ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 1 - ช่วยเหลือกันฉันท์สหาย

บทนำ


ท้องฟ้าดำทะมึนกู่ก้องคำราม เสียงลมกระโชกแรงนอกหน้าต่างพัดเอาทุกสิ่งอย่างที่บอบบางจนปลิวหาย หน้าต่างไม้สั่นไหวกระทบกันดังกึกกักแข่งกับเสียงกระทบของเม็ดฝนที่สาดลงมา พายุรุนแรงพัดเอาแสงไฟหลายจุดดับสนิท เหลือเพียงภายในตำหนักบางแห่งเท่านั้นที่ยังคงส่องแสงร่ำไร

ร่างของสตรีในชุดสีแดงปักดิ้นทองลายหงส์แผ่กลิ่นอายน่าเกรงขามริมฝีปากที่ทาชาดสีแดงสดเหยียดยิ้มที่มุมปาก ดวงตาคมกริบฉายแวววางเปล่า ขณะนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นท้องฟ้ายามราตรีที่มืดสนิท ทว่าภายในตำหนักที่กว้างขวางตกแต่งด้วยเครื่องเรือนอันล้ำค่า ห้องแห่งนี้ยังคงสว่างเจิดจ้าด้วยแสงจากไข่มุกราตรีเม็ดโตที่มีเพียงสามลูกเท่านั้นในแคว้นช่าง

พายุกำลังมา…

“คืนนี้ฝ่าบาทพำนักที่ตำหนักใด” เสียงหวานหนักแน่นเอ่ยถามขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัด

“คืนนี้ฝ่าบาทพำนักที่ตำหนักหลี่หลินเพคะ ฮองเฮา”  หยาตาอิ้ง หนึ่งในนางกำนัลผู้รับใช้คนสนิทของเสวี่ยฮองเฮา ตอบคำถามผู้เป็นนายด้วยน้ำเสียงแฝงความไม่พอใจ

“หยาเอ๋อร์ ต้องให้ข้าบอกกับเจ้าอีกกี่ครั้งว่าข้าไม่คิดมากเรื่องที่ฝ่าบาทใช้เวลาอยู่กับสตรีเหล่านั้น”

เสวี่ยฮองเฮา หรือพระนามเต็มคือเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น นางคือสตรีที่มีอำนาจมากที่สุดในวังหลัง หากให้กล่าวกันตามตรง นางมีอำนาจเหนือทุกผู้ในแผ่นดินยกเว้นก็แต่เพียงฮ่องเต้เพียงผู้เดียว แต่เดิมเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเป็นองค์หญิงองค์โตจากแคว้นเป้ย ตั้งแต่เล็กเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นถูกส่งมาหมั้นหมายกับลี่กุนจวิ้นเฉินแห่งแคว้นช่าง นางเปรียบเสมือนเครื่องมือเชื่อมความสัมพันธ์ให้ทั้งสองแผ่นดิน ถูกทอดทิ้งห่างจากบ้านเกิดตั้งแต่เยาว์วัย ใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบเสงี่ยมมาโดยตลอด

ลี่กุนจวิ้นเฉิน ฮ่องเต้หนุ่มวัย 28 ปี ผู้มีนิสัยใจดี เอื้ออาทร ใส่ใจประชาชนและขุนนาง อีกทั้งยังมีรูปโฉมหล่อเหลาน่าหลงใหล ไม่ว่าสตรีคนใดในแผ่นดินต่างก็หมายปอง บุรุษผู้ยิ่งใหญ่แห่งแผ่นดินเป้ยผู้นี้เปรียบเสมือนกับสหายสนิทของเสวี่ยฮองเฮา ทั้งคู่เติบโตเรียนศาสตร์วิชามาด้วยกัน แล้วยังใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้นเมื่อหมั้นหมายและแต่งงาน โชคชะตาของฮ่องเต้และฮองเฮาจึงผูกพันกันไว้อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

เสวี่ยฮองเฮาเรียนรู้และเข้าใจขนบธรรมเนียมและการปกครองของฝ่ายในมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก นางรู้มาตลอดว่าสักวันจวิ้นเฉินของนางจะต้องรายล้อมไปด้วยเหล่าสตรีผู้งดงาม และมีนิสัยหลากหลายเกินกว่าจะเข้าใจ โดยที่นางผู้มีอำนาจในวังหลังจะต้องเป็นมีจิตใจกว้างขวางไม่คิดริษยา คัดสรรสตรีเหล่านั้นมอบให้แก่คนผู้สามีอย่างมิอาจเลี่ยงได้

ทว่าเสวี่ยฮองเฮาเป็นสตรีผู้มีนิสัยที่ไม่อาจคาดเดา บางครั้งนางอาจนิ่งสงบราวกับลมในฤดูเหมันต์ แต่บางครั้งก็อาจเต็มไปด้วยความแจ่มใสอันน่าประหลาดเหมือนกับสายฝนในฤดูคิมหันต์

นางเป็นฮองเฮาที่น่ายำเกรง ฮ่องเต้ให้ความเคารพและรักใคร่ มอบที่พำนักเป็นตำหนักที่ยิ่งใหญ่และงดงาม ทั้งยังตั้งชื่อตำหนักแห่งนี้ว่าฮุ่ยหมิ่นตามชื่อเดิม เหล่าบรรดาข้ารับใช้ต่างซื่อสัตย์และภักดี ไม่มีผู้ใดที่กล้าคิดร้ายต่อเสวี่ยฮองเฮา

ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่ทุกผู้คนรู้สึกเช่นเดียวกัน... นั่นคือพวกเขาสงสารเสวี่ยฮองเฮา

สตรีผู้จิตใจโอบอ้อมอารีต่อสตรีทั้งหลายเสียยิ่งกว่าน้ำในมหาสมุทรอย่างเสวี่ยฮองเฮา นับตั้งแต่ที่แต่งงานเป็นพระชายาจนเลื่อนขั้นมาเป็นฮองเฮา นางยังคงไร้บุตร แล้วยังต้องมาคัดเลือกเหล่าสตรีวัยแรกแย้มเข้าวังเพื่อปรนนิบัติสามีของตนอยู่ทุกๆ ปี ไม่ว่าจะงานเลี้ยงหรือยามที่ออกนอกวัง นางมักจะหาสตรีที่งดงามที่สุดมาให้กับฮ่องเต้อยู่เสมอ แม้จะต้องทนมองผู้เป็นสามีแบ่งความรักแก่หญิงอื่นก็ไม่เคยปริปากบ่น

“แต่ฮองเฮาเพคะ ท่านจะปล่อยให้เสียนเฟยครอบครองฝ่าบาทแต่เพียงผู้เดียวไม่ได้นะเพคะ” หยาเอ๋อร์พยายามเตือนสติฮองเฮา แล้วทวงความยุติธรรมให้แก่เจ้านายของตน

เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเอนตัวลงพิงกับพนักเบาะรองนั่งด้วยท่าทางเกียจคร้าน นางยกมือที่สวมใส่ปลอกนิ้วสีทองมาปิดปากหาวด้วยความง่วงงุน ดวงตาหงส์เหลือบมองหยาเอ๋อร์ที่นางเป็นคนตั้งชื่อให้ข้างกายด้วยแววตาลุ่มลึกที่ไม่อาจเดาความคิดได้

“เตรียมผ้ามุขที่ได้มาจากแคว้นเหยาเว่ย พรุ่งนี้ข้าจะมอบมันให้กับซิวหรง” ผู้ดำรงตำแหน่งฮองเฮาสั่งอย่างไม่คิดอะไร

ในขณะที่นางกำนัลภายในห้องบรรทมต่างร้องคัดค้านกันเป็นเสียงเดียว “ฮองเฮา!!!”

“พวกเจ้ากล้าไม่ทำตามคำสั่งของข้าเช่นนั้นหรือ” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นใช้น้ำเสียงดุดันกล่าวออกมา

หยาเอ๋อร์ผู้ใกล้ชิดฮองเฮาและคอยปรนนิบัติเป็นเพื่อนเล่นนางมาตั้งแต่ก่อนรับตำแหน่งฮองเฮา กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงกล้า ๆ กลัว ๆ “ฮองเฮา แต่ผ้าผืนนั้นเป็นของล้ำค่าที่ฝ่าบาทประทานให้แก่ท่าน มีเพียงแค่สองผืนเท่านั้นในแคว้นช่าง  หนึ่งผืนฝ่าบาทเป็นผู้ครอบครอง อีกหนึ่งผืนมอบให้ท่านผู้เป็นคู่ครอง แล้เหตุใดท่านยังคิดจะมอบให้ซิวหรงผู้ที่มีตำแหน่งต้อยต่ำกว่าเสียนเฟยที่กำลังปรนนิบัติฝ่าบาทล่ะเพคะ”

“ข้าไม่ชอบผ้ามุกนั่น และข้าก็คิดว่าซิวหรงผู้มีกิริยางดงาม รูปโฉมไม่เป็นรองใครด้วยผิวพรรณที่งดงามราวกับผ้าแพรไข่มุกย่อมเหมาะสมแก่ผ้ามุกนั่นมากกว่าข้า” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นกล่าว นางทำเหมือนกับว่าตำแหน่งลำดับขั้นในวังหลังไม่มีความสำคัญ ใครที่เหมาะสมคนผู้นั้นก็สมควรได้รับถึงแม้ตำแหน่งจะไม่คู่ควรกับของล้ำค่าก็ตาม

“แต่ถ้าฝ่าบาททรงทราบ..”

“กำไลหยกอี๋ สร้อยทองเฉิน ต้นเหมยพันปี กระต่ายหิมะ และอีกหลายอย่างที่ข้าได้รับจากฮ่องเต้ ยามที่ข้ามอบให้แก่เหล่าโฉมงามใต้การปกครอง เจ้าเคยเห็นฝ่าบาทกล่าวโทษข้าเช่นนั้นหรือ” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเลิกคิ้วถาม

“แต่ฝ่าบาทประสงค์ที่จะสวมใส่ชุดผ้ามุกนั้นคู่กับฮองเฮาในงานเลี้ยงคืนทะเลจันทร์กับฮองเฮานะเพคะ”

“เรื่องนี้ข้าจะคุยกับฝ่าบาทเอง เจ้าสั่งให้คนไปทำตามที่ข้าสั่งก็พอ จากนั้นค่อยมาเปลี่ยนชุดให้ข้า ข้าจะเข้านอนแล้ว”

“เพคะ” หยาเอ๋อร์รับคำอย่างไม่เต็มใจ

ยามที่หยาเอ๋อร์ออกไป ก็ได้พาเหล่านางกำนัลคนอื่นออกไปด้วย เพราะทุกค่ำคืนหากเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นมิได้ปรนนิบัติฮ่องเต้ นางมักจะใช้เวลาส่วนตัวก่อนเขานอนเพียงลำพัง เรื่องนี้ไม่มีผู้ใดทราบว่านางทำอะไรยกเว้นตัวนางเอง

เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเดินไปยังโต๊ะทรงงานของตนเอง แล้วเปิดลิ้นชักด้านข้างออกมา นางลูบคลำไปยังช่องทางลับจากนั้นก็ดึงแผ่นกระดาษปึกใหญ่ออกมา แผ่นกระดาษนี้ หากกล่าวกันตามตรงมันคือสมุด ...สมุดที่เต็มไปด้วยภาพวาดของหญิงสาวผู้มีรูปโฉมงดงามแตกต่างกันไป

นางเปิดไปยังหน้าที่มีชื่อเหวินเจียน หญิงสาวจากหุบเขาหิ่งห้อย ที่นางและฮ่องเต้เคยไปพักผ่อนในช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา สตรีผู้นั้นมีรูปโฉมงดงามและอ่อนหวานปานน้ำผึ้ง ผิวพรรณขาวนวลเนียนราวกับไข่มุกอันล้ำค่า แค่เพียงแย้มยิ้มก็ชวนให้คนรู้สึกเบิกบานราวกับดอกไม้ที่เบ่งบานในยามเช้า ซึ่งสตรีผู้นี้ก็คือซิวหรง

เหวินซิวหรงได้รับตำแหน่งนี้มิใช่เพราะแค่รูปโฉมงดงามแต่กลับเปี่ยมไปด้วยกิริยาที่งดงามเกินกว่าจะเป็นเพียงบุตรสาวของคหบดีในหุบเขาเล็ก ๆ เสวี่ยฮองเฮาถูกใจความงดงามและท่าทางอันอ่อนหวานจึงได้เสนอให้ฮ่องเต้เชิญนางเข้าวังและรับตำแหน่งซิวหรง

อันที่จริง... เสวี่ยฮองเฮาอาจทำเหมือนมอบผ้ามุกให้กับซิวหรงโดยไม่มีจุดประสงค์แอบแฝง แต่จริง ๆ นี่คือการตอกหน้าเสียนเฟย

ซิ่นเสียนเฟยหรือซิ่นจิวซื่อ สตรีผู้มีโครงหน้างดงามและเฉียบคมราวกับใบมีด ฉลาดล้ำเลิศไม่เป็นรองใคร บุตรสาวของซิ่นจินหม่า หัวหน้าราชทูตจากแคว้นเพ่ย เข้าวังมาสองปี แสดงความเฉลียวฉลาดจนต้องเหลียวมอง จนได้รับตำแหน่งเสียนเฟย หนึ่งในซื่อฟูเหรินหรือก็คือสี่พระชายาขั้นหนึ่ง

ซิ่นเสียนเฟยคือคนที่ฮองเฮาเลือกรับเข้าวังในงานคัดเลือกสาวงามของฮ่องเต้ ฮองเฮาถูกใจรูปโฉมที่ดูแตกต่างจากสตรีบอบบางทั่วไปจึงเลือกรับเข้ามาโดยไม่คิดอะไร แต่ทว่าเมื่อไม่นานมานี้ อีกฝ่ายกลับวางแผนการใหญ่คิดจะโค่นนางลงจากบัลลังก์ ด้วยเหตุนั้นนางจึงวางแผนสลับป้ายชื่อหญิงสาวที่ต้องคอยปรนนิบัติฝ่าบาทในค่ำคืนนี้ให้เป็นชื่อของซิ่นเสียนเฟย จากนั้นก็ทำการหักหน้านางโดยการส่งผ้ามุกอันเป็นของคู่กันกับฝ่าบาทให้แก่ซิวหรง เพื่อเป็นคำเตือนให้ซิ่นเสียนเฟยทราบว่าตำแหน่งของนางในยามนี้ได้มาเพราะใคร และถ้าหากคิดจะขัดขาคนผู้นั้น ก็อย่าหวังว่าจะนอนกอดตำแหน่งพระชายาขั้นหนึ่งได้นานอย่างที่ฝัน

“ข้ารึก็อุตส่าห์นึกเอ็นดู หากนางยังไม่ล้มเลิกแผนการนั้น สงสัยข้าคงต้องทำลายดอกไม้ดอกนั้นแล้วใช้ดินกลบทิ้งเสียแล้วกระมัง” เสวี่ยฮองเฮาพึมพำขณะใช้ปลอกนิ้วสีทองลูบไล้ภาพใบหน้าอันงดงามของซิ่นเสียนเฟยอย่างนึกเสียดาย

“มีจดหมายจากฝ่าบาทฝากมาถึงฮองเฮาเพคะ” เลี่ยนตาอิ้ง นางกำนัลระดับสูง ผู้ปรนนิบัติรับใช้เสวี่ยฮองเฮามาตั้งแต่ที่เข้าวังมาวันแรก นางอายุสี่สิบเจ็ดปี เป็นผู้ที่คอยดูแลรับใช้คอยส่งข่าวเรื่องราวระหว่างฮองเฮาและฝ่าบาท เป็นอีกคนที่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นไว้ใจรองมาจากหยาเอ๋อร์

“เข้ามาได้” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเก็บสมุดภาพลงไปในช่องลับตามเดิม สมุดภาพนี้ นอกจากนางผู้เป็นเจ้าของแล้วก็ไม่มีผู้ใดทราบแม้แต่ฝ่าบาทผู้ที่รู้เรื่องทุกอย่างในชีวิตนางก็ตาม

“นี่คือจดหมายที่ฝ่าบาทเขียนถึงฮองเฮาเพคะ” หญิงวัยกลางคนเดินเข้ามาก่อนจะยื่นแผ่นกระดาษให้แก่เสวี่ยฮองเฮา

เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นรับมาพร้อมกับพึมพำขณะเปิดแผ่นกระดาษออก “อะไรของเขาอีกแล้วนะ” น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความเหนื่อยใจ

ข้อความในกระดาษบอกกับว่าพรุ่งนี้ยามบ่ายเขาจะมาหานางที่ตำหนักฮุ่ยหมิ่น ไม่ว่าเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นจะติดธุระอะไรก็ให้ยกเลิกทั้งหมดและเตรียมตัวต้อนรับเขาห้ามหนีหาย อีกทั้งยังกล่าวไว้ว่าคืนพรุ่งนี้จะใช้เวลาอยู่กับนาง ห้ามใช้ข้ออ้างใด ๆ ไล่เขากลับไปเด็ดขาด เพราะเขาไม่สนใจ

เสวี่ยฮองเฮาเม้มริมฝีปากล่างเป็นเส้นตรงอย่างไม่พอใจ แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา

“เอาไปเผาทิ้ง” นางยื่นแผ่นกระดาษให้กับเลี่ยนต้าอิ้ง ซึ่งอีกฝ่ายก็รับแล้วออกไปอย่างรู้งาน

ลี่กุนผู้นั้นทำเหมือนกับรู้ว่านางคิดจะรั้งตัวเหล่านางสนมทั้งหลายไว้เกินบ่ายเพื่อพูดคุย ถึงได้ส่งจดหมายมาหยุดนางไว้แต่เนิ่น ๆ ผ่านมานานถึงสิบเจ็ดปีที่นางรู้จักกับเขามา เติบโตมาด้วยกันในฐานะสหายสนิท แม้สถานะระหว่างทั้งคู่จะแปรเปลี่ยนเป็นสามีภรรยา แต่ในสายตาเสวี่ยฮองเฮา ลี่กุนฮ่องเต้เป็นได้เพียงเพื่อนสนิทเท่านั้น

“ฝ่าบาท” กงกงผู้ถือโคมไฟอยู่ข้างร่างสูงบนโถงทางเดินอันเงียบสงบกล่าวเรียกทำลายบรรยากาศขึ้นมา

บุรุษหนุ่มท่าทางองอาจในชุดสีดำสนิท มองตรงฝ่าฝนไปยังตำหนักใหญ่ที่มีไฟส่องแสงสว่างด้วยแววตาล้ำลึก เขาคือฮ่องเต้ผู้เรืองอำนาจ ไพร่ฟ้าต่างยำเกรง แต่ในยามนี้กลับยืนอยู่กับขันทีบนทางเดินที่มีฝนจาง ๆ สาดเข้ามาใต้ความมืดมิด แม้หัวใจจะร่ำร้องคะนึงหาคนผู้หนึ่งมากเพียงใด แต่ก็ทำได้เพียงยืนมองอยู่ห่าง ๆ ไปยังตำหนักที่ฉายแสงด้วยดวงใจที่เจ็บปวดอยู่ในส่วนลึก

“ดึกถึงเพียงนี้ ทำไมนางถึงยังไม่เข้านอนนะ” เสียงทุ้มนุ่มลึกกล่าวขึ้นมาด้วยโทนเสียงที่แผ่วเบา จนถูกกลืนหายไปกับเสียงฝนที่ตกหนัก ก่อนที่ทางเดินนั้นจะเหลือแต่เพียงความว่างเปล่าอีกครั้ง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด