ตอนที่แล้วChapter 13-14 พายุตั้งเค้า, คืบหน้า
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 17-18 การทดสอบจำลองสถานการณ์ (1), การทดสอบจำลองสถานการณ์ (2)

Chapter 15-16 สร้างอุตสาหกรรมการเกษตร, ทำอาหาร?


Chapter 15: สร้างอุตสาหกรรมการเกษตร

ติ้ง!!!!

ขอแสดงความยินดีด้วย, ท่านโฮสท์ทำงานแรกสำเร็จแล้ว

ระบบตอบสนอง

แลนดอนตั้งใจว่าเขาจะตรวจดูรางวัลของเขาในตอนที่กลับถึงบ้านแล้ว สำหรับตอนนี้, เขาจำเป็นต้องไปดูผลลัพธ์กับตาตัวเองก่อน

แลนดอนมองวัลโด้ด้วยความตื่นเต้นอย่างเต็มที่ ถ้าตัดสินจากสภาพหน้าตาของเขา, แลนดอนมองออกว่าวัลโด้ร้องไห้ก่อนมาหาเขา เขาสันนิษฐานว่ามันคือน้ำตาแห่งความปลื้มปิติ

วัลโด้คุกเข่าลงเบื้องหน้าเขาและเกือบจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง

“ฝ่าบาท...ความคิดของท่านประสบความสำเร็จแล้วครับ...ดินไม่แห้งอีกต่อไปแล้ว...พะ..พวกเรา...(กระซิก)...พวกเราน่าจะสามารถผลิตอาหารที่เพียงพอสำหรับทุกคนได้แล้วครับ ขอบคุณมากจริงๆนะครับฝ่าบาท...ขอบคุณนะครับ...(กระซิก, กระซิก)” วัลโด้พูดในขณะที่พยายามกลั้นน้ำตาไปด้วย

“ลุกขึ้นเถอะ...พวกเจ้าทุกคนเป็นคนของข้า, ครอบครัวของข้า...การดูแลพวกเจ้าทุกคนนั้นถือเป็นความรับผิดชอบของข้า” แลนดอนพูดด้วยรอยยิ้ม

วัลโด้มองแลนดอนและรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น

นี่คือสิ่งที่ผู้ปกครองที่ดีควรจะเป็นสินะ

เขาคิด

“วัลโด้, พาพวกเราไปดูที่แปลงเกษตรหน่อยสิ”

“ครับฝ่าบาท”

วัลโด้พูดด้วยรอยยิ้ม

ในตอนที่พวกเขาไปถึงแปลงเกษตร, แลนดอนก็ตกใจ เขามองเห็นทุ่งข้าวสาลีโตขึ้นสูง, ถั่ว, ข้าวโอ๊ต, ข้าวไร, และมะเขือเทศงอกออกมาอย่างดงาม อันที่จริง, แปลงเกษตรทั้งหมดนี้ดูอุดมสมบูรณ์มากเลย

ในตอนที่ทุกคนเห็นเขากำลังเดินเข้ามา, พวกเขาก็รีบวิ่งเข้ามาหาเขา พวกเขาไม่กลัวที่จะพูดถึงสิ่งที่อยู่ในใจของตัวเองอีกต่อไปแล้ว อันที่จริงทุกช่วงกลางและปลายของสัปดาห์นั้น, แลนดอนได้มาเยี่ยมเยือนที่นี่อย่างสม่ำเสมอ

เขามักจะนำอาหารมาด้วยและพูดคุยกับพวกเขาเหมือนกับว่าเป็นครอบครัวเดียวกันจริงๆ ตอนแรกนั้นชาวสวนพากันตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก, แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ตระหนักได้ว่าราชาองค์นี้ไม่ได้สนใจเรื่องฐานะหรือชนชั้นเลย พวกเขาทุกคนคิดว่าเขาเป็นคนฉลาดหลักแหลม, ใจดี, มีเมตตาและถ่อมตัวเป็นที่สุด

“ฝ่าบาทครับ”

พวกเขาทุกคนทักทายและจ้องมาที่เขาเหมือนกับว่ากำลังมองเทพพระเจ้าอยู่

“ทุกคนเป็นยังไงบ้าง? ข้าได้ยินมาว่าครั้งนี้ผลผลิตจากสวนใช้ได้เลยนี่...นี่แสดงว่าทุกคนคงทุ่มเทกันหนักมากเลยสินะ...แต่ถึงอย่างนั้นก็อย่าลืมซะหล่ะว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือสุขภาพของตัวเอง”

แลนดอนพูดด้วยรอยยิ้ม

พวกเขาทุกคนยิ้มให้แล้วลีออเรย์ก็ก้าวมาข้างหน้า

“ฝ่าบาทครับ, วิธีของท่านมันคือปาฏิหารย์ชัดๆ ข้ารู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกลับมาเป็นเด็กฝึกทำสวนอีกครั้งเลย”

ลีออเรย์พูดอย่างตื่นเต้น

แลนดอนหัวเราะคิกคักในขณะที่มองดูใบหน้าตื่นเต้นของพวกเขา

“ไม่ต้องห่วง, ในอนาคตข้าจะสอนพวกเจ้าทุกอย่างเกี่ยวกับการทำเกษตร แต่ตอนนี้, พวกเราจำเป็นต้องหาคนมาเพิ่มตรงจุดให้ได้อย่างน้อย 250 คนก่อน พวกเราจะจ้างคนโดยไม่จำกัดอายุ แต่ก็แน่นอนว่าเด็กที่อายุต่ำกว่า 15 ปี, ผู้หญิงและผู้ใหญ่ที่อายุมากกว่า 38 ปีนั้นจะไม่ได้รับอนุญาตุให้ทำงานแบกหามหรือแจกจำหน่ายสินค้า พวกเขาจะทำงานแค่ในลานเกษตรเท่านั้นเพื่อความปลอดภัยและสุขภาพของพวกเขา”

ทุกคนพยักหน้าเป็นการเห็นด้วย ถึงยังไง, มันก็คงจะเป็นเรื่องยากสำหรับคนแก่, ผู้หญิงหรือคนที่เด็กมากๆในการแบกกระเป๋าพืชผักหนักๆ

“อุตสาหกรรมอาหารนี้จะมีลีออเรย์เป็นผู้ดูแลกิจกรรมการเกษตรในภาพรวม แพทจะเป็นคนทำหน้าที่สอนคนงานในการปลูกพืชพันธุ์และดูแลดิน, ในขณะที่วัลโด้จะเป็นหัวหน้าในการควบคุมการผลิตและการจัดเก็บสินค้าของเรา ซึ่งข้าจะให้แพทมีลูกน้องอยู่ภายใต้การดู 150 คน, ในขณะที่วัลโด้จะมีลูกน้อง 100 คน”

เป็นอีกครั้งที่พวกเขาทุกคนคิดว่าการจัดแจงหน้าที่ตามนี้ฟังดูมีเหตุผล

“อีกอย่างนึง, เมื่อจบการทำงานของแต่ละวัน, สินค้าทั้งหมดจะถูกเก็บเอาไว้ในคลังที่อยู่ที่ดินที่สองทางซ้ายของแปลงเกษตรและจะต้องมีการบันทึกจำนวนเอาไว้ด้วย นอกจากนี้, วัลโด้ข้าขอมอบหมายให้เจ้าเป็นคนแจกจ่ายสินค้าไปยังร้านค้าต่างๆที่อยู่ภูมิภาคตอนกลาง พวกเราจะตั้งราคาที่สมเหตุสมผลสำหรับอาหารทุกชนิด, เพื่อให้ทุกคนสามารถซื้อพวกมันได้ หลังจากนี้ข้าจะส่งเกวียนมาให้อุตสาหกรรมการเกษตรแห่งนี้จำนวนสิบเกวียน จงใช้เกวียนในการแจกจ่ายสินค้าไปยังคลังเก็บและร้านค้าในภูมิภาคตอนกลางซะ”

“รับบัญชาฝ่าบาท”

วัลโด้ตอบกลับอย่างภาคภูมิใจ

“ข้าจะส่งพ่อครัว 5 คนและส่งการ์ดอีก 20 คนมาประจำการที่นี่ด้วยเพื่อคุ้มครองพวกเจ้าและเพื่อให้พวกเจ้าทุกคนได้มีช่วงพักรับประทานอาหารกลางวันในที่ดินแห่งนี้”

พวกเขาทุกคนมีความสุขที่อย่างน้อยพวกเขาก็มีสถานที่ใกล้ๆในการหาอาหารกิน มันเป็นเรื่องที่รู้กันว่าระยะทางระหว่างพื้นที่เกษตรกับภูมิภาคตอนกลางของเบย์มาร์ดนั้นอยู่ห่างกันในระดับที่ไกลใช้ได้เลย

“สุดท้ายนี้, พวกเจ้าทุกคนจะได้รับเงินเดือนทุกสิ้นเดือนจากลีออเรย์ โดยคนงานทุกคนจะได้รับคนละ 400 เหรียญทองแดง, ระดับหัวหน้าจะได้รับ 500 เหรียญทองแดงและคนคุมงานทั้งหมดจะได้รับ 600 เหรียญทองแดง ซึ่งก็แน่นอนว่าอาหารของพวกเจ้านั้นจะถูกหักออกจากเงินเดือน, โดยคิดที่จานละ 5 เหรียญทองแดง”

พอได้ยินเช่นนี้, พวกเขาก็รู้สึกตกใจจริงๆ ชาวเกษตรทุกคนในอาณาจักรนั้นได้รับแค่ 250 เหรียญทองแดงต่อเดือนเท่านั้น, แต่ราชาของพวกเขาคนนี้กลับให้มากกว่า...พวกเขาปริ่มไปด้วยความสุขและรู้สึกเคารพเขาจริงๆ พวกเขาสาบานจากใจจริงว่าพวกเขาจะทำงานหนักขึ้นเป็นสองเท่าและจะทำชีวิตใหม่ของพวกเขาให้ดีที่สุด

เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนนั้น, พวกเขาได้ยินข่าวที่ชาวเหมืองพูดกันเกี่ยวกับความเมตตาที่พวกเขาได้รับจากราชาองค์นี้ เขาให้อาหาร, ให้งานและทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยและได้รับการดูแล

ตอนแรกพวกชาวสวนนั้นรู้สึกอิจฉา, แต่ตอนนี้พวกเขากลับมาเชิดหน้าได้อีกครั้งนึงแล้ว

เขาไม่เป็นที่ชื่นชอบในอาณาจักรแล้วยังไงหล่ะ? เขานั้นเป็นคนที่ใจดีและซื่อตรงกับพวกเขาทุกคนอย่างแท้จริง

อันที่จริง, มีบางคนคิดไปถึงขั้นที่ว่าแลนดอนเป็นเทพผู้กลับมาเกิดเพื่อช่วยเหลือเบย์มาร์ดให้เติบโตขึ้นด้วยซ้ำ

แลนดอนมองสีหน้าปริ่มสุขของพวกเขาแล้วยิ้มออกมา

“เอาหล่ะ, ตอนนี้ทุกคนตามข้าไปที่ที่ดินที่สองกันเถอะ, ข้าจะชี้แนะให้พวกเจ้าดูว่าอุตสาหากรรมอาหารในอนาคตนั้นจะเป็นยังไง”

ในตอนที่พวกเขามาถึงที่ดินที่สอง, แลนดอนก็พาเดินดูรอบๆในขณะที่อธิบายว่าจะนำที่ดินมาใช้งานยังไง

เขาได้บอกพวกเขาเกี่ยวกับแผนการในอนาคตด้วย, เพื่อที่พวกเขาจะได้รู้ว่าพวกเขากำลังจะแชร์ที่ดินกับฝ่ายอื่นๆในเร็วๆนี้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเข้าใจแผนการของแลนดอนแค่ครึ่งเดียว, แต่พวกเขาก็เชื่อในตัวเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ขัดข้องกับการที่ต้องแบ่งปันที่ดินกับฝ่ายอื่นๆ แค่ชายคนนี้แก้ปัญหาดินแห้งแล้งได้ก็ถือว่าไม่ธรรมดาแล้ว...พวกเขาจะพูดอะไรได้อีกหล่ะ เขากำลังทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อทำให้มั่นใจว่าพวกเขาทุกคนจะมีอาหารตกถึงท้อง

แลนดอนวางแผนว่าจะจัดทำส่วนประมง, ส่วนผลิตอาหารกระป๋องและอื่นๆด้วย...แต่นั่นคงจะเป็นเรื่องในอนาคต ดังนั้นเขาจำเป็นต้องทำให้พวกเขาเข้าใจการแบ่งปันที่ดินกับคนอื่นๆก่อน

เขาได้จัดแบ่งอาคารให้กับฝ่ายเกษตรด้วยและบอกพวกเขาให้เก็บอาหารในห้องที่ต่างกันโดยอิงตามประเภทของอาหาร แล้วเขาก็แสดงเมล็ดพันธุ์ทั้งหมดที่เขาพบในที่ดินแห่งนี้ให้ทุกคนดูและบอกให้พวกเขานำพวกมันไปปลูกเพิ่มอีก ในส่วนของเมล็ดพันธุ์ที่เหลือที่เขาพบในอีกที่ดินนึงนั้นเขาคิดว่าจะเก็บเอาไว้ใช้ในภายหลัง

ลีออเรย์ได้รับปากกับเขาเอาไว้ว่าในอีกสามวันข้างหน้า, เขาจะรวบรวมคนมา 250 คนเพื่อเริ่มดำเนินอุตสหกรรมการเกษตรแห่งนี้

ซึ่งแลนดอนก็ทำได้แค่รอเท่านั้น

*********************

Chapter 16: ทำอาหาร?

ในตอนที่แลนดอนกลับมาถึงห้องของเขา, เขาก็เปิดูรางวัลจากการทำภารกิจแรกสำเร็จ

ระบบ, แสดงค่าสถานะของฉันกับรางวัลให้ดูหน่อย

• ชื่อโฮสท์: แลนดอน บาร์น

• อายุ: 15 ปี

• สถานะ: ราชาของเบย์มาร์ด

• เลเวล: มือใหม่ (เลเวล 1)

• สภาพร่างกายปัจจุบัน: สุขภาพดี

o ฟื้นฟูดินที่แห้งแล้งและจัดทำแผนที่ดินแดนด้วยความช่วยเหลือของระบบสำเร็จ

o รางวัล: ความรู้ในการทำผงดินปืนและการสร้างปืนใหญ่ นอกจากนี้ท่านโฮสท์จะได้รับแต้มพัฒนา 100 แต้ม

o สรุปแต้มที่ได้รับทั้งหมด: แต้มพัฒนา(DP) 100 แต้ม

มีข้อความอีกชุดนึงแสดงขึ้นมาในตอนที่เขาอ่านข้อมูลจบ

[จะรับรางวัลตอนนี้เลยหรือไม่: รับ/ไม่รับ]

แลนดอนรับมันและรู้สึกได้ในทันทีว่ามีข้อมูลกำลังหลั่งไหลเข้ามาในสมองของเขา หลังจากใช้เวลาไป 30 นาทีเพื่อจำแนกปริมาณข้อมูลจำนวนมหาศาลที่ได้รับมาจากระบบ, เขาก็ตัดสินใจที่จะดูภารกิจต่อไป

o ภารกิจ: ท่านจะสามารถปกป้องเทคโนโลยีของตัวเองได้ยังไง, ถ้าอาณาจักรของท่านมีการป้องกันที่อ่อนแอเช่นนี้? จงใช้รางวัลที่ได้รับมาใหม่ในการสร้างและทดสอบแสนยานุภาพของปืนใหญ่สำหรับปกป้องอาณาจักรของท่าน

o รางวัล:

o คนของท่านจะใช้ชีวิตในบ้านอิฐมอนอย่างงั้นหรอ? ในฐานะอาณาจักรแห่งอนาคตที่มีเทคโนโลยีอันทันสมัยนั้น, นี่มันคือการหยามกันชัดๆ ดังนั้น, ท่านโฮสท์จะได้รับความรู้ทั้งหมดเกี่ยวกับการผลิตซีเมนต์

o ท่านโฮสท์จะได้รับตำราอาหารเทพ 20 อย่างและเครื่องเทศ 5 ชนิดในการประกอบอาหาร ในอนาคต, ท่านโฮสท์จะเป็นต้องสร้างเครื่องปิ้งขนมปัง, ไมโครเวฟ, เตาอบและอื่นๆอีกมากมาย, คนของท่านควรจะรู้ว่าทำไมพวกมันถึงจำเป็นในชีวิตประจำวันของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจำเป็นต้องเล็งเห็นถึงคุณค่าของอุปกรณ์ทำอาหารเหล่านี้ก่อน, เพื่อเบิกทางสู่วิธีการทำอาหารใหม่ๆและตอบสนองความต้องการของพวกเขา

o ท้ายที่สุด, ท่านโฮสท์จะได้รับแต้มพัฒนา(DP) 250 แต้มและแต้มเทคโนโลยี(TP) 1,000 แต้ม

o เส้นตาย: ไม่กำหนดขอบเขตเวลา

แลนดอนมองดูภารกิจด้วยความงุนงงอย่างเต็มที่ รางวัลของภารกิจใหม่นั้นสร้างความตกตะลึงให้เขาจริงๆ

มันไม่ใช่ว่าเขามีปัญหากับการทำอาหาร แต่ในตอนที่คนเราพูดถึงเทคโนโลยีนั้น, ก็คงจะนึกถึงของจำพวกระบบ AI, แล็ปท็อป, รถยนต์อะไรพวกนี้...คงไม่มีใครพูดถึงของอย่างพวกอาหารหรอก

แต่ตอนนี้พอเขามาคิดถึงมัน, ถ้าเขาสามารถคิดหาเครื่องเทศและอาหารรูปแบบที่ต่างออกไปได้, ผู้คนก็จะอยากกินมันทุกวัน แล้วนั่นก็จะทำให้พวกเขาพร้อมใช้อุปกรณ์ทำอาหารอย่างเช่นกระทะ, เตาอบ, เตาย่างและอื่นๆอีกมากมาย ดังนั้นสรุปเลยก็คือ, การทำอาหารก็ยังคงเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีในยุคสมัยนี้อยู่ดี ถึงยังไง, คนเราก็อยากได้สิ่งที่ทำให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้นและสะดวกสบายยิ่งขึ้น

การทำให้พวกเขารู้ถึงวิธีการทำอาหารตำหรับเทพพวกนี้ด้วยวิธีการทำอาหารแบบหยาบๆของพวกเขา, จะต้องสร้างความพึงพอใจให้พวกเขาได้อย่างแน่นอน

และในตอนที่ของจำพวกกระทะ, ไมโครเวฟ, เครื่องปิ้งขนมปัง, เตาอบและอื่นๆถูกคิดค้นออกมานั้น, พวกเขาก็จะมองเห็นถึงความหยาบกระด้างในวิธีการทำอาหารของพวกเขาและเข้าใจถึงความสำคัญของเทคโนโลยี พวกเขาจะเล็งเห็นว่าอุปกรณ์พวกนี้สามารถช่วยประโยชน์เวลา, ช่วยให้การทำอาหารมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและเปิดโลกใหม่ในอุตสาหกรรมอาหารได้

ที่สำคัญกว่านั้น, อุปกรณ์พวกนี้จะต้องสามารถเข้าถึงทุกคนได้...ไม่ใช่แค่ราชวงศ์หรือพวกตระกูลใหญ่โต ชนชั้นรากหญ้าเองก็ต้องเข้าถึงพวกมันได้เหมือนกัน, และในไม่ช้าก็เร็ว, พวกเขาจะมองว่างอุปกรณ์พวกนี้เป็นสิ่งใช้จำเป็นสำหรับชีวิตประจำวันของพวกเขา

เป็นเวลาพักนึงที่แลนดอนคิดว่าระบบนี้พยายามจะล้างสมองคนแน่ๆเลย ไม่สิเขาหมายถึง, เขาชอบเทคโนโลยี, ชอบทั้งหมดเลย และเขาก็เห็นถึงความสำคัญของมัน...แต่ทำไมเขาถึงไม่สามารถสร้างอุปกรณ์ทำอาหารก่อนที่จะแนะนำสูตรอาหารเทพพวกนี้ได้หล่ะ?

ระบบอยากให้คนพวกนี้โหยหาอาหารพวกนี้ก่อน ยิ่งพวกเขาโหยหามากเท่าไหร่, พวกเขาก็จะยิ่งลองทำอาหารซ้ำไปซ้ำมาเรื่อยๆ

และการที่จะเป็นแบบนั้น, พวกเขาจะต้องผ่านการใช้เวลาที่ยาวนานในการทำอาหารแค่จานเดียวก่อน และในตอนที่แลนดอนทำอุปกรณ์ที่ช่วยลดเวลาการทำอาหารขึ้นมา, พวกเขาก็จะเสพติดพวกมันในทันที

ระบบแค่ต้องการให้ผู้คนสรรเสริญเทคโนโลยีจากใจจริง ซึ่งพอมาถึงจุดนี้แลนดอนก็คงจะไม่แปลกใจเลยถ้าในอนาคตจะมี ‘โบสถ์เทคโนโลยี’ ผุดขึ้นมาเป็นศาสนาใหม่

อันที่จริงแลนดอนสังเกตเห็นว่าผู้คนที่นี่ไม่รู้จักวิธีการทอดแบบน้ำมันท่วมด้วยซ้ำ พวกเขารู้จักอาหารทอด, แต่พวกเมนูทอดต่างๆนั้นจะถูกเสิร์ฟแค่ในวังและภัตตาคารระดับสูงหรือไม่ก็พวกตระกูลใหญ่ๆเท่านั้น

แต่ถึงจะมีวิธีการทอดอยู่พวกมันก็เข้าขั้นเลวร้าย, มันเหมือนกับพวกเขากลัวการทอดของอย่างอื่นนอกจากข้าว, ไข่และเนื้อสัตว์ แลนดอนคิดว่ายุคสมัยนี้ดูคล้ายกับยุคกลางหลังคริสต์ศตวรรษที่ 10 ของโลกปัจจุบัน

เขาแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ยอมทอดพวกผักหรืออะไรอย่างอื่นบ้าง? และสิ่งที่ทำให้แลนดอนสงสัยก็คือปลานั้นมักจะถูกนำไปต้ม, อบหรือไม่ก็ย่างแต่ไม่เคยถูกนำมาทอดเลย ที่เขาต้องการจะสื่อก็คือ...ถ้าในเมื่อสามารถทอดเนื้อสัตว์ได้, แล้วทำไมถึงไม่ยอมทอดปลากัน? นี่มันคือตรรกะแบบไหนเนี่ย

แต่เขาก็รู้ว่าเขาไม่สามารถโทษพวกเขาทั้งหมดได้...ถึงยังไง, การทอดก็พึ่งโด่งดังขึ้นมาในอาณาจักรนี้เมื่อ 60 ปีก่อน

คุณปู่ผู้ล่วงลับของแลนดอนที่เขาไม่เคยเจอเลยสักครั้งนั้น, เคยล่องเรืองไปยังอาณาจักรเทริคิวของทวีปพีโน่ ที่นั่นเขาได้ลิ้มลองเนื้อทอดและเขาก็ตกหลุมรักรสชาติของมันในทันที

หลังจากนั้นเขาก็ส่งคนครัวกลุ่มนึงไปเรียนรู้วิธีทอดอาหารจากพวกเขา ซึ่งคนครัวเหล่านี้ก็กลับมาหลังจากผ่านไป 6 เดือนและได้ถ่ายทอดวิชาให้กับคนครัวคนอื่นๆในเมืองหลวงของอาคาดิน่า และพอเวลาผ่านไปเรื่อยๆ, การฝึกฝนนี้ก็กระจายไปสู่คนครัวคนอื่นๆ, แต่คนครัวส่วนใหญ่นั้นไม่เคยทดลองอะไรที่อยู่เหนือกว่าสิ่งที่ตัวเองรู้เลย

แลนดอนสันนิษฐานว่าอาจจะมีคนครัวบางคนที่ทำการทดลอง, แต่ก็คงจะล้มเหลวในตอนที่ลองทอดผัก, ปลาและอาหารอื่นๆ ดังนั้นพวกเขาจึงสรุปว่าอาหารพวกนี้ไม่สามารถนำมาทอดได้ ซึ่งพวกเขาน่าจะทอดมันโดยใช้ระยะเวลาเท่ากับการทอดเนื้อ ซึ่งก็แน่นอนว่า, ผลลัพธ์ของมันจะต้องออกมาพินาศ...อาหารจะไหม้เป็นตอตะโก

ยิ่งเขาคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่, เขาก็ยิ่งเปลี่ยนความคิดไปเรื่อยๆ มันไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เข้าใจตรรกะ, แต่มันก็แค่พวกเขานั้นมีความเย่อหยิ่งอยู่ในตัว ถึงยังไงการมองเห็นก็คือการเชื่อ

ที่โลกปัจจุบันเอง, ผู้คนก็เคยเชื่อว่าโลกแบนจนกระทั่งมีคนพิสูจน์ว่าพวกเขาคิดผิด แล้วพวกเขาก็เคยเชื่อว่าคนที่หัวใจหยุดเต้นแล้วไม่สามารถช่วยเหลือได้, จนกระทั่งมีคนทำการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจสำเร็จเป็นครั้งแรกในโลก ถ้ามีคนบอกแลนดอนว่าพวกเขาสามารถหายใจในอวกาศได้, เขาก็คงจะบอกว่าพิสูจน์ให้ดูก่อนสิถึงจะเชื่อ

มนุษย์จะเชื่อในสิ่งที่เห็น ดังนั้นในตอนที่คนครัวพวกนี้ทำการทดลองล้มเหลว, พวกเขาก็พูดได้แค่ในสิ่งที่พวกเขาเห็นและเชื่อในผลลัพธ์นั้น

ถึงยังไงในโลกปัจจุบันเอง, มันก็ต้องใช้เวลาจนถึงศตวรรษที่ 13 ก่อนที่ผู้คนจะรู้ว่าอาหารอื่นๆสามารถนำมาทอดได้ และมันก็ต้องผ่านไปจนถึงศตวรรษที่ 16 ก่อนที่ผู้คนจะรู้ว่าปุ๋ยนั้นเป็นสิ่งที่ดีกับพืช สรุปง่ายๆเลยก็คือถ้าคุณไม่สามารถหาหลักฐานที่เป็นรูปธรรมมาสนับสนุนในสิ่งที่คุณอ้างได้, ก็จะไม่มีใครเชื่อคุณ

กลับมาที่เรื่องทำอาหาร, ผู้คนส่วนใหญ่นั้นจะแค่ย่างหรือต้มอาหารเหนือกองไฟเป็นระยะเวลานาน จากนั้นพวกเขาก็จะเพิ่มใบไม้ต่างๆ, น้ำผึ้งและเกลือเป็นเหมือนกับเครื่องเทศ แลนดอนคิดว่าการย่างนั้นเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เช่นเดียวกับตู้เย็น บางคนไม่ได้ใช้เกลือในการทำอาหารด้วยซ้ำเพราะพวกมันมีราคาสูงมาก

อุปกรณ์ทำอาหารในยุคสมัยนี้เองก็มีบางอย่างที่ดูน่าขนลุกและไม่ได้นำมาใช้กันในทุกวันนี้ ยกตัวอย่างเช่นหม้อของพวกเขานั้นไม่มีหูจับและมันก็มีขนาดใหญ่เกินความจำเป็น พวกมันดูเหมือนกับหม้อปรุงยาของแม่หมดในหนังแฟนตาซีเลย

สิ่งเดียวที่แลนดอนโอเคก็คือวิธีการอบของพวกเขา พวกเขาสามารถทำขนมอบ, พายและพุดดิ้งประเภทต่างๆที่มีรสชาติหวานอร่อยได้

ซึ่งสิ่งที่พวกเขาใช้อบก็คือเตาที่ทำมาจากอิฐก้อน อย่างไรก็ตาม, พวกมันมีราคาสูงจริงๆสำหรับสามัญชนธรรมดา ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจแล้วว่าจะทำเตาอบที่ทำงานด้วยไฟฟ้าเหมือนกับที่หาได้ในโลกปัจจุบัน

เตาอบส่วนใหญ่นั้นจะมีอยู่แค่ในบ้านใหญ่ๆหรือร้านขนม และในเมืองที่ใหญ่และมีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาหน่อย, ก็จะถือเป็นเรื่องปกติที่ชุมชนจะแบ่งสิทธิความเป็นเจ้าของของเตาอบกันเพื่อทำให้มั่นใจว่าทุกคนจะสามารถเข้าถึงการทำขนมปังได้แทนที่จะเป็นของสำหรับใช้ส่วนตัว

โถ่...หนทางยังอีกยาวไกลเลยนะเนี่ย...เราเห็นถึงความจำเป็นของอาหารพวกนี้แล้วหล่ะ...อยากรู้จังนะว่าอีกนานแค่ไหนกว่าเราจะได้กินพิซซ่าอีกครั้ง?

แลนดอนคิดในขณะที่ถอนหายใจอย่างจนปัญญา, เขากำลังนึกถึงความล้าหลังของยุคสมัยนี้

แค่คิดถึงปริมาณงานที่เขาต้องทำในอนาคต, มันก็ทำให้เขาปวดศรีษะขึ้นมาหน่อยๆแล้ว ทำไมเขาถึงถูกส่งมายังยุคสมัยที่ไล่เลี่ยกับศตวรรษที่ 18 ของโลกปัจจุบันนะ? ช่างน่าละเหี่ยใจจริงๆ

จากนั้นแลนดอนก็รีบเข้านอน, เพราะเขาต้องทำการทดสอบทหารของเขาเป็นครั้งแรกในวันพรุ่งนี้

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด