ตอนที่แล้วบทที่ 29 ความประทับใจครั้งที่ 2 ของหนิงชิงเชวี่ย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 31 จำใจขายเลือด

บทที่ 30 ชีวิตหลังแต่งงาน


“ทำไมถึงต้องใส่ชุดนอน?”  เย่โม่ถามอย่างเซ็งๆ  เขาคิดในใจว่าจะถ่ายรูปต้องทำถึงขนาดนี้เลย?

หลี่มู่เหมยพูดขึ้นราวกับรู้ว่าเย่โม่กำลังคิดอะไรอยู่  “ชิงเชวี่ยยังไม่กลัวเลย  แล้วนายจะกลัวอะไรเล่า?  คิดว่าตัวเองเป็นนายแบบนู๊ดหรือยังไงกัน”

“มู่เหมย!...”  ถึงแม้ในสายตาของหนิงชิงเชวี่ยเย่โม่จะไม่ใช่คนดีอะไรนัก  แต่คำพูดของหลี่มู่เหมยกลับทำให้เธอรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง  คำว่า ‘นายแบบนู๊ด’ ทำให้หนิงชิงเชวี่ยรู้สึกไม่พอใจมาก

เย่โม่คิดจะปฏิเสธเรื่องถ่ายรูป  แต่เมื่อเขาหวนคิดไปถึงครั้งแรกที่เขาได้เจอหนิงชิงเชวี่ย  แววตาอันโศกเศร้าของเธอคล้ายคลึงกับอาจารย์ลั่วอิ่งของเขามาก

สุดท้ายแล้วเขาจึงตอบตกลงเรื่องนี้  ราวกับว่าลึกๆ ในใจแล้วเขาจะเริ่มคิดว่าหนิงชิงเชวี่ยคืออาจารย์ลั่วอิ่งของเขา  หรือไม่ก็คิดถึงอาจารย์ของเขาผ่านทางหนิงชิงเชวี่ย  ในเมื่อเธอไม่กลัว  ถ้าอย่างนั้นเขาก็ไม่กลัวเช่นกัน  เรื่องถ่ายรูปแบบนี้สำหรับเขาแล้วถือว่าไม่สำคัญอะไรเลย  ช่วยสักหน่อยก็ไม่เสียหายอะไร

เย่โม่สวมชุดนอน  จากนั้นเขาก็นอนพิงหัวเตียงคู่กันกับหนิงชิงเชวี่ย  เย่โม่เกิดรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา   กลิ่นกายสาวบริสุทธิ์บางๆ ของหนิงชิงเชวี่ยทำให้เขาเคลิ้มอยู่บ้าง  กลิ่นกายของเธอแม้จะคล้ายคลึงกับอาจารย์ลั่วอิ่ง  แต่ก็มีบางส่วนเช่นกันที่แตกต่างออกไป  แต่ต่างกันตรงไหนเย่โม่ก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน  รู้เพียงแต่ว่าเขาชอบกลิ่นหอมเช่นนี้เอามากๆ

เย่โม่โน้มตัวเข้าหาหนิงชิงเชวี่ยโดยไม่รู้ตัว  เขาลืมเรื่องการถ่ายรูปไปเรียบร้อยแล้ว

หนิงชิงเชวี่ยก็สวมชุดนอนมานั่งข้างๆ เย่โม่เช่นกัน  คิ้วของเธอขมวดมุ่นราวกับรู้สึกไม่ชอบใจกับแผนการนี้อยู่บ้าง  แต่สีหน้าของเธอก็กลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว

บนร่างกายของเย่โม่ไม่มีกลิ่นที่เธอรังเกียจอยู่เลย  ทั้งยังให้ความรู้สึกที่สดชื่น  กลิ่นหอมจางๆ ของชายชาตรีเมื่อรวมกับกลิ่นหอมสดชื่นราวกับเด็กทารกของเย่โม่  ทำให้หนิงชิงเชวี่ยถึงกับรู้สึกเคลิ้มไปชั่วขณะ

หนิงชิงเชวี่ยเหมือนรู้สึกว่าเย่โม่เอนตัวโน้มเข้ามาหา  เธอหยุดนิ่งไม่หลบหลีกราวกับถูกมนต์สะกด...   กลับกัน  เธอก็เอนตัวพิงเย่โม่เช่นกัน  หนิงชิงเชวี่ยหลับตาลงราวกับหวนนึกถึงความรู้สึกตอนที่พบกันครั้งแรก   โดยลืมไปแล้วว่าเธอกับเย่โม่กำลังแสดงละครอยู่

เนื้อกายอันอ่อนนุ่มของหนิงชิงเชวี่ยทำให้เย่โม่รู้สึกผ่อนคลาย  แต่เขากับเธอนอนเบียดกันได้ไม่นานนักเย่โม่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าพวกเขากำลังแสดงเพื่อถ่ายรูปอยู่  ข้างๆ ยังมีหลี่มู่เหมย  ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาเคลิบเคลิ้ม   พอคิดได้ถึงตรงนี้เย่โม่ก็สะดุ้งในใจแล้วเตรียมจะผละตัวออก

ตอนนั้นเองที่หลี่มู่เหมยพูดขึ้นอย่างประหลาดใจ “นี่พวกเธอ… คงไม่ใช่ว่ากำลังอินอยู่หรอกนะ  เฮ้! ฉันถ่ายเสร็จแล้วนะ  ลงมาจากเตียงได้แล้ว  จริงๆ เลย...”

หนิงชิงเชวี่ยได้สติขึ้นมาทันที  ใบหน้าของเธอแดงก่ำ  หนิงชิงเชวี่ยไม่รู้ว่าเธออินกับบทขนาดนี้ได้อย่างไร  ตอนนี้เธอไม่กล้ามองหน้าหลี่มู่เหมยหรือเย่โม่เลย

เย่โม่หัวเราะพลางลูบจมูก  เขาเปลี่ยนชุดราวกับตรงนั้นไม่มีใครอยู่  จากนั้นก็เดินออกจากห้องไป

“มู่เหมย  ฉัน...”  หนิงชิงเชวี่ยเหมือนไม่รู้ว่าจะต้องอธิบายการกระทำของเธอยังไง  หนิงชิงเชวี่ยไม่รู้ว่าทำไมเย่โม่ถึงดึงดูดเธอได้ขนาดนี้  เธอไม่ได้ต่อต้านเขาเสียด้วยซ้ำ

“ไม่เป็นไร  รูปก็ถ่ายเสร็จแล้ว  อีกสักพักฉันจะก็อปปี้รูปพวกนี้ส่งให้จิ้งเหวินและส่งกลับปักกิ่งด้วย   หลังจากนี้เธอก็อยู่ที่นี่ชั่วคราวก็แล้วกัน  คิดว่าอย่างน้อยก็สักประมาณ 1 เดือนได้  ถึงตอนนั้นเรื่องต่างๆ ก็คงเข้าที่เข้าทางแล้ว  เอาไว้ฉันจะมาเยี่ยมบ่อยๆ นะ”

หลี่มู่เหมยพูดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจออกมาระลอกหนึ่ง  จากนั้นจึงพูดต่อ  “โชคยังดีที่เย่โม่เสื่อมสมรรถภาพนะ  ไม่อย่างนั้นถ้าหากพวกเธอต้องอยู่ด้วยกันแบบนี้  ฉันว่ามันก็เสี่ยงมากจริงๆ นั่นแหละ”

แน่นอนว่าหนิงชิงเชวี่ยเข้าใจความหมายที่หลี่มู่เหมยพูด  แต่เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะโต้แย้งหลี่มู่เหมยยังไงดี  เธอยังรู้สึกสงสัยด้วยซ้ำว่าจริงๆ แล้วเย่โม่นั้นเหมือนกับผู้ชายปกติทั่วไป  ไม่อย่างนั้นทำไมเขาถึงอยู่กับซู่เวยได้ล่ะ?  ถึงหนิงชิงเชวี่ยจะคิดแบบนี้แต่ก็รู้สึกอายจนไม่กล้าพูดออกมา

แต่หนิงชิงเชวี่ยรู้ความรู้สึกของตัวเองดี  ไม่ว่าอาการของเย่โม่จะเป็นแบบไหน  เธอคิดว่าหลี่มู่เหมยกังวลเกินไปแล้ว  เรื่องที่เกิดเมื่อครู่ก็เป็นแค่อุบัติเหตุเท่านั้น  อีกอย่างตอนนั้นในใจเธอมีแต่ความสงบเท่านั้น  ไม่มีความรู้สึกอื่นใดแฝงอยู่เลย

..........

วันถัดมา  ข่าวที่ใหญ่ที่สุดไม่ใช่ข่าวหนิงชิงเชวี่ยแต่งงาน  แต่กลับเป็นข่าวที่มีคนพบเจอเกย์ 2 คนบนรถ BMW ที่จอดอยู่ตรงเซ็นจูรี่สแควร์  ทว่าตอนที่ตำรวจไปตรวจสอบก็พบว่าหนึ่งในนั้นเป็นถึงลูกชายของรองนายกเทศมนตรี  รวมถึงทั้ง 2 คนยังได้รับบาดเจ็บอาการสาหัสเสียด้วย

เห็นได้ชัดว่ามีคนอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนี้

ถึงแม้ทั้ง 2 คนจะได้รับการช่วยชีวิตเอาไว้ได้  แต่พวกเขาก็กลายเป็นคนเสียสติไปแล้ว  เรื่องนี้จึงได้กลายเป็นคดีที่ไขไม่ได้เสียแล้ว

หลังจากหลี่มู่เหมยจากไป  ชีวิตของเย่โม่ก็กลับสู่สภาวะปกติอีกครั้งหนึ่ง  เขาพบว่าหากเขาไม่ซื้ออาหารกลับมา  หนิงชิงเชวี่ยก็จะไม่กินอะไรเลย

ที่เย่โม่ไม่รู้ก็คือ…ตอนที่หนิงชิงเชวี่ยหนีออกมาจากบ้านนั้น  เธอพกบัตรธนาคารมาเพียงใบเดียวเท่านั้น  ซึ่งก็ได้ให้เย่โม่ไปเรียบร้อยแล้ว  ตอนนี้เธอไม่มีเงินติดตัวเลยสักหยวนเดียว  อีกอย่างหลังจากเกิดเหตุการณ์ตอนถ่ายรูปครั้งที่แล้ว  เธอก็รู้สึกอายเกินกว่าจะโทรหาหลี่มู่เหมย  แล้วในเมื่อเย่โม่ก็ได้เงินจากเธอไปแล้วถึงห้าแสนหยวน มันก็คงไม่เป็นอะไรหากเธอจะกินอยู่ที่นี่โดยใช้เงินของเย่โม่

แต่หลังจากนั้น 2-3 วันเย่โม่ก็พบว่าหนิงชิงเชวี่ยกินข้าวน้อยมาก  เย่โม่ถอนหายใจ...เขารู้ว่าหนิงชิงเชวี่ยคงจะเลือกกินอยู่พอสมควร  เธอคงไม่ชินกับอาหารที่เขาซื้อมาจากข้างนอก

ด้วยเหตุนี้เองเย่โม่จึงต้องจำใจซื้อกับข้าวมาทำเอง  แต่ตอนนี้เขามีเงินแค่ห้าหมื่นหยวน  เมื่อรวมกับค่าสมุนไพรและเงินที่ใช้ในชีวิตประจำวันแล้ว  ตอนนี้เขาเหลือเพียงสองหมื่นหยวนเท่านั้น  เย่โม่มองไปยังบัตรธนาคารของหนิงชิงเชวี่ย  ในเมื่อเธอมาอยู่ห้องพักของเขา  กินอาหารของเขา  หากจะใช้เงินในบัตรนี้เสียหน่อยก็คงจะไม่เป็นไร  และเมื่อสิ้นสุดข้อตกลงกับหนิงชิงเชวี่ยแล้วเขาก็จะคืนเงินที่เหลือให้กับเธอทันที

แต่เย่โม่ก็ต้องพบกับความผิดหวัง  อย่าว่าแต่เงินห้าแสนหยวนเลย  แม้แต่หยวนเดียวบัตรนี้ก็รูดออกมาไม่ได้  เหตุผลก็เพราะบัตรที่หนิงชิงเชวี่ยให้เขามาถูกธนาคารระงับเอาไว้แล้ว

ถึงแม้เรื่องต่างๆ จะไม่ราบรื่นนัก  แต่อย่างน้อยหนิงชิงเชวี่ยก็ไม่ได้ปฏิเสธอาหารที่เย่โม่ทำ  อีกทั้งมื้อหนึ่งเธอก็กินไม่น้อยเลย  นี่ทำให้เย่โม่คลายกังวลไปได้บ้าง  ไม่อย่างนั้นผ่านไปอีกสักเดือนตัวหนิงชิงเชวี่ยคงผอมจนปลิวไปตามลม  ที่จริงแล้วเย่โม่เองก็ไม่ได้รังเกียจอะไรหนิงชิงเชวี่ย  อาจพูดได้ว่ารู้สึกดีกับเธอด้วยซ้ำ  เขาจึงไม่อยากเห็นเธออดอยาก

เย่โม่รู้สึกว่าหนิงชิงเชวี่ยออกจะประหลาดอยู่มาก  ถ้าเขาซื้ออาหารมาจากข้างนอกเธอจะกินได้น้อย   แต่หากเขาทำเองเธอจะกินเยอะขึ้นมาก  ราวกับว่าอาหารที่เขาทำจะตรงกับความชอบของเธอ  ด้วยเหตุนี้เอง...เมื่อเวลาผ่านไปได้เพียงสัปดาห์เดียวเธอก็พบว่าตัวเองอ้วนขึ้นเล็กน้อย

ที่ทำให้เย่โม่รู้สึกดีใจที่สุดก็คือ ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ ของเขาโตพอที่จะเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์ได้แล้ว  เย่โม่ได้เก็บเมล็ดของ ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ ทั้ง 39 เมล็ดอย่างระมัดระวัง  เขาเก็บมันใส่ขวดหยกที่เตรียมเอาไว้

เย่โม่ไม่อยากจะปลูกต้นไม้ที่นี่อีกแล้ว  สาเหตุก็เพราะเขาไม่อยากรออยู่ที่นี่ถึง 2 ปี  รอให้เรื่องที่ค้างคาของที่นี่จบลง  เขาจะย้ายออกจากหนิงไห่ทันที  เขามีความรู้สึกว่าหนิงไห่ไม่เหมาะสำหรับเขาอีกต่อไป

เมื่อได้เมล็ดพันธุ์เหล่านี้มาแล้วเย่โม่ก็เริ่มใช้ประโยชน์ ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ ที่โตแล้วต้นนี้  จุดสำคัญคือจะใช้งานแบบไหนให้ได้ประโยชน์สูงสุด  ไม่แน่ว่าหากใช้ ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ ต้นนี้แล้วเขาอาจจะเพิ่มพลังปราณจนไปถึงระดับที่ 2 เลยก็ได้

ตอนนี้เย่โม่เหลือเงินอยู่สองหมื่นหยวน  ในเงินจำนวนนั้นถูกเขาใช้ซื้อสมุนไพรถึงหนึ่งหมื่นหยวนเพื่อมาปรุงร่วมกันกับ ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’

ทุกครั้งที่เย่โม่ออกมาข้างนอกหนิงชิงเชวี่ยจะขอให้เย่โม่ยืมหนังสือจากห้องสมุดมาให้เธอครั้งละ 2-3 เล่ม  น้อยครั้งที่เธอจะออกมาข้างนอก  ปกติเธอจะชอบนั่งอ่านหนังสืออยู่ในสวนเสียมากกว่า  ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เย่โม่ดูแลต้นไม้ใบหญ้าของเขา  หรือเป็นตอนที่เย่โม่ปรุงซุปสมุนไพรของเขา  หนิงชิงเชวี่ยก็จะจ้องมองอย่างเงียบๆ โดยไม่ถามอะไรเขาสักคำเดียว

ทุกวันนี้ซู่เวยกลับมาถึงที่พักก็มักจะเป็นช่วงเย็นๆ แล้ว  ช่วงเช้าก็เข้างานเร็วมาก  นอกจากพูดคุยกับเย่โม่เล็กๆ น้อยๆ แล้วเธอก็ไม่ค่อยได้เจอกับหนิงชิงเชวี่ยเลย  นี่ทำให้เธอหวนนึกถึงตอนที่เย่โม่เพิ่งจะเข้ามาพักที่นี่ใหม่ๆ  ซึ่งตอนนั้นเธอกับเขาก็ไม่ค่อยได้เจอหน้ากันสักเท่าไหร่

เย่โม่ต้มสมุนไพรทั้งหม้อจนกระทั่งกลายเป็นซุปถ้วยหนึ่ง  เขาเตรียมซุปถ้วยนี้ไว้ดื่มตอนที่ฝึกฝนช่วงเย็น

“เย่โม่… ฉันอยากให้นายช่วยอะไรหน่อย”  นอกจากตอนขอยืมหนังสือแล้วหนิงชิงเชวี่ยจะพูดกับเย่โม่น้อยมาก  นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเริ่มคุยกับเขาก่อน  เหมือนกำลังจะขอร้องอะไรเขาสักอย่าง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด