ตอนที่แล้วบทที่ 30 ชีวิตหลังแต่งงาน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 32 ความอับอายของหยุนปิง

บทที่ 31 จำใจขายเลือด


“มีเรื่องอะไรก็พูดมาเถอะ  วันนี้ผมอารมณ์ดีพอสมควร”  วันนี้เย่โม่ได้ทั้งเมล็ดพันธุ์และปรุงยาจาก ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ จนกลายเป็นซุปได้ถ้วยหนึ่ง  2 สิ่งนี้เองที่ทำให้เขาอารมณ์ดีไม่น้อยเลย

“ฉันขอยืมเงินสองพันหยวนหน่อยสิ”  หนิงชิงเชวี่ยพูดออกมาด้วยอาการสงบนิ่ง  ตามความคิดของเธอแล้ว  ยืมเงินแค่สองพันหยวนเขาก็ไม่ควรจะปฏิเสธเธอ  เพราะเงินของเย่โม่ก็ได้มาจากเธอนั่นเอง

“ไม่มีเงิน!”  เย่โม่เดิมทีรู้สึกอารมณ์ดีกลับถูกหนิงชิงเชวี่ยทำให้เสียอารมณ์จากคำขอยืมเงินของเธอ   ต้องรู้ก่อนว่าตอนนี้เงินในกระเป๋าของเย่โม่รวมกันแล้วมีแค่สามพันกว่าๆ เท่านั้น  แต่หนิงชิงเชวี่ยอยู่ๆ ก็มาขอยืมสองพันหยวนเสียอย่างนั้น

“นาย!...” หนิงชิงเชวี่ยถูกเย่โม่ทำให้โกรธไม่น้อย  ทำไมถึงได้งกแบบนี้  ในเมื่อเอาเงินเธอไปตั้งห้าแสนหยวน  แค่เธอยืมเงินสองพันหยวนเขาก็ยังไม่ให้  ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้ไปได้?

“นายแค่เจียดดอกเบี้ยจากเงินห้าแสนหยวนมาสักหน่อยก็ได้สองพันหยวนแล้ว  นายเองก็เป็นผู้ชาย ในอนาคตยังต้องทำธุรกิจค้าขายอีกมาก  ทำไมถึงได้งกแบบนี้?”  หนิงชิงเชวี่ยเองก็คิดไม่ถึงว่าตัวเธอเองจะหลุดปากพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไปแบบนี้  แถมยังพูดเหมือนมีเหตุมีผลเสียด้วย

เมื่อเย่โม่เห็นว่าหนิงชิงเชวี่ยเริ่มพูดถึงหลักการและเหตุผล  เขาจึงรีบยกมือยอมแพ้ทันที  “หยุด! หยุด!  หยุดได้แล้ว...”  พูดจบเย่โม่ก็หยิบเงินในกระเป๋าออกมาปึกหนึ่ง  พอเขานับได้สองพันหยวนก็ยื่นให้กับ  หนิงชิงเชวี่ย  “แค่ครั้งนี้เท่านั้นนะ  ครั้งหน้าอย่ามาขอยืมเงินแบบนี้อีก  เงินพวกนี้ไม่ใช่ว่าจะหามาได้ง่ายๆ”

หนิงชิงเชวี่ยทำปากยื่น  แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ได้ปฏิเสธเงินของเย่โม่  เพียงแต่เธอคิดในใจว่าถ้าเงินของเขา ‘ไม่ใช่หามาได้ง่ายๆ’ ล่ะก็  บนโลกนี้ก็คงไม่มีใครหาเงินได้ง่ายแล้ว  เขาแค่ให้ที่พักกับเธอเขาก็ได้เงินไปถึงห้าแสนหยวนแล้ว

ที่หนิงชิงเชวี่ยยืมเงินสองพันหยวนแบบนี้  สาเหตุก็เพราะเธอไม่มีเงินติดตัวเลยสักหยวนเดียว  เธอไม่มีเงินจ่ายค่าโทรศัพท์แล้ว  อีกอย่างเธอยังจำเป็นต้องซื้อของใช้ส่วนตัวของผู้หญิงด้วย  สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้เธอไม่สะดวกสบายนัก

..........

ตอนเย็น  เย่โม่รอเวลาจนกระทั่งซู่เวยและหนิงชิงเชวี่ยเข้านอนกันหมดแล้ว  เขาเดินไปยังต้นไม้ใหญ่ตรงสวนด้านหลัง  เขาหยิบซุปสมุนไพรขึ้นดื่มจนหมด  จากนั้นจึงเริ่มฝึกฝน

วู่มม!  ฤทธิ์ยาอันพลุ่งพล่านได้กระจายตัวอยู่บริเวณกลางอกของเย่โม่  จากนั้นจึงแล่นไปตามการเคลื่อนลมปราณของเย่โม่  ไม่นานยาเหล่านี้ก็ได้กลายเป็นส่วนเสริมสร้างและเปลี่ยนแปลงเส้นลมปราณภายในร่างกายของเขาให้แข็งแกร่งขึ้น  กว้างขึ้น  เย่โม่รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก  เขาคิดไม่ถึงว่าหญ้าต้นเล็กๆ อย่าง ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ จะมีฤทธิ์มหัศจรรย์ขนาดนี้  ดูท่าเขาคงจะมีหวังในการเลื่อนพลังปราณไปถึงระดับ 2 แล้ว

ผ่านไป 4 ชั่วโมง  พลังปราณภายในร่างของเย่โม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว  แต่เย่โม่กลับรู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ

พลังปราณภายในร่างของเขาเพิ่มขึ้นจนถึงจุดหนึ่งก็หยุดนิ่ง  จากนั้นจึงเริ่มเผาผลาญเส้นลมปราณของเขา  นี่ทำให้เย่โม่ตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก  ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ดีแน่  เขาคงไม่กลายเป็นคนพิการหรอกนะ?

เป็นแบบนี้ได้อย่างไร?  การเผาผลาญเส้นลมปราณยิ่งนานยิ่งรุนแรง  ยิ่งนานเข้าเย่โม่ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดที่เส้นลมปราณ  ภายใต้ความกังวลใจเย่โม่ก็กัดเข้าไปที่ข้อมือของตัวเอง

เกิดเป็นเสียงดัง  ผลุ!  เมื่อความร้อนอันไร้ที่ระบายภายในร่างกายของเขากลายเป็นเลือดร้อนๆ พุ่งออกมาจากแผลตรงข้อมือ  เย่โม่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก  โชคดีที่เขาคิดวิธีนี้ออกมาได้ทันเวลา  ไม่เช่นนั้นคงแย่แน่ๆ  ดูเหมือนเขาจะไม่ควรดื่มซุปนั้นจนหมดถ้วยภายในครั้งเดียว  ซุปสมุนไพรที่เขาปรุงขึ้นมานี้ที่จริงแล้วยังขาดหญ้าวิญญาณบางประเภท  เขาใช้เพียงสมุนไพรธรรมดาๆ มาแทนที่เท่านั้น  นี่คงเป็นผลข้างเคียง

หลังจากความร้อนในร่างกายเริ่มบรรเทาลงเย่โม่ก็รีบปิดปากแผลทันที  ถึงเขาจะเสียเลือดไปไม่น้อย   แต่ตอนนี้พลังปราณของเขาเพิ่มขึ้นมาจนถึงระดับ 1 ขั้นปลายแล้ว  ฝึกครั้งแรกก็ทะลวงได้ถึงขั้นนี้แล้ว  อีกทั้งเย่โม่ยังรู้สึกว่าฤทธิ์ยาภายในร่างยังไม่ถูกใช้จนหมด  หากเขาฝึกต่อไปไม่แน่ว่าอาจเลื่อนไปถึงระดับ 2 เลยก็ได้

ทว่าในวันถัดมา  เย่โม่ที่เพิ่งกินข้าวเช้าเสร็จ  ขณะที่เตรียมตัวจะไปมหาวิทยาลัยอยู่นั่นเอง  เขาก็ค้นพบความร้อนภายในเส้นลมปราณของเขาอีกครั้ง  ภายในใจเย่โม่รู้สึกย่ำแย่  หรือต้องสูบเลือดเขาออกจนหมดถึงจะพอ?  เขารู้สึกปวดใจที่ต้องเสียเลือดอย่างเปล่าประโยชน์แบบนี้

แต่เรื่องนี้ก็ไม่อาจทำอะไรเย่โม่ได้  เขาตรงไปยังโรงพยาบาลเพื่อขายเลือดทันที  เขาเองก็ไม่รู้ว่าเลือดของเขาถูกดึงออกไปกี่ cc แล้วจนกระทั่งเขารู้สึกว่าลมปราณภายในร่างเริ่มกลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง

เย่โม่ถอนหายใจอย่างโล่งอก  พอมาถึงมหาวิทยาลัยเขาก็ไม่ได้ไปห้องสมุดแต่กลับเดินหาสถานที่ฝึกฝนแทน  ระยะเวลาภายใน 2-3 วันนี้ถือว่าสำคัญมาก  เขาจะต้องดูดซึมยาที่เหลือให้หมด  จะได้ไม่สูญเปล่า

..........

หลังจากนั้นไม่กี่วัน  หนิงชิงเชวี่ยติดต่อกับหลี่มู่เหมยทุกๆ วันเกี่ยวกับความวุ่นวายภายในตระกูล   หนิงซึ่งเธอเองก็ไม่กล้าจะจินตนาการ  ถึงแม้ที่หนิงไห่นี้จะมีข่าวเรื่องที่เธอแต่งงานกับเย่โม่แล้ว  แต่ความรุนแรงของที่นี่ก็เทียบกันไม่ได้กับความรู้สึกเหมือนระเบิดลงเมื่อข่าวนี้แพร่ไปถึงปักกิ่ง

สิ่งที่ทำให้หนิงชิงเชวี่ยรู้สึกโล่งอกก็คือ  หลังจากข่าวของเธอถูกเผยแพร่ออกไปตามเว็บไซต์หรือหนังสือพิมพ์  ตระกูลซ่งก็เหมือนจะยอมรามือไปแล้วจริงๆ  ไม่พูดถึงเรื่องของเธอและซ่งเฉ่าเหวินอีกเลย

2-3 วันมานี้ชีวิตของเย่โม่มีทั้งความสุขและความเจ็บปวดผสมปนเปกันไป  ทุกวันที่ฝึกเขาพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง  แต่เขาก็ต้องไปขายเลือดที่โรงพยาบาลทุกวันเช่นกัน  ถึงเงินที่เขาได้จากการขายเลือดจะไม่เยอะมาก  แต่ก็ถือว่าเป็นรายได้ทางหนึ่ง

หลังจากที่เขาดื่มซุปสมุนไพรถ้วยนั้นมาแล้ว 6 วัน  ตอนเย็นขณะที่เย่โม่กำลังฝึกอยู่เขาก็รู้สึกว่าได้ยินเสียงราวกับว่ามีบางอย่างภายในร่างกายถูกทะลวงออก  ทั่วทั้งร่างกายรู้สึกปลอดโปร่ง  ตอนนี้ฤทธิ์ยาที่หลงเหลือภายในร่างกายได้ถูกใช้จนหมดแล้ว  พลังปราณของเขาเพิ่มขึ้นมาหลายเท่า  สัมผัสทางจิตของเขาเองก็เริ่มกระจายออกมาข้างนอกได้แล้ว

ในที่สุดก็ระดับ 2 แล้ว!  ไม่ง่ายเลยจริงๆ ตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องไปทนทรมานที่โรงพยาบาลอีกแล้ว  เวลานี้เย่โม่รู้สึกดีใจจนอยากลุกขึ้นมาตะโกนให้สุดเสียงเสียด้วยซ้ำ  แต่เขาก็รู้ว่านี่มันเที่ยงคืนแล้ว  ถ้าทำแบบนั้นจริงๆ ก็อาจถูกคนหาว่าบ้าได้  ทว่าในใจเขาก็ยังรู้สึกยินดีจนไม่อาจหาคำมาบรรยาย

วันถัดมา  เย่โม่ซื้ออาหารเช้าให้หนิงชิงเชวี่ยจากนั้นก็เตรียมตัวไปมหาวิทยาลัย  เขาคิดจะมอบยาสัก 2-3 เม็ดให้กับชือซิว  ในเมื่อตอนนี้เขาฝึกถึงระดับ 2 แล้ว  อีกไม่นานเขาก็จะจากที่นี่ไปแล้ว  ชือซิวคือเพื่อนของเขา  ก่อนจะไปจากหนิงไห่เขาจึงอยากมอบยาที่เขาปรุงไว้ให้ชือซิว  เผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉิน

เดิมทีเย่โม่คิดว่าหลังจากแต่งงานและถ่ายรูปพวกนั้นกับหนิงชิงเชวี่ยแล้ว  จะต้องมีเรื่องยุ่งยากตามมาแน่นอน  แต่นี่ก็ผ่านมาได้ครึ่งเดือนแล้วเขายังไม่พบเจอเรื่องยุ่งยากอะไรเลย  เย่โม่จึงค่อยๆ รู้สึกวางใจ “เย่โม่…”  นี่ถือเป็นครั้งแรกที่หนิงชิงเชวี่ยเรียกเพื่อหยุดเย่โม่ที่กำลังจะออกไปข้างนอก

เมื่อเย่โม่ได้ยินก็แอบคิดในใจว่าแย่แล้ว  ครั้งที่แล้วที่เธอเรียกเขาไว้เงินก็หายไปถึงสองพันหยวน  แล้วครั้งนี้จะมีเรื่องอะไรอีก?  แต่ในเมื่อหนิงชิงเชวี่ยเรียกแบบนี้เขาก็ไม่สามารถแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน

เขาหันกลับไปมองหนิงชิงเชวี่ย  เย่โม่รู้สึกยิ้มไม่ออกร้องไห้ไม่ได้  หนิงชิงเชวี่ยยังคงสวยงามเหมือนเทพเซียนเช่นเดิม  ต่างกันตรงที่ตอนนี้เธอเริ่มมีน้ำมีนวลขึ้นมาเล็กน้อย  ดูเหมือนทักษะการทำอาหารของเขาจะมีส่วนรับผิดชอบกับเรื่องนี้  คนที่ไม่รู้เรื่องจริงคงคิดว่าเธอมาพักร้อนมากกว่าจะมาหาที่หลบภัย

“มีอะไร?”  เย่โม่ถามอย่างจนใจ

เมื่อเห็นท่าทีดังนั้นของเย่โม่แล้ว  หนิงชิงเชวี่ยก็รู้สึกอารมณ์ไม่ดี  หรือเธอไม่เหมาะสมกับเขา?  ถึงจะเป็นแค่การแต่งงานแบบปลอมๆ แต่เธอก็ยังถือว่าดีพอสำหรับคนแบบเขาแล้ว  ถึงจะคิดแบบนี้แต่อารมณ์ที่เธอแสดงออกมาก็ยังเฉยชาไม่แยแส  ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่อาจอาศัยอยู่ในห้องของเย่โม่คนเดียวได้ถึงครึ่งเดือนแบบนี้หรอก

หนิงชิงเชวี่ยกลับไปสงบนิ่งอีกครั้ง  “วันนี้เพื่อนฉันคนหนึ่งอยากจะมาที่หนิงไห่  เธอเป็นนักข่าว สาเหตุที่เธอมานายก็คงรู้แล้ว  ถึงฉันจะไม่อยากไปกินข้าวกับเธอคนนั้นเท่าไหร่  แต่ตอนนี้ฉันยังอยู่ภายใต้สายตาคนอื่นอยู่  เย็นวันนี้นายช่วยไปกินข้าวกับพวกเราหน่อยได้ไหม?”

“ผมทำอาหารเป็น  ทำไมถึงต้องไปกินข้างนอกกัน?”  ความคิดแรกของเย่โม่คือหากเขาทำเองก็จะประหยัดเงินได้

“นาย!...”  หนิงชิงเชวี่ยถูกเย่โม่ทำให้โกรธจนเกือบสำลัก  ที่จริงเธอไม่ใช่คนรักหน้าตาชื่อเสียงอะไร เพียงแต่ภายใต้สายตาของคนอื่น  หนิงชิงเชวี่ยก็อยากให้ชีวิตคู่ของเธอกับเย่โม่ดูสมจริงเท่านั้น

“เอาเถอะ  ไว้ตอนเย็นผมจะไป...”  เย่โม่ตอบรับอย่างอ่อนใจ  จากนั้นจึงหันหลังเดินจากไป

..........

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด