ตอนที่แล้วบทที่ 20 คำเชิญ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 22 หากเพียงชีวิตเป็นเช่นเดียวกับครั้งแรกที่พบเจอ

บทที่ 21 คนทรงเจ้าซูจิ้งเหวิน


ซูจิ้งเหวินขับรถไปพลางก็คิดไปพลางว่าทำไมหนิงชิงเชวี่ยถึงมาที่นี่ได้ล่ะ?  ตัวเธอกับหนิงชิงเชวี่ยก็ไม่ได้สนิทกันมากมาย  ตามหลักแล้วคนแบบหนิงชิงเชวี่ย  ถ้าไม่เชิญมีหรือจะมางานวันเกิดของเธอได้?  ไอ่หย๋า!  เธอลืมเรื่องสำคัญมากเรื่องนึงไปเลย  เย็นวันนี้เย่โม่เองก็จะมาด้วยนี่นา  ถ้าได้เจอกับหนิงชิงเชวี่ยล่ะก็อาจจะ...

“จิ้งเหวิน  เป็นอะไรไป?  เธอดูใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยนะ”  หลี่มู่เหมยรีบถามขึ้นเมื่อสังเกตว่าซูจิ้งเหวินดูเหม่อลอยเล็กน้อย

“อ่า... ใช่แล้ว  อยู่ๆฉันก็คิดขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง  ตอนนี้คิดตกแล้วล่ะ  เออจริงสิ  มู่เหมย  ทำไมเธอไม่บอกกันก่อนล่ะว่าหนิงชิงเชวี่ยจะมา”  ซูจิ้งเหวินหันไปถามหนิงชิงเชวี่ย  “ชิงเชวี่ย  แล้วตอนนี้เธอรับช่วงธุรกิจของพ่อแม่เธอหรือยัง?  ครั้งที่แล้วฉันได้ยินคนพูดกันว่าเธออยู่ในธุรกิจสมุนไพรตระกูลหนิงแล้ว”  ซูจิ้งเหวินรีบเปลี่ยนเรื่องทันที

หลี่มู่เหมยกลับพูดว่า  “ที่จริงชิงเชวี่ยรับช่วงต่อธุรกิจสมุนไพรที่ปักกิ่งนานแล้ว  ฉันก็ช่วยชิงเชวี่ยดูแลเช่นกัน  เพียงแต่หลังๆ มานี้เกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อยพี่ชิงเชวี่ยเลยถอนตัวออกมาชั่วคราวน่ะ”

ซูจิ้งเหวินไม่ได้ถามว่าเป็นเรื่องอะไร  คาดว่าคงเป็นความขัดแย้งภายในตระกูล  เรื่องแบบนี้ไม่ถามน่ะดีแล้ว  ดูจากแววตาที่ปรากฏร่องรอยความเศร้าสร้อยแล้ว  เธอคงออกมาข้างนอกเพื่อผ่อนคลายเสียมากกว่า  หรือเธอจะโทรหาเย่โม่ดี  บอกให้เขาไม่ต้องมางานแล้ว  เพื่อไม่ให้อารมณ์ของหนิงชิงเชวี่ยแย่ไปกว่านี้

คิดถึงตรงนี้ซูจิ้งเหวินก็นึกได้ว่าเย่โม่ไม่มีโทรศัพท์  อีกทั้งตอนนี้เขาก็ไม่ได้อยู่ที่มหาวิทยาลัยด้วย  แถมเธอก็ไม่รู้ด้วยว่าเขาพักอยู่ที่ไหน  ในเมื่อติดต่อเขาไม่ได้แบบนี้  ดูท่าว่าการที่เย่โม่จะได้พบเจอกับหนิงชิงเชวี่ยคงเป็นที่แน่นอนเสียแล้ว

“พี่จิ้งเหวิน  ได้ยินจากมู่เหมยว่าคุณป้าสุขภาพร่างกายไม่ค่อยดี  ตอนนี้ดีขึ้นบ้างหรือยัง?”  แน่นอน  หนิงชิงเชวี่ยดูออกว่าซูจิ้งเหวินดูจะใจลอยอยู่บ้าง  คงคิดเรื่องอะไรอยู่  เธอจึงเอ่ยปากถามออกไป

ซูจิ้งเหวินได้สติกลับมาแล้ว  เรื่องพวกนี้ไว้ถึงเวลาค่อยว่ากันอีกที  มันไม่ใช่เรื่องที่เธอจะควบคุมได้ในตอนนี้  เมื่อได้ยินหนิงชิงเชวี่ยถามขึ้นเธอก็อดไม่ได้ที่จะพูดอย่างอารมณ์ดี  “แม่ของฉันหายดีแล้ว  มู่เหมยยังไม่ได้บอกเธอหรอกหรือ?”

หนิงชิงเชวี่ยรู้สึกเขินขึ้นมาเล็กน้อย  เธอไม่ได้ถามหลี่มู่เหมยเรื่องอาการของแม่ซูจิ้งเหวินจริงๆ นั่นแหละ  แต่เห็นได้ชัดว่าซูจิ้งเหวินไม่เก็บเอาเรื่องนี้มาใส่ใจ  เธอพูดต่อไป  “เพราะฉันโชคดีได้เจออาจารย์ท่านหนึ่ง  พวกเธอไม่รู้อะไร  ยันต์ของอาจารย์ท่านนั้น…”

คนที่ซูจิ้งเหวินเคารพนับถือมากที่สุดตอนนี้ก็คือเย่โม่  เมื่อหนิงชิงเชวี่ยถามขึ้นมาเธอก็ยิ่งพูดถึงอาจารย์ที่ขายยันต์ให้เธอท่านนั้นว่าเหนือฟ้าใต้พิภพไม่มีใครเหมือนเขา  เธอพูดกระทั่งรายละเอียดขั้นตอนที่เธอซื้อยันต์มาด้วยซ้ำ  แม้แต่ขั้นตอนการใช้ยันต์เธอล้วนพูดออกมาทั้งหมด

หนิงชิงเชวี่ยและหลี่มู่เหมยได้ฟังดังนั้นก็ออกอาการปากอ้าตาค้าง  ต่างจ้องมองซูจิ้งเหวินด้วยอาการมึนงง  คนที่เชื่อในเรื่องงมงายเหนือธรรมชาติอย่างซูจิ้งเหวินแบบนี้ถือว่าพบเห็นได้น้อยมาก  ยิ่งซูจิ้งเหวินเป็นหญิงสาวที่ได้รับการศึกษาสูงอีกด้วย  เห็นได้ว่าพวกต้มตุ๋นที่ขายยันต์ให้ซูจิ้งเหวินคนนั้นต้องมีวาจาน่าเชื่อถือมากแน่ๆ

“เออ… จิ้งเหวิน  ถ้าคุณป้าอาการดีขึ้นก็ดีแล้ว  แต่มีบางเรื่องที่พวกเราแค่รู้ก็พอแล้ว  ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจจริงๆ หรอก”  เมื่อหลี่มู่เหมยเห็นซูจิ้งเหวินงมงายแบบนี้จึงได้แต่เตือนสติ

“ฉันรู้ว่าพวกเธอไม่เชื่อหรอก  เอาเถอะ  ฉันไม่บังคับให้พวกเธอเชื่อแล้ว  ฉันยังมียันต์บอลเพลิงติดตัวอยู่อีกใบ  ถ้าไม่ใช่ว่าตัดใจไม่ได้ล่ะก็ฉันอยากจะใช้ให้พวกเธอดูจริงๆ  เพียงแต่เมื่อใช้ไปแล้ว  ต่อให้มีเงินก็ซื้อไม่ได้อีก  กระทั่งตอนนี้ฉันก็ยังหาอาจารย์ท่านนั้นไม่เจออีกเลย”

“เอาเถอะ… พวกเราเชื่อแล้ว  คนทรงเจ้าซู”  หลี่มู่เหมยทำได้แค่ยอมแพ้อย่างไร้หนทาง

ขนาดคนที่นั่งคิ้วขมวดมาตลอดทางอย่างหนิงชิงเชวี่ยยังอยากจะยิ้มออกมาเลย  ซูจิ้งเหวินอายุเยอะกว่าพวกเธอมาก  แต่กลับพูดเรื่องไม่สมเหตุสมผลแบบนี้  ไม่เข้ากับคำร่ำลือเรื่องความฉลาดหลักแหลมของเธอเลยสักนิดเดียว  หญิงสาวที่สวยขนาดนี้แต่กลับพูดเรื่องอาจารย์ขายยันต์  รู้สึกว่าไม่เข้ากันอยู่บ้างจริงๆ

ถ้าไม่ใช่เพราะสถานการณ์อันยากลำบากของเธอล่ะก็  หนิงชิงเชวี่ยเองก็อาจรู้สึกร่าเริงขึ้นเมื่อเห็นท่าทางราวกับคนทรงเจ้าของซูจิ้งเหวินก็เป็นได้

..............

เย่โม่เมื่อสร้างสร้อยข้อมือเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เก็บใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ  ไม่ได้หากล่องสวยๆ อะไรมาใส่  พอเสร็จขั้นตอนเขาก็เริ่มฟื้นฟูพลัง  เขาใช้พลังปราณไม่น้อยในการทำสร้อยข้อมือนี้ขึ้นมา  ถ้าไม่ติดว่าของแบบนี้ขายไม่ออกล่ะก็  ไม่แน่เขาอาจจะทำมาขายซัก 2-3 เส้นแล้ว

หลังจากมาที่โลกนี้  นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เย่โม่นั่งแท็กซี่  ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากวิ่งไปคลับส่วนตัวหยูหว่า  เขาแค่ไม่รู้ทางเท่านั้น

รถแท็กซี่ของเย่โม่จอดอยู่ข้างนอกตัวคลับ  สาเหตุก็เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปข้างใน  ยามหน้าประตูเห็นเย่โม่นั่งแท็กซี่เข้ามา  แถมดูแล้วก็ไม่ใช่คนมีเงิน  ถึงเสื้อผ้าของเย่โม่จะสะอาดสะอ้านเรียบร้อยแต่ผมเผ้ากลับยุ่งเหยิงเล็กน้อย รองเท้าที่สวมก็เป็นรองเท้าผ้าใบธรรมดาๆ คาดว่าคงมีราคาประมาณสามร้อยหยวน  เมื่อเห็นดังนั้นเขาจึงหยุดเย่โม่ไม่ให้เข้าทันที

“คุณผู้ชาย  ที่นี่เป็นสถานที่ส่วนบุคคล  ไม่ได้เปิดให้คนนอก...”  ยามคนนั้นยังพูดไม่ทันจบเย่โม่ก็หยิบบัตรเชิญส่งให้อย่างไม่ใส่ใจ  ใครแต่งตัวแบบเขาแล้วถูกยามจับตามองก็ถือเป็นเรื่องปกติ  ไม่จำเป็นต้องโกรธอะไร

ยามรับบัตรเชิญจากเย่โม่ไปดูอยู่หลายรอบ  เมื่อยืนยันได้แล้วจึงพูดกับเย่โม่ด้วยอาการประหลาดใจเล็กน้อย  “ขอโทษครับ  เชิญคุณเข้าไปได้เลย”

ทันทีที่เย่โม่ก้าวเท้าเข้าไปในงาน  ก็มีรถปอร์เช่สีแดงคันหนึ่งขับตรงเข้ามาในสวนราวกับว่ายามหน้าประตูเป็นแค่เครื่องประดับเท่านั้น  หลังจากรถปอร์เช่สีแดงคันนั้นขับทะยานผ่านตัวเย่โม่ไป  แต่ทันใดนั้นก็วกกลับมาหาเย่โม่ทันที  ตรงนี้เป็นสวนขนาดใหญ่ไม่ใช่ทางด่วนที่ไหน  ยังมาขับรถแบบนี้อีก  มองก็รู้ว่าเป็นคนอวดดีไร้ที่เปรียบจริงๆ

ขณะที่เย่โม่กำลังคิดถึงความอวดดีของคนขับนั้นเอง  รถปอร์เช่คั้นนั้นก็มาหยุดข้างๆ ตัวเขา  ปรากฏหญิงสาวคนหนึ่งก้าวลงมาจากรถ  เสื้อสีแดงเพลิงเข้ากันกับกางเกงยีนส์รัดรูป  ช่วยขับเน้นส่วนเว้าส่วนโค้งบนเรือนกายให้เด่นชัด  แผ่เสน่ห์เย้ายวนใจออกมาอย่างชัดแจ้ง

เป็นซูเหมยนั่นเอง  เย่โม่เห็นเธอที่นี่ตัวเขาเองก็ไม่รู้สึกแปลกใจอะไร  เธอเป็นญาติของซูจิ้งเหวิน  มาร่วมงานวันเกิดของซูจิ้งเหวินก็ถือเป็นเรื่องปกติแล้ว  ถึงแม้ตอนอยู่มหาวิทยาลัยเธอจะถือตัวแต่ก็นับว่ายังรักษาท่าทีอยู่บ้าง  คิดไม่ถึงว่าพออยู่นอกมหาวิทยาลัยแล้วจะไม่ปกปิดความอวดดีนั้นแม้แต่น้อย

“หยุด!  ตรงนั้นนะเย่โม่  นายมาทำอะไรที่นี่?”  ครั้งที่แล้วเธอถูกเย่โม่ปฏิเสธอย่างไร้เหตุผล  ซ้ำยังเอาเงินเธอไปด้วย  สาเหตุก็เพราะไม่ต้องการตอบรับคำชวนไปกินข้าวของเธอ  ในใจซูเหมยจึงรู้สึกอึดอัดคับข้องเป็นอย่างมาก

เย่โม่มองซูเหมยอย่างงงๆ  “ผมมาที่นี่...แน่ล่ะว่าต้องมีคนเชิญ  หรือว่านี่เป็นที่ของเธอกัน?  ก่อนมาผมต้องแจ้งเธอด้วยหรือ?”

เวลานี้เองหญิงสาวอีกคนที่อยู่บนรถก้าวลงมา  เธอแต่งตัวคล้ายกันกับซูเหมย  แต่ที่สะดุดตายิ่งกว่าซูเหมยก็คือผมที่ถูกย้อมเป็นสีเหลืองทองของเธอ

“เกิดอะไรขึ้น… เหมยเหมย  คนแต่งตัวไร้รสนิยมคนนี้เป็นใครกัน?”  หญิงสาวคนนี้ลงมาก็ถามซูเหมย  จากนั้นเธอก็เหยียดสายตามองเย่โม่

เย่โม่สายหัว  คนประเภทเดียวกันก็มักจะอยู่ด้วยกันสินะ

ซูเหมยยิ้มหยัน  ทว่าก่อนที่เธอจะได้พูดอะไร  รถออร์ดี้เกรดกองทัพคันหนึ่งก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าสวน  แต่ก็ไม่ได้เข้ามา  กลับมีชายหนุ่มอายุ 20 กว่าๆ เดินลงมา  เมื่อเห็นเย่โม่อยู่ตรงนี้จึงเดินเข้ามาหาเช่นกัน

“เหมย  ไม่ได้เจอกันเสียนาน  เป็นอะไรไป  ทำไมดูไม่มีความสุขแบบนั้นล่ะ”  ชายหนุ่มคนนี้หน้าตาแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม  เดินทักทายมาแต่ไกล

เมื่อซูเหมยเห็นชายหนุ่มคนนี้เดินเข้ามา  ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มดีใจ  “พี่หวังซู่!  พี่ไม่ได้มาหาฉันเลย  ยังจะมาพูดอีกว่าไม่ได้เจอกันเสียนาน”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด