื้ม ... นี่ก็อีกเรื่อง แต่ละอย่างในชีวิตผมนี่มันช่างดีเหลือเกิน ดีจนต้องถอนหายใจออกมายาว ๆ
“เฮ้อ จริงของมึง จบเรื่องนักล่าแม่มดไปได้ก็ยังมีอีกปัญหารออยู่” ผมพูดพึมพำ
“กูไม่มั่นใจหรอก ว่าเรื่องนักล่าแม่มดจะจบ มึงอย่าลืมว่าบนโลกนี้มีองค์กรของมันตั้งอยู่ทั่วโลก แต่อย่างน้อยข่าวคนของมันตายเป็นสิบ ๆ ศพ พร้อมกับองค์กรที่ไทยพังยับขนาดนี้ คงทำให้พวกนั้นหยุดเรื่องของพวกเราไว้สักพักก่อนนั่นแหละ” ไอ้แมทพูด
“แล้วเรื่องน้ามึง มึงโอเคยังวะแมท” ผมถามมันกลับบ้าง เมื่อนึกขึ้นได้ว่าหนึ่งในคนที่ตายคือซิลเวีย
“กูโอเค ในที่สุด ญาติคนสุดท้ายของกูก็ตายไปอีกคน หึ ๆ แต่ก็ช่วยไม่ได้ เขาทำตัวเอง”
“เสียใจด้วยนะ เรื่องน้ามึง แล้วเรื่องของกู มึงพอจะรู้วิธีเอาไอ้สิ่งที่อยู่ในตัวกูออกมาไหมวะ”
“ตอนนี้กูก็หาหนังสือเก่า ๆ เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อยู่ วิธีที่สร้างไอ้หนังสือที่มึงเผาไป จิตวิญญาณซาตานอะไรนั่นจะถูกขังได้ยังไง แต่ตอนนี้ยังไม่เจอข้อมูลอะไรที่ใช้เป็นประโยชน์ได้สักอย่างเลยว่ะ”
“อื้ม ขอบใจนะ เดี๋ยวกูจะเข้าไปช่วยหาด้วยอีกแรง”
“แล้วไอ้คีย์กับพี่ฟองนี่ยังไงวะ เคสพิเศษอะไรของมัน ถึงต้องไปถึงต่างจังหวัด” ไอ้แมทหันไปคุยกับไอ้อิฐบ้าง
“กูก็ไม่รู้เหมือนกัน มันเล่าว่าเคสนี้ใช้ยมทูตหลายคน ต้องไปช่วยงานด่วน ไม่มีเวลาเล่ารายละเอียดมาก คือวันนั้นที่มันพาไอ้ชาไปหาไหมที่โรงพยาบาล กลับมามันก็รีบออกไปพร้อมพี่ฟองเลย กูอ้าปากถามได้ไม่กี่คำ” ไอ้อิฐเล่า วันนั้นผมเองก็งงเหมือนกัน อยู่ดีๆ มาบอกให้ผมกลับแท็กซี่ ทั้ง ๆ ที่มาด้วยกันแท้ ๆ ถ้ารู้ตอนนั้นผมจะได้เอารถออกมาเอง แต่ช่างเถอะ มันคงมีเรื่องคอขาดบาดตายของพวกยมทูตจริง ๆ นั่นแหละ
“พวกแก ดูอะไรนี่” เสียงของใยไหมดังขึ้น ขณะโหมดการคุยกันของพวกผมกลายเป็นการคุยเรื่อยเปื่อยไร้สาระ ขำขันคลายเครียดแทน เพราะเหมือนจะคุยเรื่องเครียดกันอยู่นานทีเดียว มันไม่ใช่สไตล์ของพวกเรา
“อะไรเหรอไหม” ผมถามก่อนหยิบมือถือไหมมาดู ไอ้อิฐกับไอ้แมทต่างยื่นหน้าเข้ามาดูด้วยกัน
“เชี้ย !”
นั่นเป็นเสียงของพวกผมสามคนเอง ที่จ้องมือถือของไหมได้ไม่นานก็ประสานเสียงขึ้นมาพร้อมกันดังลั่นห้อง สิ่งที่เห็นในจอโทรศัพท์มือถือคือวันและเดือนที่จะเกิดจันทรุปราคาในปีนี้ และรู้อะไรไหมครับ
วันที่เกิดจันทรุปราคาเต็มดวงมันคือต้นเดือนหน้า …
ผมมีเวลาอีกแค่สองอาทิตย์ …
เรื่องเครียดกลับมาอีกแล้ว ...
ทำไมมันไวขนาดนี้ ...
เวลานี้เป็นเวลาสามทุ่มครึ่ง ไอ้อิฐเองก็เพิ่งกลับออกไปไม่นาน พวกเรานั่งตีป้อมด้วยกันไปหลายเกม หลังจากพบว่านั่งเครียดปัญหาเรื่องของผมไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร คงต้องรอคุณพ่อของกลุ่มอย่างไอ้คีย์กลับมาช่วยคิดระดมสมองและอภิปราย พวกเราเลยเลือกเล่นเกมกันซะดีกว่า สรุปวันนี้ก็ไร้สาระไปอีกหนึ่งวัน
ตอนนี้ผมเดินมาหยุดอยู่ที่ประตูหน้าห้องของไหมที่ไอ้แมทได้เตรียมไว้ให้ ก่อนผมจะเคาะประตูไป
เก๊าะ ๆ
ผมว่าจะแวะเข้าไปดูซะหน่อย เผื่อทำอะไรได้ไม่สะดวกหรือต้องการอะไรหรือเปล่า แค่เห็นไหมเดินกระเผลก ๆ ผมก็กลัวว่าเจ้าตัวจะลื่นล้มหัวฟาดพื้นแล้ว ผมนี่มันวิตกจริตเกินไปจริง ๆ แต่คนมันเป็นห่วงอะ จะให้ทำยังไงล่ะ หลังจากเคาะประตูสักพัก ประตูห้องก็ถูกเปิดออกมาพร้อมกับร่างของไหม
“ไหม” ผมเรียก
“หืม”
“เข้าไปได้ปะ” ผมถามเชิงขออนุญาติเจ้าตัว
“เข้ามาดิ” ไหมตอบพลางขยับตัวให้ผมเดินเข้าไปภายในห้อง
“อาบน้ำยั้งเนี่ย” ผมถามออกไปอีกครั้ง เมื่อยังเห็นว่าเจ้าตัวยังคงใส่เสื้อผ้าชุดเดิมอยู่ ดูท่าคงยังไม่ได้อาบแน่นอนสภาพแบบนี้
“ยัง จะอาบยังไงล่ะ แผลห้ามโดนน้ำ ว่าจะเช็ดตัว” ไหมตอบผมกลับมา เจ้าตัวเดินกระเผลกไปนั่งลงที่เตียง ผมเห็นแถวนั้นมีขันน้ำและผ้าเช็ดตัววางอยู่ เห็นแล้วเอ็นดูเหลือเกิน จะทำคนเดียวได้แน่เหรอ ขาก็เจ็บ มือก็เดี้ยง เหลืออยู่มือเดียวข้างที่ซิลเวียไม่ได้เอารองเท้าส้นเข็มเหยียบ
“เช็ดตัวให้ปะ” ผมถามออกไปด้วยความหวังดีปนเจ้าเล่ห์
“จะบ้าเหรอ ! ทำเองได้” ไหมพูดออกมา ใบหน้าขึ้นสีเล็กน้อย
“ถนัดเหรอ ทีตอนเค้าป่วยไหมยังเช็ดตัวให้เลย มา ๆ เดี๋ยวเช็ดให้” ผมไม่พูดเปล่า เดินไปที่เตียงก่อนหยิบผ้าผืนที่ไหมถืออยู่มาจุ่มน้ำ แต่มือเรียวพยายามยื้อมือผมไว้
“ทำเองได้น่า” ไหมพูด คนอะไรดื้อจริง ๆ ผมเลยแกล้งปล่อยให้ทำเอง
“อะไหน ลองก้มไปเช็ดที่ขาดูดิ๊” ผมท้า เจ้าตัวเลยทำท่าเก้ ๆ กัง ๆ ก้มไปที่ขาตัวเอง ดูก็รู้แล้วว่าเจ็บแถมทำไม่ถนัด แล้วยังจะทำเป็นเก่งอีก เฮ้อ มันน่าจะจับตีก้นซะให้เข็ด
“พอเลยไม่ต้องฝืน ก็แผลมันตึง จะก้มลงไปเช็ดยังไง เดี๋ยวชาเช็ดให้ มือก็เจ็บยังจะรั้นอีก” ผมพูดออกไปพลางดึงผ้าในมือเจ้าตัวกลับมาอีกครั้ง คราวนี้คนโดนแย่งผ้าไปกลับไม่แย่งกลับ แต่ทำหน้ามุ่ยเหมือนเด็กโดนขัดใจซะอย่างงั้น
ผมค่อย ๆ เอาผ้าผืนนั้นเช็ดไปตามเรียวขาของไหมเรื่อย ๆ อย่างอ่อนโยน ขาไหมขาวเว่อร์ ไม่คิดเลยจะได้มีโอกาสได้มาทำแบบนี้
จากปลายขา ขยับมาบริเวณรอบ ๆ แผล ขยับขึ้นมาอีกนิดเจอหัวเข่า และกางเกงขาสั้น ขาอ่อน และ ...
ผลั๊ว !
วิ้งเลย คืนที่ดาวเต็มฟ้าฉันจินตนาการเป็นภาพเธอ ...
มือเรียวของไหมข้างที่ไม่เจ็บตบมายังหัวผมจนต้องร้องโอดโอย
“เช็ดสูงไปละ”
“โอ๊ย ! ไรเนี่ย จะเช็ดให้สะอาดไง”
“พอเลย ที่เหลือเช็ดเองได้แล้ว ไปนอนไป๊” ไหมพูดต่อ
“ไล่เค้าจริงดิ ให้นอนเป็นเพื่อนได้นะ เป็นหมอนข้างให้ก็ได้ เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว” ผมพูดพลางทำหน้าอ้อน
“ออกไปได้แล้ว ไปนอนกับแมทนู่น สยองมากชา แกทำหน้าตาหื่นกามมาก”
อะไรจะขนาดนั้น ... เห็นผมเป็นคนยังไงเนี่ย
“ไหน ไหนใครทำหน้าแบบนั้น ไหน ๆ” ผมพูดทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้มองไปรอบห้อง จนไหมเบะปากคว่ำออกมาเหมือนหมั่นไส้อย่างรุนแรง
“เค ๆ ไม่แกล้งละ มีไรให้ช่วยก็ตะโกนเรียกนะ” ผมพูดไปพลางหัวเราะขำใบหน้าเจ้าตัว
“ย่ะ”
“ฝันดีนะ” ผมพูดประโยคสุดท้ายก่อนลุกจากเตียงแล้วเดินออกมา ไม่วายได้ยินเสียงไล่ตามด้านหลังก่อนผมจะปิดประตูลง
“อื้ม ... ฝันดีนะชา”
ผมแง้มหน้ามาที่ประตูก่อนยิ้มกว้าง ๆ ส่งให้ไหมหนึ่งครั้งก่อนปิดประตู หวังว่ารอยยิ้มผมมันจะช่วยทำให้ไหมหายไวขึ้น คนอะไร น่ารัก น่ากินชะมัด อดใจไว้นะลูกพ่อ
อีกสองอาทิตย์ข้างหน้าชีวิตจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้
แต่อย่างน้อย ๆ คืนนี้ ที่นี่ ก็มีคนนอนหลับฝันดีถึงสองคน ...
กลางป่าลึกของจังหวัดหนึ่งในประเทศไทย ร่างของยมทูตหลายคนเดินเข้ามาในบริเวณที่คล้ายกับเคยเป็นสถานที่ที่ใช้สำหรับทำพิธีกรรมอะไรบางอย่าง ที่ตรงนั้นมีกลิ่นเหม็นเน่าชวนอาเจียนของซากสัตว์หลากหลายชนิด รวมไปถึงเลือดที่แห้งกรังบนพื้นดินมากมาย เศษซากกิ่งไม้ที่ถูกเผาไหม้จนดำเป็นตอตะโกถูกวางกองไว้อยู่ตรงกลาง เหมือนที่ตรงนั้นเคยเป็นกองไฟขนาดใหญ่มาก่อน แต่ที่น่าตกใจไปกว่าคือนอกจากซากสัตว์และหัวของสัตว์หลายสิบตัวในซากกองไฟแล้ว ที่ตรงนั้นยังมีหัวของมนุษย์ที่ไหม้เกรียมจนเห็นกะโหลกเกือบยี่สิบหัวกองสุมรวมกันอยู่ ในขณะที่ร่างกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง แทบจะไม่ต้องบอกเลยว่าพื้นที่ตรงนั้นมันเลวร้ายขนาดไหน
“พวกนั้นเริ่มใช้มนุษย์ในการสังเวยแล้ว” สิงหเดชพูดออกมาอย่างเคร่งเครียด
“ท่านพญายมราช ดูนั่นครับ” คีย์บอร์ดร้องเรียกท่านพญายมราชเมื่อสังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในซากกองไฟ
“ทุกคน ! ถอยห่างจากซากกองไฟที่มอดก่อน” ท่านพญายมราชร้องบอกทุกคนพร้อมกับถอยห่างจากบริเวณนั้น
ที่ที่เคยเป็นกองเพลิงค่อย ๆ กลายเป็นของเหลวสีดำปนอยู่กับหัวของสัตว์และมนุษย์ ไม่นานพื้นที่ตรงนั้นก็ค่อย ๆ ยุบตัวลงไปเป็นวงกว้าง ของเหลวพวกนั้นค่อย ๆ ไหลรวมกันลงไปคล้ายกับตรงนั้นเป็นหลุมลึกขนาดใหญ่
หลุมนั้นลึกเกินกว่าใครจะจินตนาการได้ ...
และใครจะรู้ว่าลึกลงไปตรงนั้น ...
มันคือนรก …