ตอนที่แล้วบทที่ 32 ความอับอายของหยุนปิง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 34 คุณชายตระกูลซ่ง

บทที่ 33 คนขายยาปลอม


ขณะที่หนิงชิงเชวี่ยกำลังกอดแขนของเย่โม่ไว้  การที่ได้ยินเย่โม่เรียกเธอว่า ‘ชิงเชวี่ย’ ทำให้เวลานั้นกระทั่งหนิงชิงเชวี่ยเองยังรู้สึกสงสัยว่าเธอเป็นภรรยาของเย่โม่จริงๆ  ทำไมอยู่ๆ  เธอถึงรู้สึกแบบนี้ได้กัน?

เธอหวนนึกถึงเหตุการณ์ตอนที่เย่โม่กับเธอสวมชุดนอนเพื่อให้หลี่มู่เหมยถ่ายรูปเอาไว้  ความรู้สึกที่เหมือนกับว่าเธอกำลังอินกับบท  พอคิดถึงวันนั้นหนิงชิงเชวี่ยก็รีบดึงมือของเธอออกจากแขนของเย่โม่  ใจของเธอเต้นระรัว หนิงชิงเชวี่ยได้ค้นพบว่าทุกครั้งที่ได้สัมผัสกับร่างกายของเย่โม่นั้น  เธอจะไม่อาจรักษาท่าทีเฉยชาตามปกติที่เธอแสดงออกมาภายนอกได้เลย  แถมเธอยังชอบความรู้สึกแบบนี้เสียด้วย

ราวกับในตัวของเย่โม่นั้นมีบางอย่างที่เธอกำลังตามหาอยู่  คล้ายกับเป็นความสงบสุขและความโหยหาที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้  แต่ในเวลาเดียวกันก็คล้ายจะเป็นเพียงภาพลวงตา  คอยดึงดูดให้เธอกลายเป็นเพียงแมลงเม่าที่บินเข้ากองไฟ  เธอได้แต่คอยเฝ้าเตือนตัวเองเอาไว้  ว่าเย่โม่แท้จริงแล้วเป็นคนยังไง

โจวเล่ยมองท่าทีของเย่โม่ที่ดูผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ  ทั้งยังมีท่าทางราวกับนกตัวน้อยๆ ของหนิงชิงเชวี่ยอีก  ซ้ำใบหน้าของหนิงชิงเชวี่ยยังออกเป็นสีแดงจางๆ ด้วยความเขินอายอีก  จนเธออดไม่ได้ที่จะเกิดความสงสัยเพิ่มมากขึ้น  หรือว่าหนิงชิงเชวียจะรักชอบเย่โม่จริงๆ ถึงได้แต่งงานกัน  ไม่ใช่เพราะสาเหตุอื่น?

“ไปกันเถอะ”  เย่โม่รีบพูดขึ้นเมื่อเห็นโจวเล่ยยังคงครุ่นคิดอยู่  กับผู้หญิงที่ชอบขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวของคนอื่นแล้วเอาไปเผยแพร่  เย่โม่ไม่มีความรู้สึกดีๆ ต่อคนแบบนี้เลย

ทั้ง 3 คนต่างคิดเรื่องของตัวเองขณะเดินออกมาจากสวน  ไม่ไกลจากที่พักนักมีร้านอาหารที่ค่อนข้างใหญ่โตอยู่ร้านหนึ่ง  ชื่อว่า ‘กระยาหารเลิศรส’ ทั้งยังเป็นร้านอาหารมิชเชอลินสตาร์อีกด้วย  หนิงชิงเชวี่ยไม่อยากเดินไปไกลนัก  จึงชี้ไปที่ร้านนี้แล้วพูดกับเย่โม่  “เย่โม่...ฉันว่า ‘กระยาหารเลิศรส’ ร้านนี้ไม่เลวเลย  พวกเรากินที่นี่กันเถอะ”

“ไม่ดี  อาหารที่นี่ราคาแพง...”  เย่โม่ยังพูดไม่ทันจบหนิงชิงเชวี่ยก็โกรธขึ้นมา

“เย่โม่!  นายเหลือเงินไว้ทำไมเยอะแยะ?  ถ้ากินร้านนี้อย่างมากก็ไม่กี่พันหยวนเท่านั้น  แถมบัตรใบนั้น...”  หนิงชิงเชวี่ยไม่ใช่คนรักชื่อเสียง  แต่ในเมื่อเย่โม่มีเงินเหลือถึงห้าแสนหยวน  จะพาเพื่อนของเธอไปร้านอาหารยังจะมางกแบบนี้อีก  ถึงแม้เธอจะไม่สนิทกับโจวเล่ยมากนัก  แต่ยังไงก็เป็นเพื่อนสมัยเรียนคนหนึ่ง  แถมตัวเธอเองก็เป็นคนตระกูลหนิง  เย่โม่จะทำให้เธออับอายเกินไปแล้ว

โจวเล่ยมองเย่โม่ด้วยอาการประหลาดใจ  เธอเองก็เพิ่งจะเคยเห็นคนขี้งกกับแค่อาหารมื้อเดียวขนาดนี้   ทั้งยังเป็นต่อหน้าเพื่อนของภรรยาตัวเองแบบนี้ด้วย  แต่ความสนิทสนมที่หนิงชิงเชวี่ยมีต่อเย่โม่ก็ดูจะไม่ใช่การแกล้งทำเช่นกัน

เมื่อเห็นหนิงชิงเชวี่ยทำท่าจะพูดอะไรต่อ  ถึงแม้เย่โม่จะรู้สึกโกรธมาก  แต่ถึงยังไงเขาก็ไม่ใช่คนจิตใจแคบ  เขารู้ว่าถ้าแสดงท่าทีโกรธเคืองออกไปตอนนี้  คาดว่าการแสดงละครของเขาและหนิงชิงเชวี่ยคงต้องสูญเปล่าแน่นอน  รวมถึงอีกไม่นานเขาก็จะออกจากหนิงไห่แล้ว  คงไม่จำเป็นต้องโต้เถียงกับผู้หญิงแค่คนเดียว

คิดถึงตรงนี้เย่โม่จึงรีบพูดขึ้น  “ช่างเถอะ… เอาตามที่เธอว่าก็ได้  วันนี้กินที่นี่ก็แล้วกัน”  ถึงปากจะพูดแบบนี้แต่ในใจกลับรู้สึกเสียดายอยู่ไม่น้อย  ตอนนี้เงินในกระเป๋าของเขามีแค่สามพันกว่าๆ เท่านั้น  ซึ่งเงินเหล่านี้ก็ได้มาจากการขายเลือดนั่นเอง  แม้ว่าเลือดพวกนั้นหากเขาไม่ขายออกไปก็มีแต่เสียเปล่าก็ตาม  แต่การเอาเงินที่ได้จากการขายเลือดของเขามาเลี้ยงหญิงสาวที่เขาไม่ชอบมากนักแบบนี้  แน่นอนว่าเขาต้องรู้สึกไม่พอใจ

เย่โม่ได้ตัดสินใจแล้ว  หลังจากนี้อีกไม่กี่วันเขาจะรีบออกจากหนิงไห่ทันที  ส่วนเรื่องของหนิงชิงเชวี่ยเขาช่วยมามากพอแล้ว  เขาคิดจะหาที่สงบๆ เพื่อปลูก ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ ตอนนี้เขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วว่าคนที่ไม่มีอำนาจหนุนหลังเช่นเขา  หากยังไม่มีพลังเพียงพอล่ะก็ คงเป็นได้เพียงปลาบนเขียงรอให้คนอื่นเชือดกินเท่านั้น

อาหารมื้อนี้ผ่านไปอย่างชื่นมื่น  ถึงแม้โจวเล่ยจะไม่ได้สิ่งที่เธอต้องการ  แต่เธอก็มองออกว่าเย่โม่และหนิงชิงเชวี่ยมีมุมมองการใช้จ่ายที่ไม่เหมือนกัน  ดูจากความงกเงินของเย่โม่แล้ว  เธอก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้นไปอีกว่าเย่โม่ใช้ชีวิตอยู่กับหนิงชิงเชวี่ยจริงๆ  และจากการที่เย่โม่จ่ายบิลด้วยเงินสดแทนที่จะรูดบัตร  ก็ทำให้โจวเล่ยรู้ว่าเย่โม่ดูเหมือนจะไม่ร่ำรวยนัก

แต่คนที่ไม่มีความสุขเลยก็คือเย่โม่  อาหารมื้อนี้ทำให้เขาต้องเสียเงินไปถึงสามพันหยวน  แม้แต่เหรียญเล็กเหรียญน้อยเขาก็ควักออกมาจนหมด  ถ้าไม่ใช่เพราะว่าหนิงชิงเชวี่ยจงใจสั่งไวน์แดงขวดละสองพันหยวนนั่นมาล่ะก็  อาหารมื้อนี้ก็คงไม่แพงขนาดนี้  ถึงไวน์แดงขวดนั้นเขาเองจะดื่มด้วยก็ตาม  แต่เขาก็ยังไม่พอใจอยู่ดี

เย่โม่รู้ดีว่าหนิงชิงเชวี่ยจงใจทำแบบนั้น  ให้บัตรที่ถูกระงับมาแล้วยังทำตัวหยิ่งยโสแบบนี้  เขาเกือบจะโยนบัตรใบนั้นให้เธอไปถอนเงินเอาเองด้วยซ้ำ  ช่างเถอะ...เพราะแบบนี้คนเขาถึงพูดกันว่าคนที่น่าสงสารก็มักจะน่ารังเกียจในเวลาเดียวกัน  ไม่ใช่ว่าตัวหนิงชิงเชวี่ยเองก็เป็นแบบนี้หรือไง?

หลังกินข้าวกันเสร็จโจวเล่ยก็ไม่รั้งอยู่ต่อ  เธอเลือกบอกลาพวกเขาทั้งสองก่อน  บางทีอาจเป็นเพราะเธอเห็นเย่โม่ใช้เศษเงินห้าหยวนสิบหยวนในการจ่าย  หรือนี่จะเป็นการแสดงให้เธอเห็นว่าเขาไม่ค่อยมีเงินงั้นหรือ?

ขากลับทั้งหนิงชิงเชวี่ยและเย่โม่ก็ไม่ได้ทำตัวสนิทสนมกันเหมือนตอนขามา  หนิงชิงเชวี่ยไม่อยากจะสนใจเย่โม่ด้วยซ้ำ  เธอรู้สึกว่าวันนี้เย่โม่ทำให้เธอเสียหน้า  ถึงแม้เธอจะไม่ได้ใส่ใจเรื่องแบบนี้มาก  แต่ในเมื่อเขามีบัตรของเธอใบนั้นแต่ไม่ใช้  กลับหยิบเศษเงินขึ้นมาจ่ายแทน  แม้ว่าไวน์แดงขวดนั้นเธอจะจงใจสั่งมาเอง  แต่สุดท้ายเขาก็ดื่มเองจนหมดไม่ใช่หรือไง

เย่โม่ก็ไม่อยากจะพูดกับหนิงชิงเชวี่ยเช่นกัน  เงินเขาหายไปกว่าสามพันหยวน  ตอนนี้เงินในกระเป๋าของเขามีแค่ยี่สิบกว่าหยวนเท่านั้น

วันถัดมา  หากเย่โม่ไม่หางานทำล่ะก็  เงินจะซื้อข้าวกินก็คงไม่มีแล้ว  บางทีเขาคงจะต้องไปขายเลือดจริงๆ  แต่การขายเลือดเพื่อหาเงินกินข้าวก็ดูจะไม่เหมาะสมอยู่บ้าง  ชีวิตเขายังไม่น่าอนาถขนาดนั้น  ถึงแม้เลือดของเขาจะขายได้ราคาเดียวกับคนอื่นๆ  แต่เย่โม่รู้ดีว่าเลือดของเขาคุณภาพดีกว่าคนอื่นแน่นอน  ดังนั้นเมื่อได้ราคานี้เย่โม่จึงรู้สึกขาดทุนเป็นอย่างมาก

หนิงชิงเชวี่ยรู้สึกถึงเรื่องนี้ได้ชัดเจนที่สุด  เพราะยิ่งนานวันอาหารที่เย่โม่ทำให้ก็ยิ่งธรรมดามากขึ้น   ถึงแม้เธอจะไม่ได้พิถีพิถันเรื่องอาหารการกินมากนัก  แต่เธอก็ยังรู้สึกดูถูกเหยียดหยามความงกของเย่โม่อยู่ดี

คืนนั้นเอง  เย่โม่สะพายกระเป๋าพยาบาลออกไปข้างนอก  เขาไม่คิดเลยว่าการที่หนิงชิงเชวี่ยมาพักกับเขาแบบนี้จะทำให้เขาต้องไปตั้งแผงลอยกลางคืนก่อนเวลาที่กำหนดไว้  เดิมทีเย่โม่คิดเอาไว้ว่าหลังจากช่วยชายแก่คนนั้นจากพิษของ ‘ถ่านหินม่วง’ เขาจะไม่ต้องมาตั้งแผงแบบนี้อีก  คิดไม่ถึงว่าท้ายที่สุดแล้วเขาต้องมาที่ถนนเส้นนี้อีกจนได้

แต่เย่โม่ก็ต้องผิดหวัง  เขาตั้งแผงลอยที่ถนนคนเดินอันพลุกพล่านในเขตชิงตู้แห่งนี้มากว่า 2 วันแล้ว   เขายังไม่ได้ลูกค้าแม้แต่คนเดียว  กระทั่งโดนตำรวจไล่มาแล้วครั้งหนึ่ง  เรื่องนี้ทำให้เขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก

ช่วงนี้เย่โม่ไม่ค่อยได้ไปมหาวิทยาลัยหนิงไห่แล้ว  เหตุผลแรกคือไม่อยากไปเจอหยุนปิง  ส่วนอีกเหตุผลก็คือที่นั่นไม่มีอะไรที่เขาอยากเรียนรู้อีกแล้ว  เดิมทีเขาคิดจะเอายาที่ปรุงไว้ไปให้ชือซิว  แต่ชือซิวกลับขอลาหยุดไป 1 สัปดาห์เพราะเรื่องทางบ้านเสียนี่

ถึงแม้ 2-3 วันที่ผ่านมานี้หนิงชิงเชวี่ยจะไม่ได้พูดคุยกับเย่โม่เลย  แต่การกระทำของเย่โม่ก็ยังอยู่ในสายตาของเธออยู่ดี  ‘หนิงจงเฟย’ พ่อของเธอโทรมาบอกว่าให้เธอเลิกกังวลใจได้เลย  ถึงแม้ว่าเขาจะต้องถูกขับออกจากตระกูลก็ตาม  เขาจะไม่ขายลูกสาวตัวเองอย่างแน่นอน  โดยเฉพาะเมื่อเป็นไอ้ปีศาจตระกูลซ่งคนนั้น

คำพูดของพ่อทำให้หนิงชิงเชวี่ยสบายใจไม่น้อย  อีกอย่างพ่อและแม่ของเธอก็รีบไปปักกิ่งเพื่อพูดคุยกับตระกูลหนิงแล้ว  ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นแบบไหน  มะรืนนี้พวกท่านก็จะมาหาเธอที่หนิงไห่นี้แล้ว

หนิงชิงเชวี่ยมองหม้อและเตาต้มยาที่โย่โม่ทิ้งไว้  ความดูถูกที่เธอมีต่อเย่โม่ก็จางลงไปบ้าง  เขาและเธอจะมาเกี่ยวข้องอะไรกันได้อีก?  เรื่องนี้เดิมทีก็เป็นเพียงการตกลงทางธุรกิจเท่านั้น  เธอเองก็ให้เขาไปแล้วห้าแสนหยวน  เงินเหล่านั้นเป็นของเขา  จะใช้หรือไม่ใช้ก็เป็นเรื่องของเขา  เธอจะไปผิดหวังกับคนแบบนี้ทำไมกัน?

พอหนิงชิงเชวี่ยคิดเรื่องนี้ตกแล้ว  ใจของเธอก็เหมือนจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง  ถึงเขาจะขี้งกเอามากๆ  แต่เขาก็จะซื้ออาหารกลับมาทำให้เธอทุกๆ วันไม่ใช่หรือ?

ตอนนี้เย่โม่สะพายกระเป๋าพยาบาลออกไปข้างนอกแล้ว  ซู่เวยเองก็ยังไม่กลับมา  ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าเย่โม่กับซู่เวยอยู่ด้วยกันหรือเปล่าหนิงชิงเชวี่ยจึงไม่กล้าไปพบหน้าซู่เวย  เธอรู้สึกไม่แน่ใจในความรู้สึกของตัวเอง  หรืออาจเพราะว่าเธอพยายามหลีกเลี่ยงความรู้สึกอึดอัดเวลาเจอซู่เวยก็เป็นได้

ไม่ว่าจะเป็นความจริงหรือเรื่องหลอกลวง  ถึงยังไงตอนนี้เธอกับเย่โม่ก็ยังถือว่าเป็นสามีภรรยากัน   การที่สามีไปนอนกับผู้หญิงห้องข้างๆ แบบนี้  ถึงแม้จะเป็นการแต่งงานหลอกๆ แต่เธอก็ยังไม่อยากเจอซู่เวยอยู่ดี

เมื่อคิดว่ามะรืนนี้ก็จะต้องไปจากที่นี่  ทั้งชีวิตก็คงไม่ได้กลับมาที่นี่อีกแล้ว  ความโศกเศร้าที่ไม่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นลางๆ ในใจของเธอ  หนิงชิงเชวี่ยเข้าใจว่าความรู้สึกนี้ไม่ได้เกิดเพราะเย่โม่แต่เป็นเพราะเรื่องอื่น

นี่เป็นครั้งแรกที่หนิงชิงเชวี่ยเดินออกจากสวน  อาจเพราะเธออยากจะมองให้ชัดว่าที่ๆ เธออยู่อาศัยมา 20 กว่าวันมีหน้าตาเป็นยังไงกันแน่

ถนนหมิงตู้อาจเรียกได้ว่าเป็นสถานที่ๆ คึกคักที่สุดของเขตหนิงตู้แล้ว  หนิงชิงเชวี่ยเดินมาถึงที่แห่งนี้โดยไม่รู้ตัว  ที่แห่งนี้ประดับด้วยโคมไฟแดงเขียวดูคึกคัก  ของกินและอุปกรณ์ต่างๆ ล้วนมีวางขาย  อีกทั้งข้างถนนยังมีแผงลอยเล็กๆ ตั้งขายอยู่มากมาย

แผงลอยแห่งหนึ่งวางขายเค้กอบสีทองที่แผ่ไอร้อนออกมาดึงดูดผู้คน  หนิงชิงเชวี่ยที่ไม่เคยกินขนมข้างทางแบบนี้ไม่อาจทนต่อแรงดึงดูดได้  เธอจ่ายไปสองหยวนเพื่อซื้อเค้กชิ้นนี้  เธอกัดไปคำหนึ่ง  ทั้งเหนียวและนุ่ม   เป็นความรู้สึกที่ไม่เลวจริงๆ

“เร่เข้ามา!  เร่เข้ามา!  มาดูสูตรยาที่สืบทอดจากบรรพบุรุษ  รักษาได้สารพัดโรค  ปวดหัวตัวร้อน  แผลภายในภายนอก  ไขข้อเสื่อมสายตาสั้น...มีอาการที่พวกคุณจินตนาการไม่ออก  แต่ไม่มีโรคไหนที่ผมรักษาไม่ได้...”   เสียงตะโกนนี้ทำให้หนิงชิงเชวี่ยเกือบหัวเราะออกมา  จากน้ำเสียงของเขาแล้ว  ดูท่าโรคอะไรก็คงรักษาได้จริงๆ นั่นแหละ

หนิงชิงเชวี่ยหันไปมองคนที่ตะโกนขายยาปลอมคนนี้โดยไม่ตั้งใจ  แต่แล้วเธอก็ต้องตกตะลึง  นี่มันเย่โม่ไม่ใช่หรือ?  ถึงเขาจะใส่แว่นดำและสวมหมวกแก๊ปแต่เธอมองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นเขา  อีกทั้งข้างกายของเย่โม่ก็ยังมีกระเป๋าพยาบาลอันเป็นสัญลักษณ์ของเขาใบนั้นอีก  ทีแรกเธอไม่รู้ว่าในนั้นมีอะไรอยู่  แต่มาตอนนี้เธอรู้แล้ว  มันคือกระเป๋ายานี่เอง

..........

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด