ตอนที่แล้วบทที่ 24 ของขวัญราคาถูก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 26 พาหนิงชิงเชวี่ยกลับบ้าน

บทที่ 25 เต้นรำครั้งแรก


“ฉันสอนนายได้นะ”  ซูจิ้งเหวินที่นิ่งงันไปพักหนึ่งได้สติกลับมา  เธอเองก็รู้ดีว่านี่เป็นแค่ข้ออ้างของเธอเท่านั้น  ไม่อย่างนั้นถ้าคนอื่นๆ เข้ามาแทรกกลางชวนเธอไปเต้นก่อนล่ะก็  เธอคงจะปฏิเสธคนเหล่านั้นได้ลำบาก

แน่นอนว่าหลังจากที่ซูจิ้งเหวินพูดจบผู้คนรอบๆ ก็หันมามองเธอทันที  สอนเขาเต้นรำ?  เวลาสั้นๆ แค่นี้จะเรียนได้หรือ?

“จิ้งเหวิน  เอาอย่างนี้เป็นไง  รอบแรกนี้ให้เริ่มไปก่อน  ผมจะเป็นคู่เต้นให้เอง  อีกสักพักผมจะเรียกนักเต้นมืออาชีพมาสอนเย่โม่ดีไหม”  ผู้พูดกลับเป็นวังเผิงที่เดินเข้ามาตอนไหนไม่รู้

เขามาที่นี่ได้อย่างไร?  เมื่อเย่โม่หันไปเห็นวังเผิง  ตัววังเผิงเองก็มองมาทางเขาด้วยแววตาเย็นเยียบเช่นกัน  นัยของการข่มขู่ตักเตือนฉายชัดในดวงตาของวังเผิง

เย่โม่เริ่มระมัดระวังตัวยิ่งขึ้น  ความรู้สึกนี้ไม่ได้มาจากความเป็นอริของวังเผิง  แต่เพราะมือของวังเผิงหายดีแล้วเขาจึงรู้สึกระแวงขึ้นมา  แน่นอนว่าเย่โม่รู้จักทักษะของตัวเองดี  ใช้พลังปราณเพียงเล็กน้อยเข้าไปฝังในกระดูก  ระดับวิทยาการทางการแพทย์ในปัจจุบันไม่มีทางขจัดปราณในข้อมือของเขาได้แน่ๆ

ถ้าอยากรักษาข้อมือนั้นให้หายขาดล่ะก็  อย่างน้อยก็ต้องได้ปรมาจารย์ด้านอวัยวะภายในที่เข้าถึงลมปราณแล้ว  หรือไม่ก็จอมยุทธเท่านั้นช่วยรักษาให้

มีปรมาจารย์แบบนี้ด้วยหรือ?  ดูท่าหลังจากนี้เขาต้องระวังตัวมากขึ้นแล้ว

เขายังไม่อาจวัดระดับความสามารถของยอดฝีมือในโลกนี้ได้ ในใจเขาจึงเกิดระแวงขึ้นมา  ถึงแม้ที่แห่งนี้จะไม่เคยมีผู้ฝึกปราณปรากฏขึ้น  ทว่าเรื่องแบบนี้ใครจะยืนยันได้กัน?  เขาคงไม่ใช่คนเดียวที่ซ่อนตัวภายในเมืองหรอก  อีกอย่างผู้ฝึกวิทยายุทธทั่วๆ ไปเองก็มีอยู่ส่วนหนึ่งที่ฝึกจนถึงขั้นสูงสุดแล้ว  ผู้ฝึกปราณทั่วๆ ไปคงไม่ใช่คู่มือของคนเหล่านี้  ถึงแม้ตัวเย่โม่เองจะฝึกฝนทั้ง 2 ด้าน  แต่ก็ไม่อาจประมาทได้  ท้ายที่สุดแล้วระดับยุทธของเขาก็ยังถือว่าต่ำมากอยู่ดี

“ไม่จำเป็นหรอก  เย่โม่  ให้ฉันสอนนายดีไหม?”  ซูจิ้งเหวินปฏิเสธข้อเสนอของวังเผิงทันที

เย่โม่ยิ้มบางๆ ถ้าหากวังเผิงไม่มาเขาก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเรียนเต้นรำพวกนี้ได้ภายใน 15 นาทีหรือเปล่า  แต่ในเมื่อวังเผิงเดินเข้ามาหาและยังเพ่งเล็งมาที่เขาแบบนี้ ตัวเขาเย่โม่ก็ไม่ใช่คนขี้ขลาด  ถ้าวังเผิงยังกล้ามาหาเรื่องเขาล่ะก็  เย่โม่ก็ไม่ว่าอะไรถ้าจะต้องปะทะกับปรมาจารย์เบื้องหลังของวังเผิงดูสักครั้ง

“เอาสิ!  แต่ไม่ต้องสอนหรอก  พูดทฤษฎีให้ผมฟังรอบเดียวก็โอเคแล้ว”  เมื่อวังเผิงได้ยินแบบนั้นเขาก็ยิ่งรำคาญไอ้คนบ้านนอกนี่ยิ่งขึ้นไปอีก  สอนแค่รอบเดียวก็เป็นแล้ว?  คนรอบๆ ไม่มีใครเชื่อสักคนเดียว  แม้แต่ตัวซูจิ้งเหวินเองยังไม่เชื่อเลย  แต่เธอเองแค่ต้องการให้เย่โม่ช่วยเธอทำหน้าที่นี้ให้เสร็จๆ ไปก็เท่านั้น

แต่ในเมื่อเย่โม่พูดมาแบบนี้  ซูจิ้งเหวินจึงพูดถึงการเต้นรำแบบวอลซ์ให้เย่โม่ฟัง  แถมยังสาธิตท่าทางการเคลื่อนไหวให้เย่โม่อีกด้วย

เมื่อเย่โม่ฟังซูจิ้งเหวินพูดจบเขาก็พูดยิ้มๆ  “ทำได้ล่ะ”

เวลานี้เองที่เพลงแรกได้เริ่มต้นขึ้น...

คนอื่นๆ ล้วนมองมายังเย่โม่และซูจิ้งเหวินที่ก้าวเข้าไปในฟลอร์เต้นรำ  พวกเขาเหล่านี้อยากจะรู้ที่ว่าทำได้ของเย่โม่นี่เป็นแบบไหนกันแน่  มีแม้กระทั่งคนที่รอให้เย่โม่แสดงความน่าอับอายออกมา

หนิงชิงเชวี่ยมองเย่โม่อย่างเงียบๆ  เธอรู้สึกได้ว่ารอยยิ้มของเย่โม่นั้นแสดงออกถึงความมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างมาก

เย่โม่จับมือของซูจิ้งเหวินเอาไว้  กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยเข้าจมูกทำให้เย่โม่เกิดความรู้สึกที่ยากจะบรรยายออกมา  นอกจากครั้งที่อาจารย์พาเขาหนีตอนนั้นแล้ว  เดิมทีเขาไม่เคยใกล้ชิดกับผู้หญิงขนาดนี้มาก่อน  หัวใจของเขาเริ่มเต้นแรงขึ้น

ถึงแม้ครั้งที่แล้วอาจารย์ลั่วอิ่งจะกอดแล้วพาเขาหนีออกมาก็จริง  แต่ช่วงเวลาที่ว่านั้นก็สั้นนัก  เขายังไม่ทันได้ตอบสนองอะไรก็หมดสติไปเสียก่อน  แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน  เขาจับมือซูจิ้งเหวินด้วยความตั้งใจของเขาเอง   เขาทำแม้กระทั่งพลิกร่างของซูจิ้งเหวินเต้นหมุนไปมา

“เย่โม่  นายหลอกกันงั้นหรือ  เมื่อกี้ยังพูดอยู่เลยว่าเต้นไม่เป็น  แต่ที่นายเต้นตอนนี้ถือว่าไม่แย่เลย   ฉันไม่เชื่อแน่ๆ ว่าแค่ฟังฉันพูดรอบเดียวก็เต้นได้ดีขนาดนี้แล้ว”  ซูจิ้งเหวินที่เต้นกับเย่โม่รู้สึกทันทีว่านี่คงไม่ใช่การเต้นรำครั้งแรกของเย่โม่  การเต้นประสานเข้ากับจังหวะของเพลงเขาทำได้ดีกว่าเธอเสียด้วยซ้ำ

แต่เย่โม่ก็ไม่ได้อธิบายว่าทำไมเขาฟังรอบเดียวแล้วทำได้เลย  เขาอธิบายไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร  จะให้เขาบอกซูจิ้งเหวินหรือว่าเขามีสัมผัสทางจิต?  ท่าทางการเคลื่อนไหวเหล่านี้เมื่อเทียบกับทักษะยุทธที่เขาฝึกแล้วถือว่าง่ายกว่าเยอะ  ดังนั้นเขาจึงได้แต่ถามกลับ  “ปกติเธอเต้นรำบ่อยหรือ?”

ซูจิ้งเหวินถูกเย่โม่จับมือเอาไว้ทั้ง 2 ข้าง  เธอสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ส่งผ่านจากฝ่ามือของเย่โม่ บางครั้งที่เธอได้สัมผัสกับตัวของเย่โม่ก็ให้ความรู้สึกเหมือนเธอกำลังเล่นอยู่กับไฟ  กลิ่นอายของชายชาตรีทำให้ซูจิ้งเหวินรู้สึกมึนเมาอยู่บ้าง  ทว่าลมหายใจของเขากลับทำให้เธอรู้สึกสงบสุข  นี่เขาเป็นแค่นักศึกษาจริงๆ หรือ?

เหล่าผู้คนโดยรอบเมื่อได้เห็นจังหวะการเต้นที่ประสานกันของเย่โม่กับซูจิ้งเหวิน  ล้วนเข้าใจตรงกันว่าแท้จริงแล้วเย่โม่ก็แค่แกล้งเต้นไม่เป็นเท่านั้น  ชายคนนี้เสแสร้งได้เหมือนจริงๆ มิน่าเล่า  ในยุคนี้จะมีคุณหญิงคุนชายที่เต้นรำไม่เป็นอยู่อีกได้อย่างไร

วังเผิงโกรธจนหน้าแดง  เขารู้สึกเหมือนถูกเย่โม่ปั่นหัวเล่น  ทำให้เขารู้สึกอารมณ์เสียมาก  เย่โม่ถูกจัดอยู่ในบัญชีแค้นของเขาเช่นเดียวกับเจ้าคนขายยันต์คนนั้นอย่างรวดเร็ว

หนิงชิงเชวี่ยมองไปยังฟลอร์เต้นรำที่เย่โม่กับซูจิ้งเหวินกำลังเต้นประสานกันอย่างเข้าขาอยู่  เธอฟังเสียงเพลงที่บรรเลงอย่างแผ่วเบาอ่อนโยน  ไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ในใจกันแน่ แต่ใบหน้าของเธอกลับสงบนิ่งเอามากๆ

เมื่อเพลงหยุดลง  ซูจิ้งเหวินราวกับยังรู้สึกค้างคา  แต่เมื่อได้ยินเสียบปรบมือรอบๆ ตัวเธอจึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าเพลงได้จบลงแล้ว  เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง

เสียงเพลงดังขึ้นอีกครั้ง  คนอื่นๆ เริ่มทยอยหาคู่เต้นเดินเข้าฟลอร์

ขณะที่วังเผิงกำลังคิดจะชวนซูจิ้งเหวินเต้นรำอีกครั้งนั้นเองเขาก็หันไปเห็นหนิงชิงเชวี่ย  แววตาของวังเผิงสว่างวาบขึ้น  เขารีบเดินเข้าไปหา  “สวัสดี  ผมชื่อวังเผิง  ไม่ทราบว่าคุณจะให้เกียรติผมเต้นรำด้วยกันสักเพลงได้ไหม?”

หนิงชิงเชวี่ยมองวังเผิงด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง  เธอไม่แม้จะตอบกลับด้วยซ้ำ  เธอเดินตรงไปยังด้านหน้าของเย่โม่แล้วพูดขึ้น  “เย่โม่  เมื่อครู่ฉันยังพูดไม่จบเลย  เรามาคุยกันต่อดีไหม?”

ทิ้งไว้เพียงวังเผิงที่ใบหน้ายิ่งขาวซีดไปด้วยความโกรธ

แน่นอนว่าซูจิ้งเหวินรู้เรื่องที่หนิงชิงเชวี่ยถอนหมั้นเย่โม่แล้ว  แต่ที่เธอไม่รู้ก็คือว่าเพราะอะไรหนิงชิงเชวี่ยถึงได้เอาแต่ตามหาเย่โม่แบบนี้  หรือว่ายังมีเรื่องอื่นอีก?

ขณะที่ซูจิ้งเหวินกำลังจะเอ่ยปากนั้นเอง  หลี่มู่เหมยก็เดินเข้ามาลากซูจิ้งเหวินออกมา  “จิ้งเหวิน  ฉันมีเรื่องจะพูดกับเธอหน่อย  ไปกันเถอะ?”

พอเห็นซูจิ้งเหวินเดินออกไปไกลแล้ว  เย่โม่ก็หันมามองหนิงชิงเชวี่ย  “พวกเราไปหาที่นั่งกันเถอะ”  ทีแรกเย่โม่กะว่าเต้นรำเสร็จก็จะจากไปทันที  แต่เพราะหนิงชิงเชวี่ยเขาจึงถูกรั้งไว้อีกครั้ง

วังเผิงจ้องมองหนิงชิงเชวี่ยผู้งดงามราวกับเทพเซียนถูกเย่โม่พาเดินจากไป  ถึงภายในใจเขาจะคันยุบยิบด้วยความโกรธแต่เขาก็ไม่มีวิธีอะไรอีก  ได้แต่คิดว่าจะได้จัดการไอ้หนุ่มคนนี้ตอนไหนเท่านั้น

เมื่อหามุมนั่งเงียบๆ ได้แล้วเย่โม่ก็ถามขึ้นตรงๆ  “ผมไม่ใช่คนตระกูลเย่จากปักกิ่งอีกแล้ว  พูดได้ว่าพวกเรามันอยู่กันคนละโลกแล้ว  แล้วมาหาผมด้วยเรื่องอะไรล่ะ?”

หนิงชิงเชวี่ยเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะพูดขึ้น  “เย่โม่  ฉันไม่อยากจะพูดตรงนี้  คืนนี้ขอฉันไปที่บ้านของนายได้ไหม  ต้องขอโทษด้วยนะ  แต่ฉันอยากให้นายช่วยอะไรหน่อย...”

“อะไรนะ!?”  ตอนแรกเย่โม่ยังคิดว่าตัวเองฟังผิดไป  ผู้หญิงอย่างหนิงชิงเชวี่ยขอไปที่บ้านของเขาคืนนี้ด้วยตัวเอง?  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวแบบไหนก็ตาม  แต่นี่เหมือนจะไม่ถูกต้องไปหน่อยนะ!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด