ตอนที่แล้วตอนที่ 4 ถนนสู่ยุคใหม่ (Road to New Era)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 6 ชนพื้นเมืองอาริกาเซียสู่สงคราม! (Natives Aricassia to war!)

ตอนที่ 5 มาถึงพร้อมกับปัญหา (Arrival with problems)


มาถึงพร้อมกับปัญหา

(Arrival with Problems)

สายลมพัดเข้ากระทบกับผ้าหลังคาเกวียน ถึงจะไม่แรงมาก แต่มันก็ยังคงไม่มีท่าทีว่าจะหยุดนิ่ง รถม้าค่อยๆเคลื่อนตัวอย่างช้าเป็นแถวขบวนยาว กองขบวนนี้เดินทางตามถนนดินไปยังเป้าหมาย อย่างไม่เร่งรีบ ที่หลายคนยังไม่สามารถรับรู้ได้ว่าปลายทางจะเป็นเช่นไร

บนหน้าขบวนชายหนุ่มผู้มีเส้นผมสีขาวขี้เถ้าอ่อนจับต้นคอของตัวเองด้วยความเหนื่อยล้าและเจ็บปวด เขาต้องนั่ง เดิน และช่วยผลักเมื่อรถม้ามีปัญหาทุกครั้ง เพราะว่าเกวียนไม่ได้มีการกันกระแทกเหมือนรถสมัยใหม่ที่เขาคุ้นชินเสียหน่อย…

นั่งมองไปรอบๆ ใบหน้าของชายหนุ่มดูไม่ค่อยดีมากนัก ขนาดที่ว่าครึ่งมนุษย์ครึ่งจิ้งจอก ผู้ซึ่งสังเกตเห็นก็มีอาการเป็นห่วงอย่างมาก

“ยังไหวหรือไม่? เราเห็นดูกังวลตลอดการเดินทางเลย” ไวท์ถามด้วยนํ้าเสียงเป็นห่วง

“อ๊ะ!? เออ… จะว่าไงดี พอดีว่าผมไม่ค่อยชินกับอะไรที่ไม่ค่อยสบายอย่าง… รถม้าน่ะครับ” เขาอยากนั่งรถ รถสมัยใหม่ที่สามารถขับไปไหนได้ รถที่สะดวกสบายกว่ารถม้าโบราณแบบนี้ และรถที่สามารถเปิดเพลงระหว่างขับได้ แค่คิดเขาก็อยากจะร้องไห้

“เจ้าหนูอย่าได้คิดไปไกล พวกเรามิได้เดินทางยาวไปจนถึงเมืองหลวงเสียหน่อย” ลุงสมชายชะงักพูดขึ้น “ถึงจะต้องไปเมืองหลวงก็เถอะ…”

“เรากำลังจะไปหมู่บ้านสุดขอบชายแดน ชุมชนพื้นเมือง… พวกเราต้องไปส่งพวกชาวบ้านที่ตามมาด้วยไงเล่า” ลุงสมชายอธิบายเรื่องราวให้นักการเมืองหนุ่มฟัง

แน่นอนว่ามันหมายความว่าชาวบ้านที่ตามพวกเขามาด้วยคือ ผู้ลี้ภัย หากแต่สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มคิดมากกว่าเดิมก็คือ การอพยพย้ายถิ่นฐานเท่ากับว่าไร้บ้าน แถมยังอยู่นอกกฎหมายมากกว่าเดิมไม่ใช่หรือ ลาสจึงถามลุงแกให้กระจ่าง

“ฮึม… มันก็จริงอย่างที่เจ้าว่ามา แต่ว่า! กฎหมายที่คุ้มครองน่ะ มันไม่มีจริงตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เจ้าและชาวอาณานิคมอาจจะยังไม่รู้ แต่พวกเราไม่ได้เกิดบนดินแดนแห่งนี้” ลุงสมชายถอนลมหายใจอย่างหนัก

“ไม่เอาสิตาลุง ไหนเราสัญญากันแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าจะไม่คุยเรื่องพวกนี้ไง? เพลาๆกับพวกลีโอเนียหน่อยสิ” แจ็คที่นั่งฟังอยู่ก็พูดขัดขึ้นมา

“เป็นเพราะดินแดนแห่งนี้สามารถตั้งถิ่นฐานได้ เมื่อออกจากเขตพรมแดนของอาณานิคมหรอกครับ?” ลาสกล่าวอย่างสงสัย แต่สิ่งที่ทำให้ลาสงุนงงยิ่งกว่าก็คงเป็นเรื่อง ที่ไม่มีการขยายพรมแดนมาเป็นร้อยปีทั้งๆมีโอกาส ตั้งอาณานิคมและชุมชนใหม่ๆบนทวีปแห่งนี้ได้ตลอดเวลาแท้ๆ

……

.

.

.

.

.

.

หิมะตกโปรยปราย ยิ่งขึ้นเหนือความหนาวก็เริ่มมาเยือน การเดินทางอันหนาวเหน็บกลายเป็นเรื่องทั่วไปทันทีเมื่อขบวนรถม้าเดินทางมาได้ผ่านพ้นหลายวัน ดักลาสเริ่มที่จะผูกพันกับคนในขบวนเดินทางมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อหยุดพักทุกคนก็จะออกมาเตรียมทำอาหารกันอย่างมีความสุข… ความสุขในสายตาของเด็กน้อย เพราะในตาของชาวบ้านที่เดินทางนั้นดูเหมือนกับปลาที่ใกล้จะตายลงทุกวัน

เด็กๆวิ่งเล่นไปมาอย่างกับลิงน้อย ผู้ชายของขบวนออกล่าสัตว์ไม่ก็หาวัตถุดิบหายากตามทาง ดูแลรักษาความปลอดภัยจากสัตว์อสูร หลายคนภายในขบวนเดินทางเคยเป็นนักผจญภัย ซึ่งลาสมองเป็นทหารรับจ้างเสียมากกว่า ส่วนผู้หญิงก็ออกมาเตรียมของตั้งแคมป์ มันเป็นแบบนี้ทุกครั้งในช่วงพักของการเดินทาง ทุกอย่างดูสงบสุขไม่เหมือนชีวิตก่อนที่ต้องทำงานติดต่อกันหลายวันในโลกเก่าของลาส

สังคมที่ต้องทำงานกันอย่างบ้าคลั่งไม่มีเวลาพัก แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องกลัวตายทุกวินาทีเหมือนตอนนี้…. หลังจากเดินทางกันมาหลายวัน ทุกคนในขบวนเริ่มซึมซับและคุ้นเคยเรื่องราวที่ลาสเป็นคนเล่าไม่ว่าจะเป็นนิทานโลกเก่าๆที่เขาเคยอ่าน และสิ่งที่ทุกคนในขบวนเริ่มนับถือลาสก็คือเรื่องเล่าจากประวัติศาสตร์ในโลกเก่าของลาส โดยมีแนวคิดของเขาผ่านการเล่าเรื่อง จริงอยู่ที่ไม่ควรจะพูดเรื่องโลกเก่า แต่คนในขบวนเป็นชาวอาณานิคมนั้นไม่เคยที่จะเรียนหนังสือมาก่อน จึงทำให้ลาสคิดที่จะเผยแพร่ความรู้ง่ายทั่วไปที่สามารถใช้ได้กับพวกเขา และด้วยความที่ลาสเองก็ต้องเรียนอ่านหนังสือไปพร้อมกับเด็กๆในขบวนอีกด้วย

เสียงเพลิงไหม้จากแคมป์ไฟและไม้ที่แตกออกเพราะความร้อน ควันลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าที่มืดมิดเป็นสีเถามืิด กองไฟให้ความอบอุ่นแก่คนที่นั่งใกล้มัน ลาสกำลังนั่งอยู่ห่างออกจากผู้คน แต่ไม่ห่างจากขบวนเกินไป เขาให้คนในขบวนช่วยก่อไฟให้เขาอยู่คนเดียว มันอาจจะเห็นแก่ตัวอยู่มาก แต่ดักลาสไม่ใช่คนที่มีความรู้ในการเอาตัวรอดในป่า เขาใช้ชีวิตแบบคนเมือง ไม่ใช่ชีวิตชาวบ้านแถบชนบท หากเขาไปเที่ยวตั้งแคมป์ก็จะมีอุปกรณ์สมัยใหม่ตลอด

คืนนี้ลาสเป็นคนเฝ้าอยู่เวร มันเป็นหน้าที่ของผู้ชายทุกคนที่จะต้องปกป้องขบวนรถม้า แม้ว่าในตอนแรกจะมีแต่คนคิดกันว่า ชายหนุ่มเป็นหญิงสาว ก็เลยพยายามหักห้ามไม่ให้นั่งอยู่ในที่มืดคนเดียวแต่กว่าจะอธิบายว่าตัวเขาเป็นชายแม้ ก็ต้องเหนื่อยไปหลายวัน

บรรยากาศในตอนกลางคืนนั้นเงียบและสบายหู ดวงดาวที่ส่องสว่างเต็มท้องฟ้า มันทำให้ลาสรู้สึกผ่อนคลาย เวลาหนาวเย็นมีกองไฟแบบนี้ช่วยทำให้จิตใจของลาสสงบได้ ในโลกเดิมนั้นเขาคงไม่มีเวลาได้พักเช่นนี้มาก่อน… หากอยู่ในโลกเดิมเขาก็คงนั่งอ่านเอกสารและเตรียมพูดคุยกับคนในพรรคฝ่ายค้าน และทูตจากต่างประเทศ

เพราะงั้นเวลาจะคิดอะไรก็ต้องบรรยากาศตั้งแคมป์เขาใหญ่ในหน้าหนาวแบบนี้ล่ะ!

ฟูว… อุณหภูมิกับความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศภายนอกในตอนนี้ทำให้ควันจากปากของลาสถูกปล่อยออกมา

“อากาศหนาวๆแบบนี้ ทำเอาอยากดื่มกาแฟจะแย่อยู่แล้ว…” ลาสชะงัก “ว่าแต่จะคุณจะยื่นอยู่คนเดียวอีกนานไหมครับ มันหนาวหากเป็นไปได้ก็มานั่งกองไฟด้วยกันนะครับ”

“โดนจับได้ซะแล้วสิ” ไวท์เอ่ยขึ้นหลังต้นไม้ใหญ่ โดยโผล่มาเพียงแค่ใบหน้างาม

เธอออกจากจุดซ่อนและเดินตรงมานั่งตรงข้ามฝั่งที่ชายหนุ่มนั่งอยู่ เท้าคางจ้องมองไฟที่ไหม้ในกองเพลิงอย่างเงียบๆ ลาสโยนแท่งไม้ลงไปในกองเพลิง แต่จิ้งจอกสาวก็กล่าวคำพูดพร้อมลูกไฟเล็กที่ลอยเข้ามาเพิ่มในกองไฟของเขา ทำให้ดักลาสต้องถอนหายใจเล็กน้อยและกล่าวถาม

“เวทมนตร์… คุณไวท์ใช้มันยังไงครับ? ผมเห็นอาจารย์ของคุณใช้แล้ว มันน่าทึ่งมากๆเลยครับ” เขาอยากจะรู้การใช้เวท ไม่แน่เขาอาจจะใช้ได้เหมือนกับเธอเช่นกัน… หมายถึง เวทมนตร์เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงเสียหน่อย

“อ.. อะแฮ่ม มันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร อย่างไรก็ตาม ต้องเป็นผู้มีพรสวรรค์เท่านั้น… ไม่ใช่ทุกคนเกิดมาแล้วใช้เวทมนตร์ได้เลย หรือ โชคดีทุกคน” ไวท์ชะงัก “ตัวอย่างเอาเป็น [Sentir boule de feu]” สิ้นเสียง ลูกไฟขนาดเล็กโผล่ขึ้นมาบนมือของจิ้งจอกสาว

“การร่ายเวทนั้นต้องใช้ภาษาโบราณเท่านั้น มันขึ้นอยู่กับสมาธิของคนคนนั้นด้วย เป็นไงล่ะ! ฉันเก่งใช่หรือไม่? ปกติแล้วการสร้างลูกไฟแบบนี้ต้องใช้เวลาฝึกหลายสัปดาห์บางคนอาจจะหลายเดือนด้วยซํ่า” เธอกล่าวอย่างภูมิใจขณะที่เล่นกับลูกไฟให้ลอยไปมาระหว่างตัวเธอ

‘ ไม่ใช่แล้ว! มะ เมื่อกี้มันภาษาฝรั่งเศสนี่หว่า! ไหงมันกลายเป็นภาษาโบราณไปกัน อ๊ะ แต่เหมือนกับว่าเมื่อสักครู่ จะบอกว่าลูกไฟเล็ก แต่มันก็เล็กเกินไปนะ เท่าลูกอมเอง ’ ลาสจมอยู่ในความคิดอยู่ช่วงหนึ่ง

“อยากจะลองไหม? ฉันพอจะมีหนังสือพื้นฐานที่ตาแก่ให้มาอยู่นะ หากนายจะลองอ่านดู” ไวท์กล่าว ก่อนจะหยิบยื่นหนังสือเล่มไม่ใหญ่มากให้ชายหนุ่ม

แน่นอนว่าลาสก็ต้องอ่านอยู่แล้ว

โลกแฟนตาซีใครๆก็อยากจะใช้เวทมนตร์ใช่ไหม?

“งั้นเรา… ขอไปนอนก่อนก็แล้วกัน นายก็อย่าฝืนตัวเองมากนักล่ะ ใกล้จะถึงที่หมายแล้วหากนายนอนไม่พอแล้วไม่สบายเจ็บปวดขึ้นมา คงวุ่นวายไม่น้อยเลย” โยนหนังสือให้ลาสจิ้งจอกสาวลุกขึ้นกลับไปนอนบนรถม้า ปล่อยไว้เพียงแค่ชายหนุ่มกับหนังสือพื้นฐานเวทมนตร์

“หลักการพื้นฐานเวทมนตร์ศาสตร์” เปิดหน้าหนังสือด้วยมือ ชายหนุ่มใช้เวลานั่งอ่านล่วงเลยไปเกือบ 2 ชั่วโมง

การใช้เวทมนตร์นั้นขึ้นอยู่กับจินตนาการของผู้ใช้ผสมผสานกับสมาธิในการคิด ผู้ใช้เวทมนตร์ จะแบ่งออกเป็นสองส่วน คือ ผู้ใช้ และ นักเวท ผู้ใช้และนักเวทต่างกันอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

ผู้ใช้ หมายถึง ผู้ที่มีพลังเวท สามารถใช้ได้ในบทง่ายๆ พวกเขาเป็นเสมือนกับคนทั่วหากไม่ได้ฝึกฝน อย่างไรก็ตามต่อให้ฝึกเป็นหลายสิบปีก็ไม่สามารถข้ามขั้นผู้ใช้เป็นนักเวทได้ทันที

นักเวท พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้อิสระ แต่ก็ขึ้นอยู่กับการเรียนรู้ของพวกเขา นักเวทบางคนไม่สามารถร่ายบทที่ไม่เคยได้ฝึกมาก่อน จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม่พวกเขาถึงต้องเรียนรู้และวิจัยอยู่ตลอดเวลา

กลุ่มคนที่เป็นนักเวทล้วนแล้วเป็นคนกลุ่มน้อย น้อยมากในสังคมของอองโทราล มีข้อยกเว้นเผ่าพันธุ์บางเผ่าพันธุ์ นอกจากนั้นแล้วนักเวทและผู้ใช้มีอิทธิพลภายในและภายนอกอย่างมาก พวกเขาอยู่ตรงส่วนฐานะตำแหน่งที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทหาร อาจารย์ผู้ฝึกสอน ไปจนถึงผู้ให้คำปรึกษาของพระราชาส่วนพระองค์ เพราะว่านักเวทเป็นกลุ่มที่หาได้ยาก และมีจำนวนน้อย จึงเป็นที่ต้องการในหลายๆดินแดน

“หนังสือประวัติไม่ใช่หรือไง?” ลาสเปิดหน้ากระดาษหน้าวิธีใช้แทน

“เจอแล้ว!” บทเวทพื้นฐาน การร่ายผ่านภาษาโบราณ เรียนรู้จากหนังสือหรืออาจารย์ผู้สอน การร่ายนั้นต้องสร้างภาพในหัว และส่งคำขอผ่านภาษาโบราณด้วยความจริงใจ “ตัวอย่างๆ” ลาสใช่มือไล่หาคำพูดการร่ายในหนังสือ

ก่อนที่สายตาจะไปเห็นบทแห่งการรักษา [Guérir] บทแห่งการต่อสู้ [Sentez le cri de bataille] พื้นฐานที่ควรเรียนรู้คือการอ่านให้ออก ยกเว้นบางคนที่อ่านไม่ได้จะมีอาจารย์นักเวทที่สามารถอ่านได้มาช่วยสอน ส่วนมากจะเป็นกลุ่มคนชั้นสูงและกลุ่มพ่อค้าที่มีการศึกษา

ฮึ่ม.. ใช่จริงๆด้วย ดีจริงๆที่มีเพื่อนสอนให้จนอ่านออกเขียนได้ รู้สึกถูกหวยรางวัลที่หนึ่งยังไงก็ไม่รู้…

ชายหนุ่มลุกขึ้นจากที่ไม้ที่นั่งก่อนจะเดินออกห่างจากแคมที่พัก

“ไหนลองหน่อยสิ [Créer une cigarette et des briquets] ” ลาสเอ่ยพูดเป็นภาษาฝรั่งเศสด้วยความจริงใจ

… ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ถ้าการร่ายเวทเหมือนเกมที่พวกวัยรุ่นเล่นกันแล้ว ก็คงต้อง…  [Enlever l'arbre devant]”

… ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“การเป็นคนปกติมันช่างน่าคิดถึงจังเลยนะครับ~” ปิดหนังสืออย่างน้อยใจ ชายหนุ่มไม่รีรอ เดินกลับแคมป์ที่พักอย่างความผิดหวัง อย่างน้อยก็ไม่ต้องไปหาเรื่องเรียนเวท ลาสก็คิดให้แง่ดีเข้าไว้ ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้วิเศษก็ใช้ชีวิตได้…

……

.

.

.

.

.

.

ท้องฟ้าในช่วงหน้าหนาวนั้น มืดคลึมแต่ก็ยังสว่างพอที่จะรู้ว่าไม่ใช้ตอนกลางคืน หลังจากที่ทุกคนได้พักผ่อนกันจนอิ่มตัวก็ออกเดินทางกันต่อมทันที อากาศค่อนข้างเย็น หลายคนสวมใส่เสื้อขนแกะตัวหนากันหนาว เสื้อขนสัตว์ถูกนำออกมาใช้กันหลายคน โดยอย่างยิ่งกับเหล่าผู้ตั้งครรภ์และเด็กน้อย

“นั้นมัน” ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ลุงสมชายนิ่งเงียบแล้วจ้องไปข้างหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ไม่ช้าทุกคนก็สังเกตเห็นควันไฟ ที่ดูเหมือนว่าพึ่งจะเกิดขึ้น พวกลาสก็รีบหันหน้าไปข้างหน้ารถม้าเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่ามันไม่ใช่ไฟป่า

ลาสนึกบางอย่างขึ้นมาได้อย่างกระทันหัน  เขาหันไปหาชายชราผู้นำกลุ่มขบวนรถม้าและกล่าวอย่างตื่นกลัว

" ลุง!! ข้างหน้ามันเป็นหมู่บ้านที่เคยพูดกันใช่ไหมครับ “ แน่นอนว่าต้องเกิดเรื่องไม่ดีแน่ และดูเหมือนว่าจะเป็นลางที่ไม่ดีมากนัก

“แจ็ค ลงไปบอกทุกคนให้หยุดพักห่างหมู่บ้านเสีย พวกเราจะเป็นคนเข้าไปดูลาดเลาเอง” ไม่ตอบคำถามของดักลาส ชายชรากล่าวสั่งแจ็คด้วยนํ้าเสียงจริงจัง

ทุกคนในขบวนเกิดอาการแตกตื่นที่เห็นควันไฟ ต้องขอบคุณแจ็คที่รีบปลอบผู้อพยพ ไม่งั้นมีหวังพวกเขาได้แตกตื่นกันจนเป็นเหตุอย่างแน่นอน หลังจากทุกคนรับรู้คำสั่งก็ทำตาม ยกเว้นบางคนที่เป็นอยู่ในกลุ่มผู้ชาย พวกเขาหยิบจับอาวุธป้องกันตัวเองขึ้นมา หลายคนขอตามไปด้วยแน่นอนว่าถูกปฏิเสธ เพราะพวกเขาควรจะปกป้องขบวนรถม้ามากกว่า

กลุ่มของลาสแยกตัวจนมาถึงมาหน้าหมู่บ้านที่ลุงสมชายเคยเล่าบอกว่าเป็นที่หมายของการเดินทางในครั้งนี้ ดักลาสและลุงสมชาย

สภาพหมูบ้านตอนนี้กำลังวุ่นวายกันหมด มีชาวบ้านนอนตายกันอยู่หลายคน ลาสที่เห็นถึงกลับหันหนีก่อนจะถูกชายชราดึงเข้ามาหลบข้างรถม้า ข้างหน้ามีกลุ่มชาวบ้านกับอีกลุ่ม พวกเขาแต่งตัวเหมือนทหารรับจ้างและนักผจญภัยที่ลาสเห็นพบเห็นระหว่างทาง

พวกเขาถูกล้อมไว้หมดแล้ว..

กลุ่มพวกทหารรับจ้างก็เดินเข้ามาหารถม้าของลุงสมชาย พร้อมพ่อค้าที่ดูเหมือนว่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มทหารเหล่านี้ ทุกคนในกลุ่มถือปืนคาบชุดกันเกือบทุกคน ลาสแอบมองและคำนวนจำนวณคนเหล่านี้ น่ามีประมาณ 16 คนกว่าๆจะได้

“อรุณสวัสดิ์ท่านนักพเนจร มิทราบว่าพวกท่านมาทำอะไรกันหรือขอรับ?” พ่อค้าในเครื่องแบบสีขาวปกทอง หน้าตาออกไปทางคนยุโรป เขากล่าวสวัสดีทักทายชายชราบนรถม้า

ปืนคาบศิลาที่ถูกซ่อนเอาไว้ถูกหยิบขึ้นมาโชว์ให้กลุ่มของพ่อค้าได้เห็น สร้างความตกใจสะดุ้งกันทั่วหน้า ปืนคาบศิลาเป็นของที่หาไม่ได้ พวกมันเป็นสิ่งที่ใหม่เสียยิ่งกว่าอาวุธใดบนอาณานิคมแห่งนี ชาวอาณานิคมส่วนใหญ่นั้นยากที่จะมีติดตัว

“ข้ามาซื้อสมุนไพรหายากกับชุมชนชนพื้นเมือง เฉกเช่นปกติ ถ้าไม่รังเกียจ… ข้าขอถามอะไรจะได้หรือไม่?” ลุงสมชายตอบกลับด้วยนํ้าเสียงที่ดัง จนพ่อค้าที่ได้ถูกทำให้สะดุ้งจะกลับมาสนใจในตัวของลุงสมชายอีกครั้ง

“แน่นอนขอรับ!” พ่อค้าชะงัก “จริงๆแล้วพวกเราก็แค่มาเก็บกำไรก็เท่านั้-” ยังกล่าวไม่จบพ่อค้าก็ถูกลุงสมชายกล่าวขัด

“พวกเจ้ามิกลัวทหารชายแดนจับหรือไงกัน? ถึงมาจับชนพื้นเมืองไปเป็นทาสส่งออก ไม่ใช่กลุ่มของพวกเราเคยตั้งกฎว่าจะไม่ยุ่งพวกเขาหรือ?” คำพูดที่ทำให้พวกคนที่ล้อมรถไว้ถึงกับทำหน้าเครียด รวมไปถึงลาสที่แอบฟังสิ่งที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่ เขาไม่คิดว่าจะเจอกับการค้ามนุษย์แบบต่อหน้าต่อตาเช่นนี้

“เจ้า!” ยังไม่ได้จะพูดลุงสมชายก็ได้ลงจากเกวียนของตน แม้ว่าจะมีปากกระบอกปืนเข้าใส่ก็มิอาจททำให้ชายชราผู้นี้ได้มีสีหน้ากังวลแม้แต่น้อย ลุงสมชายกระโดดลงและเดินเข้าไปใกล้ๆพ่อค้าและกระซิบกันอย่างเบาๆ ก่อนจะเดินกลับที่ของตน ก่อนจะหันไปพูดอีกรอบ

“ข้าถือว่าเตือนแล้วนะ” เขากล่าว

“!? บะ บ้าจริง ช่างเรื่องชนพื้นเมืองก่อน ขออภัยจริงท่านจริงๆ! รีบหนีกันเถอะ!” พวกทหารรับจ้างมองหัวหน้าผู้ว่าจ้างอย่างไม่เชื่อสายตา ดูเหมือนว่าชายชราจะมีอำนาจกว่าพ่อค้าผู้นี้  หัวหน้าพ่อค้าที่รีบวิ่งไปอีกทาง พร้อมกับทหารรับจ้างที่เก็บของและวิ่งหนีตาม

มันจบเร็วมาก… คำถามผุดขึ้นมาในหัวจำนวนมาก ชายชราพูดอะไรกับพ่อค้าทาสกันแน่ ลาสคิดในใจ ลุงสมชายเข้าไปหาชนพื้นเมืองที่ถูกจับหมัดเอาไว้ ก่อนจะช่วยเหลือปลดปล่อยพวกชาวบ้าน และจัดการกับร่างของผู้ตายเหมือนเป็นเรื่องปกติของยุคสมัยนี้

ลาสที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้มากนัก ได้แต่มองกระโจมชนพื้นเมืองด้วยความรู้สึกเศร้า  ชาวบ้านส่วนใหญ่ทาสีที่หน้าเหมือนชาวอินเดียแดง พวกเขาล้วนแล้วเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งสัตว์ หูสุนัขเป็นเครื่องยืนยันได้

ขณะที่ชายหนุ่มกำลังเดินไปเดินมาก็มีเด็กเข้ามาทัก

“คือว่า! ขอบคุณมากๆ สหายของท่านสมชาย ที่พวกท่านได้มาช่วยชาวเราด้วยนะครับ ถ้าต้องการอะไร หรืออยากสิ่งใด สามารถกล่าวบอกได้เลยนะครับ!” จู่ก็มากล้มหัวให้ชายหนุ่มแล้วยังมาบอกขอบคุณทั้งๆที่ตัวเขาเองก็ยังไม่ได้ช่วยอะไรลุงสมชายเลยซักกะนิด

แน่นอนว่าการกระทำเช่นนี้มันทำให้ดักลาสสับสนอย่างมาก แต่รีบตั้งสติและตอบกลับชายหนุ่มชนพื้นเมืองไป

" มะ ไม่จำเป็นต้องหรอก เราไม่ได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์ แล้วปกติพวกนายไม่มีคนดูปกป้องหรอก… แบบว่า นักรบอะไรนั้น? “

“นักรบ… พวกเขาไปรวมตัวกับเผ่าอื่นแล้วครับ พวกเราเป็นกลุ่มไม่ต้องการต่อสู้ จึงถูกทิ้งเอาไว้ และรอพบกับท่านสมชายก่อนออกเดินทาง” เด็กหนุ่มพื้นเมืองกล่าวอย่างเศร้าโศก

“เอ่อ… ว่าแต่ช่วยพาไปรอบๆหมู่บ้านแห่งนี้จะได้หรือไม่? พอดีว่าฉันต้องรอให้ลุงสมชายดูแลคนบาดเจ็บให้เสร็จเสียก่อน” ลาสที่รู้ว่าจะกล่าวอะไร ก็เลยขอให้เด็กพื้นเมืองคนนี้ช่วยพาดูรอบหมู่บ้าน สายตาของดักลาสยังคงมองไปยังกลุ่มของลุงสมชายที่อยู่กับชาวบ้านที่บาดเจ็บ

“เช่นนั้น ผมยินดีที่จะแนะนำครับ!”

ระหว่างเดินสำรวจชุมชนชนพื้นเมืองกับเด็กหนุ่มครึ่งมนุษย์ เขาเริ่มที่จะแนะนำบ้านต่างๆ ทั้งสองใช้เวลาอยู่กับการชมหมู่บ้านที่เกือบถูกจับไปเป็นทาส จากที่ได้ยินโดยกลุ่มพ่อค้าตัวร้าย เด็กหนุ่มอ้าแขนแล้วหมุนตัวหยุดที่ตรงหน้าของดักลาส และกล่าวนามบ้านเกิดและชนเผ่าของเขา

ยินดีต้อนรับสู่ หมู่บ้าน ยูทาก้า


(แก้ไข 25/12/22)

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด