ตอนที่แล้วตอนที่ 19 ความหมายที่แท้จริง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 21 แผนการล้ำเลิศ

ตอนที่ 20 คำปฏิเสธ


ตอนที่ 20 คำปฏิเสธ

ก้าวแรกสู่การเป็นผู้ฝึกตนนั้นยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาต้องเข้าถึงส่วนลึกภายในร่างกาย รับรู้ถึงพลังปราณในอวัยวะ คนธรรมดาจำต้องสงบจิตใจ ลืมตัวตนของตนเองไป

หลังจากได้เป็นผู้ฝึกตนแล้ว การฝ่าด่านที่สูงขึ้น ความยากย่อมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

สำหรับหลาย ๆ สำนักแล้ว พื้นฐานของผู้ที่สามารถรับเข้าสำนัก เพื่อให้อาจารย์สอนสั่ง และสามารถใช้สมบัติล้ำค่าต่าง ๆ ในสำนักได้ คือการที่ต้องทะลวงด่านให้ขั้นพลังถึงด่านหนึ่งเสียก่อน จากนั้นบำเพ็ญตนจนขั้นพลังถึงด่านสาม จึงจะสามารถลงจากเขา ออกไปท่องใต้หล้าได้อย่างอิสระ

ด่านสามลมปราณบริสุทธิ์ ฟังดูแล้วไม่ใช่เรื่องยาก

ทว่าด่านนี้ กลับเป็นด่านที่ทำให้ผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนไม่มีโอกาสได้ลงจากเขา

ทุกสำนักล้วนมีผู้ฝึกตนด่านสองกลั่นลมปราณผมสีดอกเลาอยู่หลายคนที่ทำได้เพียงกวาดสำนักไปวัน ๆ

ในการทะลวงพลังจากด่านสองไปยังด่านสาม หนทางที่ดีที่สุดคือการที่สามารถสัมผัสถึงพลังปฐมจากฟ้าดินได้ ค้นหาพลังให้เจอ จากนั้นดูดซับพลังปฐมจากฟ้าดินที่เหมาะสมกับปราณแท้ของตนเข้าร่าง

คนส่วนมากไม่อาจเป็นผู้ฝึกตนได้ เหตุเพราะไม่สามารถสัมผัสถึงพลังส่วนเล็กส่วนน้อยในร่าง และไม่อาจเข้าใจปราณในร่างได้ ผู้ฝึกตนส่วนมากไม่สามารถสัมผัสพลังปฐมฟ้าดิน ซึ่งมีปริมาณมหาศาลแต่ทว่าก็ว่างเปล่ายิ่งนัก นี่ยังไม่รวมไปถึงการสร้างการเชื่อมต่อกับร่างกายที่ขัดแย้งกับพลังปราณในร่างของตนเอง

ผู้ฝึกตนหลายคนมีปราณแท้มากพอ ทว่าพวกเขาไม่อาจสัมผัสถึงพลังปฐมจากฟ้าดิน ไม่สามารถสัมผัสถึงพลังสายใหม่ที่ตนสามารถนำมาใช้ และติดอยู่ที่ด่านนี้จนสิ้นลมหายใจ

พวกเขารู้ว่าตรงหน้าตนมีภูเขา ทว่าเขาไม่อาจเห็นภูเขาตรงหน้า นับเป็นเรื่องน่าเศร้าของผู้ฝึกตนหลาย ๆ คน

ในการที่จะมาถึง สัมผัส และมองเห็น จากนั้นเริ่มต้นปีนภูเขาได้นั้น สิ่งเหล่านี้เรียกว่าการทะลวงด่าน

ช่วงเวลาที่แต่ละคนใช้ในการทะลวงด่านนั้นไม่เท่ากัน บางคนอาจใช้เวลาหลายปี บางคนอาจต้องใช้เวลาชั่วชีวิต

อายุที่แท้จริงของเฉินโม่หลีเท่ากับยี่สิบเจ็ด ทว่าขั้นพลังถึงด่านสี่แล้ว

หนานกงไฉ่ชู เซี่ยฉางเชิง และคนอื่น ๆ รู้ดีว่าความเร็วในการทะลวงด่านเช่นนี้นับว่าเร็วมาก

อาจพูดได้ว่า หากดูจากการฝึกตนของพวกเขาในเวลานี้แล้ว และดูจากบันทึกในสำนักดาบของตน... พวกเขาไม่อาจฝึกตนจนถึงด่านสี่ก่อนอายุยี่สิบเจ็ดปีได้

หากอายุเท่ากัน พวกเจ้าไม่อาจฝึกตนเทียบเทียมข้าได้

เป็นความหมายที่แท้จริงในคำของเฉินโม่หลี

เซี่ยฮางเชิงเงยหน้าขึ้นช้า ๆ นัยน์ตาเยียบเย็น ก่อนจะหันไปมองเงาร่างที่ดูสุภาพของเฉินโม่หลี

ผู้ฝึกตนส่วนมาก รูปลักษณ์ปรากฏเป็นคนหนุ่มสาว

หลังจากฝึกปรือถึงด่านสามลมปราณบริสุทธิ์ ภายในร่างกายจะเปลี่ยนแปลง ชีวิตจะยืนยาวขึ้น หลากหลายเคล็ดวิชาในการบำเพ็ญเพียรสามารถใช้รักษารูปร่างหน้าตาที่ยังคงความหนุ่มสาวราวกับเวลาหยุดลงไว้ได้

ความหนุ่มของจ้าวจื๋อและจ้าวซื่อที่ทำให้ผู้ฝึกตนจากวังเพลิงสัจธรรมต้องประหลาดใจ ล้วนเกี่ยวพันกับเรื่องการฝึกตนทั้งสิ้น

เป็นเพราะเมื่อสิบสามปีก่อน ทั้งจ้าวจื๋อและจ้าวซื่อต่างมีชื่อเสียงเลื่องชื่อในใต้หล้า

เพราะฉะนั้นอายุที่แท้จริงของพวกเขามากกว่ารูปลักษณ์ของพวกเขามาก

ทว่าเฉินโม่หลีผู้นี้ยังคงหนุ่มแน่นอย่างแท้จริง

“กลับ!” เซี่ยฉางเชิงพ่นคำออกมาหนึ่งคำ เรียกทุกคนให้จากไปพร้อมกัน

เขาพ่ายแพ้ และเขายอมรับความพ่ายแพ้นี้แต่โดยดี เขาสามารถยอมรับได้

คนอื่น ๆ พากันนิ่งเงียบ ก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับเขา

คิ้วติงหนิงขมวดเป็นปม

ในความคิดของเขา ถึงแม้ศิษย์สำนักเหล่านี้จะทำได้ไม่เลว ทว่าเรื่องเช่นนี้กลับทำลายแผนการของเขา

เฉินโม่หลีมองไปยังเหล่าศิษย์สำนักที่กำลังเดินจากไป สีหน้ายิ่งเคร่งขรึมมากขึ้น

ด้วยนิสัยและการฝึกฝนของชาวฉินแล้ว พวกเขาย่อมต้องการชิงเอาดินแดนอุดมสมบูรณ์ขนาดหกร้อยลี้เพื่อล้างอายความพ่ายแพ้ในครั้งก่อนเป็นแน่

ราชวงศ์ฉู่แข็งแกร่งและเจริญรุ่งเรืองมานานหลายปี ทว่าเมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มสาวในเมืองฉางหลิงกลุ่มนี้แล้ว คนมีความสามารถในแคว้นฉู่กลับดูเปราะบางและขาดความดุดันไปในทันที

เขาสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อสงบสติอารมณ์และจิตใจของตน จากนั้นหันไปมองติงหนิง

เขากลับรู้สึกว่าเด็กหนุ่มธรรมดาสามัญผู้นี้ไม่ธรรมดา

ลมหนาวฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านเข้ามาในร้าน ส่งผลให้ผมติงหนิงปลิวไป

ก่อนที่เฉินโม่หลีจะเอ่ยปาก ติงหนิงก็พูดขึ้น “ท่านน้าข้าเมินท่าน ไม่ใช่เพราะต้องการเสียมารยาท แต่เป็นเพราะข้าคือผู้รับดูแลเรื่องของท่านน้าอยู่หลายเรื่อง ซึ่งรวมถึงกิจการร้านเหล้าแห่งนี้ หากท่านมีธุระอันใด เชิญสนทนากับข้าได้เลย”

เฉินโม่หลีครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนกล่าวขึ้น “เช่นนั้น เหตุที่ข้ามาในวันนี้ เป็นเพราะคุณชายของข้าต้องการพบแม่นางจางซุน”

เฉินโม่หลีเป็นผู้ติดตามขององค์ชายหลีหลิง

คุณชายของเขา แน่นอนว่าคือองค์ชายหลีหลิงผู้เลื่องชื่อ เป็นบุคคลสำคัญที่ผู้ฝึกตนในฉางหลิงต่างมองด้วยสายตาที่แตกต่างกัน

ทว่าได้ยินดังนั้น ติงหนิงกลับพูดขัดขึ้น “ในเมื่อคุณชายของท่านอยากเจอท่านน้าของข้า ไยเป็นเจ้าที่มา ไม่ใช่เขาเล่า?”

เฉินโม่หลีชะงักไป

เขาไม่คิดว่าติงหนิงจะกล่าวเช่นนี้

เป็นเพราะองค์ชายหลีหลิงไม่ใช่คนที่มีฐานะเดียวกับแม่นางในร้านเหล้า คนอย่างองค์ชายจำต้องมาหาแม่นางด้วยตนเองอย่างนั้นหรือ?

ทว่าเขาควรจะตอบคำถามของติงหนิงเช่นไร? เขาไม่อาจพูดความจริงที่ไร้เหตุผลหากแต่ก็เป็นเรื่องทั่วไปเช่นนี้ออกมาได้

บทสนทนาดูท่าจะถึงทางตัน

ในตอนนั้นเอง เสียงปรบมือก็ดังออกมาจากรถม้าคันใหญ่ที่ถูกจอดไว้อยู่ด้านข้าง

“หนุ่มสาวในเมืองฉางหลิงช่างน่านับถือ”

น้ำเสียงอบอุ่นสง่างามและรื่นหูกว่าของเฉินโม่หลีดังขึ้นจากด้านในรถม้า

ในคน ๆ หนึ่ง อาจมีพลังวิเศษที่ไม่สามารถอธิบายได้ซ่อนอยู่ ถึงจะใส่เพียงชุดธรรมดาสามัญ ถึงรูปร่างจะไม่โดดเด่น ถึงจะยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนนับพันในสนามรบหรือกลางตลาดเสียงโหวกเหวกวุ่นวาย หากเขาได้ปรากฏตัวขึ้นนั่นก็จะดึงดูดสายตาผู้คน ทำให้คนรู้สึกราวกับว่าร่างกายเขากำลังเปล่งแสงเรืองออกมา

ชายหนุ่มที่เดินลงจากรถม้าเป็นเช่นนั้น

เขาสวมชุดผ้าแพรสีน้ำเงินธรรมดาชุดหนึ่ง ไม่มีอาวุธหรือเครื่องประดับใด รูปร่างไม่โดดเด่น ผมถูกมัดขึ้นไว้ด้านหลังด้วยผ้า เหมือนกับชาวฉินทั่วไป ในขณะที่เขาเดินเข้ามาใต้ร่มเงาต้นอู๋ถง ร่างของเขาราวกับส่องประกายน่าพิศวงออกมา

ราวกับเทพเซียน

ผู้ชมเหตุการณ์ผู้นี้ กระทั่งคนหาบเร่ธรรมดาผู้หนึ่งที่ไม่อาจเดาสถานะของเขา ยังสามารถเห็นถึงท่าทางไม่ธรรมดาของเขาได้ และสามารถรับรู้ได้ว่าคนผู้นี้เกิดมาเป็นคนมีฐานะสำคัญ ดึงดูดสายตาผู้คน

เฉินโม่หลีหลบไปด้านข้างอย่างนอบน้อม นัยน์ตาส่องประกายนับถืออย่างแท้จริง อาจถึงขั้นเคารพบูชา

นายท่านของเขา เป็นผู้เดียวที่สามารถทำให้เขาเป็นเช่นนี้ได้ องค์ชายหลีหลิงผู้เลื่องชื่อ

องค์ชายหลีหลิง ดูท่าทางอายุราวยี่สิบกว่าปี ค่อย ๆ เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าติงหนิง ก่อนจะหยุดฝีเท้าลงตรงตำแหน่งที่ยืนคุยกันได้อย่างสะดวกสบาย

องค์ชายท่านนี้ตัวสูงกว่าติงหนิงมาก และเขาใส่ใจตรงจุดนี้ จึงไม่ยืดตัวตรงจนสุด

จากนั้นจึงส่งยิ้มอ่อนโยนและโค้งตัวเล็กน้อยให้ติงหนิง กล่าวขึ้นว่า “ท่านกล่าวได้ถูกต้องแล้ว ข้าไม่ควรมาแล้วนั่งอยู่แต่บนรถม้า ควรเป็นผู้ที่มาถามถึงแม่นางจางซุนด้วยตนเอง ข้าถือตนเกินไปจริง ๆ”

ชาวบ้านที่ยืนมุงอยู่จากที่ไกลบางคนเริ่มคาดเดาสถานะของชายผู้นี้ออก และเมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนั้น พวกเขานิ่งไป สายตาที่มองไปยังชายหนุ่มกลายเป็นความชื่นชมเต็มเปี่ยม พวกเขาคิด องค์ชายหลีหลิงช่างเป็นดังที่ข่าวลือว่าไว้ ไม่ใช่คนธรรมดาจริง ๆ

คำพูดคำจาสุภาพและซื่อตรง เมื่อผู้คนได้ยินคำเหล่านี้ พวกเขาก็รู้สึกได้ว่าองค์ชายหลีหลิงเป็นผู้ที่เปิดกว้างและซื่อตรงคนหนึ่ง

สีหน้าติงหนิงสงบเงียบ เขา ยกมือขึ้นคำนับตอบ ก่อนกล่าวขึ้น “ถ้าเช่นนั้น คุณชายเชิญกล่าว”

องค์ชายหลีหลิงมองติงหนิงที่สงบนิ่ง นัยน์ตามีแสงสว่างพาดผ่าน เขาไม่ลังเล เอ่ยขึ้นอย่างถ่อมตนและจริงใจ “ข้ามาที่นี่เพื่อมาขอแม่นางจางซุนเข้าจวน”

พูดจบ ทุกคนต่างก็นิ่งอึ้งไป

ชาบบ้านทุกคนในตรอกที่ได้ยินคำพูดนี้ต่างก็ตกตะลึง คิดว่าตนได้ยินผิดไป

ในขณะที่องค์ชายหลีหลิงเป็นองค์ประกันจากแคว้นฉู่ อย่างไรเขาก็ยังเป็นถึงองค์ชาย เขาอยู่ในเมืองฉางหลิงเป็นเวลาหลายปี พิสูจน์ความสามารถและความแข็งแกร่งของตนจนกลายเป็นผู้มีอำนาจที่แท้จริง

ในสายตาของเหล่าผู้มองการณ์ไกลหลากหลายคน องค์ชายหลีหลิงไม่ต่างจากองค์ชายหรือท่านโหวในเมืองฉางหลิงแม้แต่น้อย

ผู้ที่เคยยลโฉมจางซูนเฉียนเสว่รู้ดีว่านางนั้นงามล่มเมือง ทว่านางเป็นเพียงเถ้าแก่ร้านเหล้า ฐานะต่ำต้อย ไม่มีพื้นเพใดให้ได้พูดถึง

คนอย่างองค์ชายหลีหลิง แม้จะแค่หาอนุเข้าจวน ก็ยังควรหาสตรีจากตระกูลใหญ่หรือตระกูลแม่ทัพสักคน ทว่าคนผู้นี้กลับพูดออกมาต่อหน้าธารกำนัลว่าต้องการแต่งงานกับเถ้าแก่หญิงร้านเหล้าเช่นนั้นหรือ?

ด้วยความตกตะลึง ทุกสายตาจับจ้องมาที่ติงหนิง

ทุกคนต่างคิดว่าติงหนิงจะยินดีปรีดา ไม่ปฏิเสธคำขอ

แม่สื่อแม่เล้ามากหน้าหลายตาก้าวผ่านประตูร้านเหล้าแห่งนี้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ล้มเหลวทุกครา ทุกคนจึงคิดว่าผู้ที่จ้างแม้สื่อเหล่านั้นมาอาจมีฐานะไม่สูงส่งพอ ติงหนิงและจางซุนเฉียนเสว่จึงมีความรู้สึกว่าตนมีตัวเลือกที่ดีกว่ารออยู่

ทว่าในตอนนี้… ยังไม่มีผู้ใดที่มีฐานะสูงส่งมากกว่าองค์ชายหลีหลิงที่มาสู่ขอนางเลย

นี่เป็นโอกาสเพียงหนึ่งในพันที่จะได้เปลี่ยนจากนกกระจอกตัวน้อยไปเป็นนกฟีนิกซ์

ผู้ที่ยืนมุงอยู่บางคนรู้สึกอิจฉาพวกเขาด้วยซ้ำ

ไม่แน่จากวันนี้ไป พวกเขาอาจไม่มีโอกาสได้ดื่มเหล้ารสเปรี้ยว และได้ยลโฉมงานที่ร้านแห่งนี้เสียแล้วกระมัง

ทว่าท่ามกลางสายตาตกตะลึงของผู้คน ติงหนิงคลี่ยิ้ม ก่อนปฏิเสธเสียงขรึม “ข้าน้อยขอบคุณยิ่งนักสำหรับความประสงค์ของคุณชาย ทว่าข้าน้อยไม่อาจตอบตกลง”