ตอนที่แล้วบทที่ 1 - ช่วยเหลือกันฉันท์สหาย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 3 - คำพูดคืออาวุธ

บทที่ 2 - กำแพงสหายสูงสิบเจ็ดปี


ในห้องทรงงานของฮ่องเต้ลี่กุนจวิ้นเฉิน มีการตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่งหรูหราด้วยโทนสีขาวดำเหมือนหยินหยาง ให้ความรู้สึกสงบเหมาะสมแก่การใช้สมาธิ เรียงรายไปด้วยชั้นหนังสือและภาพวาดล้ำค่าหายาก ทว่าในช่วงเวลาแห่งที่บ้านเมืองสงบสุข เจ้าของห้องกลับไม่มีสิ่งอื่นใดให้จดจ่อนอกจากเรื่องของหัวใจ

“ชงซาน ข้าทำถูกแล้วใช่หรือไม่ที่เลิกตามใจนาง” ลี่กุนจวิ้นเฉินเอ่ยถามขณะที่นั่งจ้องมองที่แผ่นกระดาษเปล่า ส่วนจิตใจกำลังคิดย้อนไปยังเหตุการณ์เมื่อช่วงเที่ยง

ชงซาน... คนที่เป็นทั้งที่ปรึกษาส่วนตัวและสหายสนิทพลันเงยหน้าขึ้นจากหนังสือไม้ไผ่ในมือด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เขามีท่าทีสุขุมและสีหน้าที่คล้ายไม่สนใจสิ่งใด แต่เห็นเช่นนี้ท่าทีสุขุมของเขากำลังคิดคำนวณเรื่องที่อีกฝ่ายถามอยู่

“ฮองเฮามิได้ถามฝ่าบาทหรือ ว่าเหตุใดถึงไม่ว่าง” ต้นตอของแผนการบุรุษใจแข็งเอ่ยถามผลลัพธ์

“ไม่... นางแค่หาหาทางปั่นหัวนางสนมวิธีใหม่โดยที่ไม่ดึงข้าเขาไปเกี่ยวอีก”

ชงซานนั่งเงียบจมอยู่กับความคิด จะบอกว่าฮ่องเต้รูปงามดึงดูดไม่พอก็ไม่น่าใช่ รูปโฉมเช่นบุรุษผู้นั้นนับว่าเป็นของหายาก ในแผ่นดินไม่ว่าสตรีนางใดได้ผมยังต้องเก็บไปฝันถึงกันทุกราย แต่กับฮองเฮา... นางเหมือนจะเห็นอีกฝ่ายเป็นเหมือนมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งจนมองข้ามรูปโฉมไปจนสิ้น แม้ฮ่องเต้จะทำดีด้วยเพียงใด นางก็คิดว่าเรื่องธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษ

“ฮองเฮามีท่าทีอย่างไร ตอนที่ฝ่าบาทบอกปฏิเสธ”

“นางมีสีหน้าประหลาดใจ แต่ข้ามองไปลึก ๆ แล้ว... เหมือนนางจะเจ็บปวดอยู่นิด ๆ”

รู้สึกผิดหวัง... อย่างน้อย ๆ ก็พอรู้ได้ว่าฮองเฮายังไม่ได้ตายด้านต่อฮ่องเต้ซะทีเดียว หากเป็นเช่นนี้ก็ยังพอมีความหวัง เพราะถ้าเกิดนางไม่รู้สึกอะไรเลย การถูกปฏิเสธคงไม่กระทบจิตใจเป็นแน่

“ฝ่าบาทเริ่มต้นได้ดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ชงซานกล่าวชม

“ดีอย่างไร ข้าเพิ่งทำร้ายจิตใจนางไปนะ”

“หรือฝ่าบาทจะยึดแผนเดิม ที่ว่าพาฮองเฮาไปเที่ยวกลางสวนดอกไม้แล้วสารภาพความในใจออกมาขณะที่กลีบดอกไม้โปรยปราย แล้วบอกไปว่าในใจว่าท่านหลงรักนางตั้งแต่เพียงแรกเห็นที่พบหน้า ก็พลันรู้สึกถึงรักอันเป็นนิรันดร...”

“หยุด ๆ หยุดพูดแค่นั้นแหละ” ลี่กุนจวิ้นเฉินรีบร้องเสียงดังกลบเสียงชงซาน ขณะที่ตนเองรีบเดินสำรวจรอบห้องเพื่อดูให้แน่ใจว่าไม่มีใครแอบฟัง “เจ้าเป็นคนบอกข้าเองไม่ใช่หรือ หากทำแบบนั้นไป คนที่จะถูกปฏิเสธกลับมาต้องเป็นข้าแน่ ๆ” ฮ่องเต้หนุ่มแทบแยกเขี้ยว

“ก็ถ้าหากฝ่าบาทสงสัยวิธีการของกระหม่อม แล้วจะกลับไปยึดวิธีการเดิม กระหม่อมก็พร้อมที่จะย้ำเตือนแผนการนั้นให้ฟังอีกรอบอย่างไรเล่า ฝ่าบาท”

ลี่กุนจวิ้นเฉินนึกอยากจะเอาหัวโขกกับชั้นหนังสือ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนรอบข้างตนเองแต่ละคนจึงมีนิสัยประหลาด คนหนึ่งก็เป็นสตรีรูปงามที่ชมชอบโฉมของสตรีด้วยกันเอง ส่วนอีกคนก็เป็นบุรุษที่ทำตัวเป็นเหมือนชั้นหนังสือเดินได้ ไร้อารมณ์ รู้จักแต่พูดจาตรง ๆ ไม่ไว้หน้าคนฟัง

“ชงซาน”

“ในฐานะคนนอกที่คอยสังเกตพฤติกรรมของฝ่าบาทกับฮ่องเต้มาตลอดระยะเวลาสิบเจ็ดปี กระหม่อมมั่นใจว่าฮองเฮามีใจให้ฝ่าบาท เพียงแต่ยังไม่รู้ตัวเท่านั้น”

“แล้ว?” ฮ่องเต้เลิกคิ้วขึ้นสูงขณะที่ปล่อยให้หนังสือเดินได้พูดต่อไป

“แล้วการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ครั้งนี้ของฝ่าบาท จะทำให้ฮองเฮาเริ่มรู้ใจตัวเองอย่างแน่นอน”

ถามว่าลี่กุนจวิ้นเฉินไว้ใจชงซานหรือไม่ เขาคงตอบได้ไม่เต็มปาก แต่กับเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น ด้วยระยะเวลาห้าปีที่แต่งงานกันมา เขายังไม่เคยได้แตะต้องนางเลยสักครา แล้วถ้าหากยังยื้อเวลาต่อไปอีก เขากลัวว่าตนเองจะปกป้องนางไม่ได้หากเรื่องร้ายนั้นมาถึง เรื่องที่เขาไม่อาจควบคุม...

ด้วยเหตุนั้น ต่อให้ชงซานไม่น่าเชื่อถือในเรื่องแผนการความรักมากเพียงใด แต่ลี่กุนจวิ้นเฉินก็พร้อมที่จะลองเสี่ยง

“ข้าหวังว่าเจ้าจะคิดถูก เพราะนี่ไม่ใช่แค่เพื่อตัวข้า แต่มันเพื่อตัวนางเองด้วย”

สีหน้าลี่กุนจวิ้นเฉินเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งเครียดในพริบตา ถ้าหากวันที่เรื่องร้ายนั้นมาถึงเข้าจริง ๆ เขาเองก็ไม่อยากฝืนใจช่วยหากนางไม่เต็มใจ เพียงเพราะคำว่ารัก เขาถึงอยากให้เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นได้ทำตามอิสระที่ใจต้องการ และเพื่อเป็นการทดแทนที่ครอบครัวเขาพรากชีวิตอิสระไปจากเด็กสาวคนหนึ่ง

ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะจะปกป้องนางไปได้อีกนานแค่ไหน...

“ฟ้าจะมืดแล้ว ฝ่าบาทจะไปตำหนักฮุ่ยหมิ่นเลยไหมพ่ะย่ะค่ะ”

“อืม...”

ลี่กุนจวิ้นเฉินมองดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าผ่านทางหน้าต่าง เหมือนกับเป็นแสงความหวังสุดท้ายที่เขาจะคว้าเอาไว้ ได้แต่หวังว่าแผนพิชิตใจนางครั้งนี้จะสำเร็จก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

“หยาเอ๋อร์ เหตุใดมื้อเย็นข้าถึงได้มีอาหารเยอะถึงเพียงนี้” เสวี่ยฮองเฮาเอ่ยถาม ขณะที่ออกมาจาห้องนอนในสภาพผมยาวตรงปล่อยสยายกลางหลัง

ยามบ่ายหลังจากที่ฮ่องเต้กลับไป ด้วยความขี้เกียจ เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นจึงเข้าไปนอนกลางวันลากยาวยันฟ้ามืด จนถึงเวลาอาหารหาค่ำ แต่แล้วกลับต้องแปลกใจเมื่อบนโต๊ะมีอาหารจำนวนมากเกินกว่าจำนวนปกติที่นางมักทานอยู่คนเดียว...

“ใครจะมาจะไป ทำไมเจ้าไม่แจ้งข้า” น้ำเสียงหวานนุ่มพูดดุหยาเอ๋อร์ น้ำเสียงไม่พอใจของนางทำเอานางกำนัลตัวน้อยหวั่นใจจนมือสั่นเบา ๆ

“หม่อมฉันนึกว่าฝ่าบาทบอกฮองเฮาแล้วเพคะ...” ถึงจะใจสั่น แต่หยาเอ๋อร์ยังควบคุมอารมณ์ได้ดีขณะตอบเสวี่ยฮองเฮา

“เพิ่งจะรู้ว่าฮองเฮาของเราก็มีมุมดุดันเหมือนกัน”

ทันใดนั้นเสียงทุ้มอันคุ้นเคยที่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นรู้จักเป็นอย่างดีก็เดินเข้ามาด้วยมาดขี้เล่นที่ฉายชัดอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา ประดับด้วยรอยยิ้มมีเสน่ห์ เขายังคงสวมใส่ชุดสีดำตัวเดิม แต่กลับมีบรรยากาศรอบตัวที่เปลี่ยนไป ดูลึกลับน่าค้นหา ซึ่งเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเผลอมองจนลืมตัวไปชั่วขณะ

“เป็นอะไรไป คิดถึงเราจนลืมตัวไปแล้วหรือ”

ฮ่องเต้เดินเข้ามาใกล้ร่างบางในชุดสีครามที่ยังตาค้างด้วยความงุนงง ก่อนจะค่อย ๆ โอบตัวนางแล้วเชยคางขึ้นชื่นชมใบหน้างามด้วยความคุ้นเคย

“ข้า...”

เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นสมองเบลอไปชั่วขณะ ความรู้สึกที่ถูกมือหนาสัมผัสชวนให้รู้สึกสั่นสะท้านไปทั่วทั้งร่างจนสติเริ่มหลุดลอย นางไม่คุ้นชินกับการที่ลี่กุ้นจวิ้นเฉินขึ้นเป็นฝ่ายควบคุม แต่ยามที่อยู่ท่ามกลางสายตาคนอื่นนางจำเป็นต้องทำตาม

“ฝ่าบาทจะมาหาหม่อมฉัน เหตุใดถึงไม่บอกกันก่อน”

ถ้าจำไม่ผิด เขาบอกเองมิใช่หรือว่าคืนนี้ไม่ว่าง ถึงขนาดปฏิเสธแผนการของนางอย่างไม่ไยดี

“ข้าได้ยินมาว่าเจ้ากำลังหลับฝันหวาน เลยไม่อยากจะเข้าไปขัดขวางช่วงเวลาแห่งควมสุข”

“ฝ่าบาทก็พูดเกินไป จะมีช่วงเวลาใดที่ดีไปกว่าการได้อยู่กับฝ่าบาทอีกละเพคะ” เสียงของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นหวานจับใจ ขณะที่องไปยังดวงตาพระจันทร์เสี้ยวด้วยแววตาลึกซึ้ง

ซึ่งลี่กุนจวิ้นเฉินได้แต่ภาวนาให้สิ่งที่สตรีในอ้อมกอดแสดงออกมาในยามนี้เป็นเรื่องจริง

“ปากหวานเสมอ ยอดดวงใจของข้า”

เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นยิ้มค้าง

ยอดดวงใจ? ลี่กุนจวิ้นเฉินไม่เคยใช้คำนี้กับนางมาก่อน ...ไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าใครเป็นคนเป่าหูเขามา

กวงตาคมกล้าดั่งหงส์ของเสวี่ยฮองเฮาเหลือบไปมองซงซานก่อนหันไปหาหยาเอ๋อร์

“หยาเอ๋อร์ บอกให้ทุกคนกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด อีกครึ่งชั่วยามค่อยกลับเข้ามา”

“เพคะ ฮองเฮา”

ถึงจะอยู่ในวังมาทั้งชีวิต คุ้นชินกับการได้รับการปรนนิบัติมาทุกฝีก้าว แต่เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นและลี่กุนจวิ้นเฉินยังคงต้องการช่วงเวลาที่เป็นส่วนตัวอยู่เสมอ เพื่อที่จะได้ถอดหน้ากากฮ่องเต้ฮองเฮาออก แล้วใช้ชีวิตเป็นเพียงแค่บุรุษกับสตรีธรรมดา ที่ไม่ต้องคิดเรื่องการเมืองหรือวังหลังให้ปวดหัว

“หม่อมฉันจำได้ว่าฝ่าบาทมีธุระไม่ใช่หรือเพคะ”

เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นผละสายตาออกจากใบหน้าคมสัน ใบหน้าของนางร้อนผ่าวกะทันหัน จากการถูกลุกล้ำด้วยสายตาอันลึกซึ้งของฮ่องเต้หนุ่ม

บุรุษผู้นี้อยากจะมาก็มา อยากจะไปก็ไป เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นไม่เคยว่าขอแค่ช่วยทำตามคำขอของนางก็เพียงพอ แต่ครั้งนี้เขาปฏิเสธแล้วยังจะมาหานางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้หน้าตาเฉย

“ไยเจ้าต้องพูดจาห่างเหินกับข้าถึงเพียงนั้นด้วยเล่า ฮุ่ยหมิ่น มานี่เถิด มาทานข้าวเป็นเพื่อนข้าหน่อย” ฮ่องเต้หนุ่มว่าพลางพยุงร่างบางไปนั่งที่เก้าอี้อย่างเบามือ

ในวันนี้เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นอาจยังไม่เห็นค่าเขาในสายตา แต่อีกไม่นานนักหรอก นางจะกลายเป็นฝ่ายที่ถามหาเขาก่อน

“ฮุ่ยหมิ่น” น้ำเสียงทุ้มนุ่มลึกเอ่ยเรียกหญิงสาวขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศต้องมนต์

“หืม?” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นตอบกลับเสียงสูง นับเป็นครั้งแรกที่รู้จักลี่กุนจวิ้นเฉินแล้วนางไม่สามารถคาดเดาความคิดของบุรุษตรงหน้าออก

“ข้าเคยบอกเจ้าหรือยัง ว่านางสนมทั่วทั้งวังหลัง ยังไม่มีผู้ใดงดงามเทียบเคียงเจ้าได้เลย”

เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นกระพริบตาปริบ ๆ จนคำพูดไปชั่วขณะ อดคิดไปไม่ได้ว่ามีผีตนไหนแอบเข้ามาสิงร่างฮ่องเต้แคว้นช่างหรือไม่

“ท่านไม่สบายหรือเปล่า ให้ข้าตามหมอหลวงมาดีหรือไม่”

ในฐานะภรรยาที่ด ย่อมเห็นสุขภาพของสามีเป็นเรื่องสำคัญ อาการผิดปกติเล็กน้อยย่อมของลี่กุนจวิ้นเฉิน ย่อมไม่รอดพ้นสายตาของเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นไปได้ ยิ่งอยู่ด้วยกันมานาน ยิ่งมองเห็นได้ชัดเจน

“ข้าสบายดี” ลี่กุนจวิ้นเฉินตอบ ส่วนภายในใจก็คาดโทษชงซานไปเรียบร้อย “ชมเจ้าว่างามมันทำให้ข้าดูตลกหรือไม่”

เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นนิ่งคิด ก่อนจะถอนหายใจ

ชงซาน... เจ้าโง่นั่น

“ใช่ มันทำให้ท่านดูน่าขันยิ่ง” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นตอบออกมาตามตรง “แต่บุรุษรูปงาม ทำสิ่งใดย่อมไม่น่าขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบุรุษที่เป็นถึงฮ่องเต้”

“ประเด็นที่เจ้าจะพูดคืออะไร” ลี่กุนจวิ้นเฉินเลิกคิ้วขึ้นสูงรอฟังประโยคถัดไปจากเสวี่ยฮุ่ยหมิ่น

“ข้าเคยบอกท่านไปแล้ว ข้าน่ะ... ไม่สนใจว่าตนเองจะงดงามหรือไม่ เพราะมนุษย์ทุกคนต่างรู้ดีว่าสักวันความงามย่อมต้องมีการเลือนหายไปตามกาลเวลา ถึงแม้จะมีข้ารับใช้คอยกรอกหูว่าอายุมากแต่ยังสวยไม่สร่าง แต่ภายในใจย่อมรู้ดีว่านั่นเป็นเรื่องโป้ปด การที่ท่านมาชมรูปร่างหน้าตาข้าว่างาม ก็ไม่ต่างจากคำหวานที่พูดออกมาแล้วก็หายไป”

ลี่กุนจวิ้นเฉินยกยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก ขณะที่มองเสวี่ยฮุ่ยหมิ่นด้วยความหลงใหล เขาไม่ได้หลงใหลนางเพราะหน้าตาแต่เป็นเพราะความคิด

หลายปีมานี้เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นไม่สนใจหน้าตาตัวเองมากมายเท่าใดนัก แม้จะพยายามแต่งตัวให้งดงามแต่ก็เพื่อให้เหมาะสมกับตำแหน่ง ทุกครั้งที่มีเครื่องประทินโฉมและของบำรุงผิวพรรณล้ำค่าที่ลี่กุนจวิ้นเฉินมอบให้ นางมักจะไม่เก็บไว้ใช้เอง หากแต่จะส่งมอบมันให้กับเหล่านางสนม แจกจ่ายทุกคนตามที่นางเห็นว่าดี ต่อให้ไม่ใช่หนึ่งในสี่พระชายา เป็นแค่นางกำนัลตัวเล็ก ๆ ถ้านางอยากจะให้สิ่งใด ก็ให้โดยไม่สนใจสายตาผู้ใด

“ที่ข้าจะพูดก็คือ...” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นเว้นวรรค

“คือ?”

“ชงซานเป่าหูอะไรท่านมาอีก”

ลี่กุนจวิ้นเฉินพลันสำลักน้ำชา เมื่อเจอคำถามตรงไปตรงมาจากสตรีข้างกาย

“เจ้าพูดอะไรน่ะ” เขาถามก่อนจะหัวเราะกลบเกลื่อน

“อย่าทำเป็นเฉไฉ ท่านและชงซานชอบคิดอะไรประหลาด ๆ อยู่เสมอ ใช่ว่าข้าจะไม่รู้ เพียงแต่เห็นพวกท่านเป็นผู้ชาย จึงไม่อยากจะยื่นมือเข้าไปเกี่ยวก็เท่านั้น”

“ทำไมเจ้าไม่คิดว่าเป็นข้าเองนี่แหละที่อยากชมเจ้า”

เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นหัวเราะร่าทันทีที่ได้ยินคำพูดของฮ่องเต้หนุ่ม

“ฮ่า ๆ ท่านเนี่ยนะพูดจาหวานเสนาะหูเป็นกับผู้อื่นด้วย จวิ้นเฉิน ข้าอยู่กับท่านมานานแค่ไหนแล้ว นิสัยสุภาพบุรุษพูดแต่เรื่องมีประโยชน์อย่างท่านไม่เคยเสียเวลาพูดจาหยอดสตรีเป็นแน่ นอกเสียจากมีคนข้างกายท่านคอยเป่าหู”

“ชงซานไม่ใช่คนข้างกายข้า” ชายหนุ่มปฏิเสธเสียงแข็ง

“อ่อเหรอ... เช่นนั้นจะเป็นใครไปได้ล่ะ” เสวี่ยฮุ่ยหมิ่นฉีกยิ้มร้าย

ลี่กุนจวิ้นเฉินจ้องมองไปในดวงตาหงส์คู่งามด้วยความเคืองโกรธ มันจริงอย่างที่ชงซานว่าไว้ หากเขายังปล่อยให้นางเป็นฝ่ายควบคุม ต่อให้ตายอีกสิบชาติเขาก็เป็นได้แค่สหายอยู่วันยังค่ำ

“เจ้า... เป็นเจ้าที่อยู่ข้างกายข้า”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด