บทที่ 33 คนขายยาปลอม
ขณะที่หนิงชิงเชวี่ยกำลังกอดแขนของเย่โม่ไว้ การที่ได้ยินเย่โม่เรียกเธอว่า ‘ชิงเชวี่ย’ ทำให้เวลานั้นกระทั่งหนิงชิงเชวี่ยเองยังรู้สึกสงสัยว่าเธอเป็นภรรยาของเย่โม่จริงๆ ทำไมอยู่ๆ เธอถึงรู้สึกแบบนี้ได้กัน?
เธอหวนนึกถึงเหตุการณ์ตอนที่เย่โม่กับเธอสวมชุดนอนเพื่อให้หลี่มู่เหมยถ่ายรูปเอาไว้ ความรู้สึกที่เหมือนกับว่าเธอกำลังอินกับบท พอคิดถึงวันนั้นหนิงชิงเชวี่ยก็รีบดึงมือของเธอออกจากแขนของเย่โม่ ใจของเธอเต้นระรัว หนิงชิงเชวี่ยได้ค้นพบว่าทุกครั้งที่ได้สัมผัสกับร่างกายของเย่โม่นั้น เธอจะไม่อาจรักษาท่าทีเฉยชาตามปกติที่เธอแสดงออกมาภายนอกได้เลย แถมเธอยังชอบความรู้สึกแบบนี้เสียด้วย
ราวกับในตัวของเย่โม่นั้นมีบางอย่างที่เธอกำลังตามหาอยู่ คล้ายกับเป็นความสงบสุขและความโหยหาที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ แต่ในเวลาเดียวกันก็คล้ายจะเป็นเพียงภาพลวงตา คอยดึงดูดให้เธอกลายเป็นเพียงแมลงเม่าที่บินเข้ากองไฟ เธอได้แต่คอยเฝ้าเตือนตัวเองเอาไว้ ว่าเย่โม่แท้จริงแล้วเป็นคนยังไง
โจวเล่ยมองท่าทีของเย่โม่ที่ดูผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ ทั้งยังมีท่าทางราวกับนกตัวน้อยๆ ของหนิงชิงเชวี่ยอีก ซ้ำใบหน้าของหนิงชิงเชวี่ยยังออกเป็นสีแดงจางๆ ด้วยความเขินอายอีก จนเธออดไม่ได้ที่จะเกิดความสงสัยเพิ่มมากขึ้น หรือว่าหนิงชิงเชวียจะรักชอบเย่โม่จริงๆ ถึงได้แต่งงานกัน ไม่ใช่เพราะสาเหตุอื่น?
“ไปกันเถอะ” เย่โม่รีบพูดขึ้นเมื่อเห็นโจวเล่ยยังคงครุ่นคิดอยู่ กับผู้หญิงที่ชอบขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวของคนอื่นแล้วเอาไปเผยแพร่ เย่โม่ไม่มีความรู้สึกดีๆ ต่อคนแบบนี้เลย
ทั้ง 3 คนต่างคิดเรื่องของตัวเองขณะเดินออกมาจากสวน ไม่ไกลจากที่พักนักมีร้านอาหารที่ค่อนข้างใหญ่โตอยู่ร้านหนึ่ง ชื่อว่า ‘กระยาหารเลิศรส’ ทั้งยังเป็นร้านอาหารมิชเชอลินสตาร์อีกด้วย หนิงชิงเชวี่ยไม่อยากเดินไปไกลนัก จึงชี้ไปที่ร้านนี้แล้วพูดกับเย่โม่ “เย่โม่...ฉันว่า ‘กระยาหารเลิศรส’ ร้านนี้ไม่เลวเลย พวกเรากินที่นี่กันเถอะ”
“ไม่ดี อาหารที่นี่ราคาแพง...” เย่โม่ยังพูดไม่ทันจบหนิงชิงเชวี่ยก็โกรธขึ้นมา
“เย่โม่! นายเหลือเงินไว้ทำไมเยอะแยะ? ถ้ากินร้านนี้อย่างมากก็ไม่กี่พันหยวนเท่านั้น แถมบัตรใบนั้น...” หนิงชิงเชวี่ยไม่ใช่คนรักชื่อเสียง แต่ในเมื่อเย่โม่มีเงินเหลือถึงห้าแสนหยวน จะพาเพื่อนของเธอไปร้านอาหารยังจะมางกแบบนี้อีก ถึงแม้เธอจะไม่สนิทกับโจวเล่ยมากนัก แต่ยังไงก็เป็นเพื่อนสมัยเรียนคนหนึ่ง แถมตัวเธอเองก็เป็นคนตระกูลหนิง เย่โม่จะทำให้เธออับอายเกินไปแล้ว
โจวเล่ยมองเย่โม่ด้วยอาการประหลาดใจ เธอเองก็เพิ่งจะเคยเห็นคนขี้งกกับแค่อาหารมื้อเดียวขนาดนี้ ทั้งยังเป็นต่อหน้าเพื่อนของภรรยาตัวเองแบบนี้ด้วย แต่ความสนิทสนมที่หนิงชิงเชวี่ยมีต่อเย่โม่ก็ดูจะไม่ใช่การแกล้งทำเช่นกัน
เมื่อเห็นหนิงชิงเชวี่ยทำท่าจะพูดอะไรต่อ ถึงแม้เย่โม่จะรู้สึกโกรธมาก แต่ถึงยังไงเขาก็ไม่ใช่คนจิตใจแคบ เขารู้ว่าถ้าแสดงท่าทีโกรธเคืองออกไปตอนนี้ คาดว่าการแสดงละครของเขาและหนิงชิงเชวี่ยคงต้องสูญเปล่าแน่นอน รวมถึงอีกไม่นานเขาก็จะออกจากหนิงไห่แล้ว คงไม่จำเป็นต้องโต้เถียงกับผู้หญิงแค่คนเดียว
คิดถึงตรงนี้เย่โม่จึงรีบพูดขึ้น “ช่างเถอะ… เอาตามที่เธอว่าก็ได้ วันนี้กินที่นี่ก็แล้วกัน” ถึงปากจะพูดแบบนี้แต่ในใจกลับรู้สึกเสียดายอยู่ไม่น้อย ตอนนี้เงินในกระเป๋าของเขามีแค่สามพันกว่าๆ เท่านั้น ซึ่งเงินเหล่านี้ก็ได้มาจากการขายเลือดนั่นเอง แม้ว่าเลือดพวกนั้นหากเขาไม่ขายออกไปก็มีแต่เสียเปล่าก็ตาม แต่การเอาเงินที่ได้จากการขายเลือดของเขามาเลี้ยงหญิงสาวที่เขาไม่ชอบมากนักแบบนี้ แน่นอนว่าเขาต้องรู้สึกไม่พอใจ
เย่โม่ได้ตัดสินใจแล้ว หลังจากนี้อีกไม่กี่วันเขาจะรีบออกจากหนิงไห่ทันที ส่วนเรื่องของหนิงชิงเชวี่ยเขาช่วยมามากพอแล้ว เขาคิดจะหาที่สงบๆ เพื่อปลูก ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ ตอนนี้เขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วว่าคนที่ไม่มีอำนาจหนุนหลังเช่นเขา หากยังไม่มีพลังเพียงพอล่ะก็ คงเป็นได้เพียงปลาบนเขียงรอให้คนอื่นเชือดกินเท่านั้น
อาหารมื้อนี้ผ่านไปอย่างชื่นมื่น ถึงแม้โจวเล่ยจะไม่ได้สิ่งที่เธอต้องการ แต่เธอก็มองออกว่าเย่โม่และหนิงชิงเชวี่ยมีมุมมองการใช้จ่ายที่ไม่เหมือนกัน ดูจากความงกเงินของเย่โม่แล้ว เธอก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้นไปอีกว่าเย่โม่ใช้ชีวิตอยู่กับหนิงชิงเชวี่ยจริงๆ และจากการที่เย่โม่จ่ายบิลด้วยเงินสดแทนที่จะรูดบัตร ก็ทำให้โจวเล่ยรู้ว่าเย่โม่ดูเหมือนจะไม่ร่ำรวยนัก
แต่คนที่ไม่มีความสุขเลยก็คือเย่โม่ อาหารมื้อนี้ทำให้เขาต้องเสียเงินไปถึงสามพันหยวน แม้แต่เหรียญเล็กเหรียญน้อยเขาก็ควักออกมาจนหมด ถ้าไม่ใช่เพราะว่าหนิงชิงเชวี่ยจงใจสั่งไวน์แดงขวดละสองพันหยวนนั่นมาล่ะก็ อาหารมื้อนี้ก็คงไม่แพงขนาดนี้ ถึงไวน์แดงขวดนั้นเขาเองจะดื่มด้วยก็ตาม แต่เขาก็ยังไม่พอใจอยู่ดี
เย่โม่รู้ดีว่าหนิงชิงเชวี่ยจงใจทำแบบนั้น ให้บัตรที่ถูกระงับมาแล้วยังทำตัวหยิ่งยโสแบบนี้ เขาเกือบจะโยนบัตรใบนั้นให้เธอไปถอนเงินเอาเองด้วยซ้ำ ช่างเถอะ...เพราะแบบนี้คนเขาถึงพูดกันว่าคนที่น่าสงสารก็มักจะน่ารังเกียจในเวลาเดียวกัน ไม่ใช่ว่าตัวหนิงชิงเชวี่ยเองก็เป็นแบบนี้หรือไง?
หลังกินข้าวกันเสร็จโจวเล่ยก็ไม่รั้งอยู่ต่อ เธอเลือกบอกลาพวกเขาทั้งสองก่อน บางทีอาจเป็นเพราะเธอเห็นเย่โม่ใช้เศษเงินห้าหยวนสิบหยวนในการจ่าย หรือนี่จะเป็นการแสดงให้เธอเห็นว่าเขาไม่ค่อยมีเงินงั้นหรือ?
ขากลับทั้งหนิงชิงเชวี่ยและเย่โม่ก็ไม่ได้ทำตัวสนิทสนมกันเหมือนตอนขามา หนิงชิงเชวี่ยไม่อยากจะสนใจเย่โม่ด้วยซ้ำ เธอรู้สึกว่าวันนี้เย่โม่ทำให้เธอเสียหน้า ถึงแม้เธอจะไม่ได้ใส่ใจเรื่องแบบนี้มาก แต่ในเมื่อเขามีบัตรของเธอใบนั้นแต่ไม่ใช้ กลับหยิบเศษเงินขึ้นมาจ่ายแทน แม้ว่าไวน์แดงขวดนั้นเธอจะจงใจสั่งมาเอง แต่สุดท้ายเขาก็ดื่มเองจนหมดไม่ใช่หรือไง
เย่โม่ก็ไม่อยากจะพูดกับหนิงชิงเชวี่ยเช่นกัน เงินเขาหายไปกว่าสามพันหยวน ตอนนี้เงินในกระเป๋าของเขามีแค่ยี่สิบกว่าหยวนเท่านั้น
วันถัดมา หากเย่โม่ไม่หางานทำล่ะก็ เงินจะซื้อข้าวกินก็คงไม่มีแล้ว บางทีเขาคงจะต้องไปขายเลือดจริงๆ แต่การขายเลือดเพื่อหาเงินกินข้าวก็ดูจะไม่เหมาะสมอยู่บ้าง ชีวิตเขายังไม่น่าอนาถขนาดนั้น ถึงแม้เลือดของเขาจะขายได้ราคาเดียวกับคนอื่นๆ แต่เย่โม่รู้ดีว่าเลือดของเขาคุณภาพดีกว่าคนอื่นแน่นอน ดังนั้นเมื่อได้ราคานี้เย่โม่จึงรู้สึกขาดทุนเป็นอย่างมาก
หนิงชิงเชวี่ยรู้สึกถึงเรื่องนี้ได้ชัดเจนที่สุด เพราะยิ่งนานวันอาหารที่เย่โม่ทำให้ก็ยิ่งธรรมดามากขึ้น ถึงแม้เธอจะไม่ได้พิถีพิถันเรื่องอาหารการกินมากนัก แต่เธอก็ยังรู้สึกดูถูกเหยียดหยามความงกของเย่โม่อยู่ดี
คืนนั้นเอง เย่โม่สะพายกระเป๋าพยาบาลออกไปข้างนอก เขาไม่คิดเลยว่าการที่หนิงชิงเชวี่ยมาพักกับเขาแบบนี้จะทำให้เขาต้องไปตั้งแผงลอยกลางคืนก่อนเวลาที่กำหนดไว้ เดิมทีเย่โม่คิดเอาไว้ว่าหลังจากช่วยชายแก่คนนั้นจากพิษของ ‘ถ่านหินม่วง’ เขาจะไม่ต้องมาตั้งแผงแบบนี้อีก คิดไม่ถึงว่าท้ายที่สุดแล้วเขาต้องมาที่ถนนเส้นนี้อีกจนได้
แต่เย่โม่ก็ต้องผิดหวัง เขาตั้งแผงลอยที่ถนนคนเดินอันพลุกพล่านในเขตชิงตู้แห่งนี้มากว่า 2 วันแล้ว เขายังไม่ได้ลูกค้าแม้แต่คนเดียว กระทั่งโดนตำรวจไล่มาแล้วครั้งหนึ่ง เรื่องนี้ทำให้เขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ช่วงนี้เย่โม่ไม่ค่อยได้ไปมหาวิทยาลัยหนิงไห่แล้ว เหตุผลแรกคือไม่อยากไปเจอหยุนปิง ส่วนอีกเหตุผลก็คือที่นั่นไม่มีอะไรที่เขาอยากเรียนรู้อีกแล้ว เดิมทีเขาคิดจะเอายาที่ปรุงไว้ไปให้ชือซิว แต่ชือซิวกลับขอลาหยุดไป 1 สัปดาห์เพราะเรื่องทางบ้านเสียนี่
ถึงแม้ 2-3 วันที่ผ่านมานี้หนิงชิงเชวี่ยจะไม่ได้พูดคุยกับเย่โม่เลย แต่การกระทำของเย่โม่ก็ยังอยู่ในสายตาของเธออยู่ดี ‘หนิงจงเฟย’ พ่อของเธอโทรมาบอกว่าให้เธอเลิกกังวลใจได้เลย ถึงแม้ว่าเขาจะต้องถูกขับออกจากตระกูลก็ตาม เขาจะไม่ขายลูกสาวตัวเองอย่างแน่นอน โดยเฉพาะเมื่อเป็นไอ้ปีศาจตระกูลซ่งคนนั้น
คำพูดของพ่อทำให้หนิงชิงเชวี่ยสบายใจไม่น้อย อีกอย่างพ่อและแม่ของเธอก็รีบไปปักกิ่งเพื่อพูดคุยกับตระกูลหนิงแล้ว ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นแบบไหน มะรืนนี้พวกท่านก็จะมาหาเธอที่หนิงไห่นี้แล้ว
หนิงชิงเชวี่ยมองหม้อและเตาต้มยาที่โย่โม่ทิ้งไว้ ความดูถูกที่เธอมีต่อเย่โม่ก็จางลงไปบ้าง เขาและเธอจะมาเกี่ยวข้องอะไรกันได้อีก? เรื่องนี้เดิมทีก็เป็นเพียงการตกลงทางธุรกิจเท่านั้น เธอเองก็ให้เขาไปแล้วห้าแสนหยวน เงินเหล่านั้นเป็นของเขา จะใช้หรือไม่ใช้ก็เป็นเรื่องของเขา เธอจะไปผิดหวังกับคนแบบนี้ทำไมกัน?
พอหนิงชิงเชวี่ยคิดเรื่องนี้ตกแล้ว ใจของเธอก็เหมือนจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง ถึงเขาจะขี้งกเอามากๆ แต่เขาก็จะซื้ออาหารกลับมาทำให้เธอทุกๆ วันไม่ใช่หรือ?
ตอนนี้เย่โม่สะพายกระเป๋าพยาบาลออกไปข้างนอกแล้ว ซู่เวยเองก็ยังไม่กลับมา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าเย่โม่กับซู่เวยอยู่ด้วยกันหรือเปล่าหนิงชิงเชวี่ยจึงไม่กล้าไปพบหน้าซู่เวย เธอรู้สึกไม่แน่ใจในความรู้สึกของตัวเอง หรืออาจเพราะว่าเธอพยายามหลีกเลี่ยงความรู้สึกอึดอัดเวลาเจอซู่เวยก็เป็นได้
ไม่ว่าจะเป็นความจริงหรือเรื่องหลอกลวง ถึงยังไงตอนนี้เธอกับเย่โม่ก็ยังถือว่าเป็นสามีภรรยากัน การที่สามีไปนอนกับผู้หญิงห้องข้างๆ แบบนี้ ถึงแม้จะเป็นการแต่งงานหลอกๆ แต่เธอก็ยังไม่อยากเจอซู่เวยอยู่ดี
เมื่อคิดว่ามะรืนนี้ก็จะต้องไปจากที่นี่ ทั้งชีวิตก็คงไม่ได้กลับมาที่นี่อีกแล้ว ความโศกเศร้าที่ไม่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นลางๆ ในใจของเธอ หนิงชิงเชวี่ยเข้าใจว่าความรู้สึกนี้ไม่ได้เกิดเพราะเย่โม่แต่เป็นเพราะเรื่องอื่น
นี่เป็นครั้งแรกที่หนิงชิงเชวี่ยเดินออกจากสวน อาจเพราะเธออยากจะมองให้ชัดว่าที่ๆ เธออยู่อาศัยมา 20 กว่าวันมีหน้าตาเป็นยังไงกันแน่
ถนนหมิงตู้อาจเรียกได้ว่าเป็นสถานที่ๆ คึกคักที่สุดของเขตหนิงตู้แล้ว หนิงชิงเชวี่ยเดินมาถึงที่แห่งนี้โดยไม่รู้ตัว ที่แห่งนี้ประดับด้วยโคมไฟแดงเขียวดูคึกคัก ของกินและอุปกรณ์ต่างๆ ล้วนมีวางขาย อีกทั้งข้างถนนยังมีแผงลอยเล็กๆ ตั้งขายอยู่มากมาย
แผงลอยแห่งหนึ่งวางขายเค้กอบสีทองที่แผ่ไอร้อนออกมาดึงดูดผู้คน หนิงชิงเชวี่ยที่ไม่เคยกินขนมข้างทางแบบนี้ไม่อาจทนต่อแรงดึงดูดได้ เธอจ่ายไปสองหยวนเพื่อซื้อเค้กชิ้นนี้ เธอกัดไปคำหนึ่ง ทั้งเหนียวและนุ่ม เป็นความรู้สึกที่ไม่เลวจริงๆ
“เร่เข้ามา! เร่เข้ามา! มาดูสูตรยาที่สืบทอดจากบรรพบุรุษ รักษาได้สารพัดโรค ปวดหัวตัวร้อน แผลภายในภายนอก ไขข้อเสื่อมสายตาสั้น...มีอาการที่พวกคุณจินตนาการไม่ออก แต่ไม่มีโรคไหนที่ผมรักษาไม่ได้...” เสียงตะโกนนี้ทำให้หนิงชิงเชวี่ยเกือบหัวเราะออกมา จากน้ำเสียงของเขาแล้ว ดูท่าโรคอะไรก็คงรักษาได้จริงๆ นั่นแหละ
หนิงชิงเชวี่ยหันไปมองคนที่ตะโกนขายยาปลอมคนนี้โดยไม่ตั้งใจ แต่แล้วเธอก็ต้องตกตะลึง นี่มันเย่โม่ไม่ใช่หรือ? ถึงเขาจะใส่แว่นดำและสวมหมวกแก๊ปแต่เธอมองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นเขา อีกทั้งข้างกายของเย่โม่ก็ยังมีกระเป๋าพยาบาลอันเป็นสัญลักษณ์ของเขาใบนั้นอีก ทีแรกเธอไม่รู้ว่าในนั้นมีอะไรอยู่ แต่มาตอนนี้เธอรู้แล้ว มันคือกระเป๋ายานี่เอง
..........