ตอนที่แล้วตอนที่ 17 ลวดลายเมฆกลุ่มนั้น
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 19 ความหมายที่แท้จริง

ตอนที่ 18 ขั้นพลังด่านสี่


ตอนที่ 18 ขั้นพลังด่านสี่

เป็นรถม้าที่หรูหรามาก

ม้าสูงสองตัวที่ลากรถม้าคันนี้มามีขนสีเงินแปลกประหลาด ขนของพวกมันสะอาดจนดูเงางามราวกับถูกขัดด้วยขี้ผึ้ง ห้องบนรถม้าทำจากไม้ถานมู่(1)ชั้นดี บนเนื้อไม้มีลวดลายแกะสลักซ้อนทับกัน ฝังหยกและทองคำ

กระทั่งคนขับรถม้ายังเป็นนักดาบสวมชุดสีเงิน ที่เอวเหน็บดาบยาวไว้

นักดาบผู้นี้ท่าทางสง่ามีราศี ตัวสูง คิ้วเข้ม นัยน์ตาใสกระจ่าง

ผมสีดำปล่อยยาวที่ด้านหลังของเขามีปอยผมสองปอยใช้ผ้าสีเขียวมัดไว้หลวม ๆ อยู่ที่กลางหัว ผมอีกปอยนึงปล่อยทิ้งไว้หลวม ๆ กระทั่งท่ามกลางสายลมพัดผ่าน ผมของเขาก็ไม่ปัดมาข้างหน้า การแต่งตัวเช่นนี้ทำให้เขาดูเป็นอิสระและผ่อนคลาย

เขาดูราวอายุยี่สิบกว่า ๆ ทว่าท่าทางเขาหนักแน่นสม่ำเสมอ เมื่อรถม้าเดินทางมาถึงร้านเหล้า เขาก็หยุดรถม้าที่ข้างต้นอู๋ถงข้างกำแพง หลังจากมั่นใจแล้วว่ารถม้าจะไม่ขวางทางผู้อื่น นักดาบชุดเงินผู้นี้จึงค่อย ๆ เดินเข้ามาในร้าน

ติงหนิงมองนักดาบชุดเงินที่เต็มไปด้วยท่าทางสูงส่งผู้นี้แล้วก็เลิกคิ้วขึ้น เหลือบมองหนึ่งครั้ง เขาเห็นเครื่องรางรูปนกกระเรียนสลักห้อยอยู่ที่ด้ามจับดาบที่ทำจากหยก เมื่อเห็นดังนั้นจึงสามารถเดาถึงพื้นเพของคนผู้นี้ได้ในทันที เขารู้ว่าแขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้นี้เกี่ยวข้องกับบุคคลไร้นามชาวฉู่ที่เคยมาที่ร้านเมื่อไม่กี่วันก่อน

ตรอกแห่งนี้เป็นตรอกที่ไม่ลึกมาก ด้วยเพราะเหตุนั้น ตอนที่นักดาบชุดเงินผู้ซึ่งมีท่าทางภูมิฐานสง่างามเดินเข้ามาในร้านเหล้า จนเข้ามาถึงขอบเขตสายตาของติงหนิง สวี๋เฮ่อซานที่เพิ่งหลุดออกจากภวังค์ก็กำลังสูดลมหายใจเข้า เตรียมตัวเปิดปากพูด

สายตาของจางซุนเฉียนเสว่หยุดลงที่นักดาบผู้นี้

สายตาของคนอื่น ๆ เองก็หยุดลงที่นักดาบผู้นี้โดยไม่รู้ตัวเช่นเดียวกัน

สวี๋เฮ่อซานกำลังจะเอ่ยปากพูด ทว่าถูกนักดาบที่เพิ่งมาขัดจังหวะเสียก่อน เขาหยุดชะงักไปและย่อมรู้สึกไม่พอใจเป็นธรรมดา

นักดาบชุดเงินเห็นในร้านเหล้ามีศิษย์สำนักอยู่มากมาย เขาก็ชะงักไปเล็กน้อย เมื่อหันไปมองจางซุนเฉียนเสว่ แววความตกตะลึงฉายวาบขึ้นในนัยน์ตาของเขา

อึดใจต่อมา เขาจึงตั้งสติ โค้งคำนับให้จางซุนเฉียนเสว่เล็กน้อย เขาพูดขึ้น “ข้าน้อยเฉินโม่หลี ข้ารับใช้ขององค์ชายหลีหลิง ขอแสดงความเคารพแม่นางจางซุนเฉียนเสว่”

สีหน้าชองสวี๋เฮ่อซานเปลี่ยนไปโดยพลัน

คิ้วทั้งสองของหนานกงไฉ่ชูโค้งขึ้นราวกับดาบเล็กสองเล่ม

เซี่ยฉางเชิงทำเสียงพ่นลมออกจากจมูกเบา ๆ

ศิษย์สำนักแต่ละคนต่างก็มีปฏิกิริยาที่แตกต่างกันออกไป ทว่าที่เหมือนกันคือในนัยน์ตามีแววสังหารก่อตัวขึ้น

เพราะเรื่องนี้ล้วนเกี่ยวกับความอัปยศของราชวงศ์ฉิน

องค์ชายหลีหลิงคือตัวประกันที่แคว้นฉู่ส่งมาแลกกับดินแดนขนาดหกร้อยหลี่ที่อุดมสมบูรณ์ของแคว้นฉิน

หนุ่มสาวในเมืองฉางหลิงเหล่านี้ ในภายภาคหน้าจะเป็นผู้ฝึกตนที่มีชื่อเสียง พวกเขาแบกรับความหวัง ไม่เหมือนกับชาวบ้านธรรมดาหรือคนยากคนจน ไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำยุแยงปลุกปั่น เด็ก ๆ เหล่านี้ก็มีความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์แล้ว

ไม่เหมือนชาวบ้านตาดำ ๆ ที่ไม่รู้เรื่องอะไร พวกเขาเหล่านี้รู้ดีว่าองค์ชายหลีหลิงไม่ใช่คนฐานะธรรมดา

นอกจากยศถาบรรดาศักดิ์ที่เป็นถึงโอรสของฮ่องเต้แล้ว ประวัติขององค์ชายหลีหลิงนับว่าสามารถพูดได้ว่า “น่าเศร้า” นัก

มารดาของเขาเป็นนักดนตรีอยู่ในพระราชวัง ซึ่งเกิดไปถูกตาต้องใจฮ่องเต้ฉู่เข้า ต่อมานางได้ให้กำเนิดองค์ชายหลีหลิง ทว่าไม่กี่ปีหลังจากนั้น นางกลับถูกประหาร เหตุเพราะวาจานางล่วงเกินฮ่องเต้ฉู่

เพื่อเป็นการหลบเลี่ยงไม่ต้องเจอหน้าเขา ฮ่องเต้ฉู่จึงยกที่ดินที่ไม่มีใครต้องการให้เขา เพื่อส่งองค์ชายหลีหลิงไปให้พ้นสายตา จากการคาดเดา ติงหนิงคิดว่าคงเป็นผลจากขุนนางในราชสำนักที่แนะนำให้ฮ่องเต้ทำเช่นนี้ มิเช่นนั้น จากนิสัยใจคอของฮ่องเต้ฉู่ พระองค์อาจใช้ราชโองการลับเพื่อส่งองค์ชายหลีหลิงตามมารดาของเขาไปแล้ว

ถึงที่ดินแดนที่องค์ชายได้รับมาจะไกลจากเมืองหลวงของแคว้นฉู่มากจนกระทั่งผู้คนลืมเลือนเขาไป แต่ยามแคว้นฉู่ต้องการองค์ชายสักคนมาเป็นองค์ประกันในราชวงศ์ฉิน ฮ่องเต้ฉู่กลับนึกถึงเขาในทันใด!

ไม่ว่าใครต่างรู้ว่าการเป็นองค์ประกันนั้น ส่วนมากแล้วผลออกมาย่อมเลวร้าย

สำหรับฮ่องเต้ที่มีกองทัพทหารและผู้ฝึกตนมากมายในมือ ในยามศึกสงคราม ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่พระองค์จะไม่ใส่ใจชีวิตความเป็นความตายของโอรสที่ตนไม่ชอบ

ทว่าในฐานะชาวฉู่ที่มาจากแดนไกลและไร้เงินตรา ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งทศวรรษ องค์ชายท่านี้กลับสามารถกลายเป็นบุคคลสำคัญในเมืองฉางหลิงได้

เขามีคนอยู่ในความดูแลนับพัน ซึ่งก็มีผู้ฝึกตนนับร้อยรวมอยู่ในจำนวนนั้นด้วย

ไม่มีผู้ใดรู้ว่าองค์ชายท่านนี้ทำเช่นไรจึงสามารถค่อย ๆ ไต่จากจุดที่ถูกทิ้งขว้างมายังจุดยืนของเขาในเมืองฉางหลิงในปัจจุบันได้ ผู้คนต่างมั่นใจว่าเขาคงมีอุปนิสัยบางอย่างที่ผู้อื่นไม่อาจเทียบได้อยู่

สำหรับศิษย์สำนักที่ยังไม่ถึงขั้น พวกเขาจึงมักรู้สึกเคารพนับถือและเกรงขามให้กับคนลักษณะเช่นนี้

ในตอนที่เฉินโม่หลี ผู้ฝึกตนในความดูแลขององค์ชายหลีหลิง เอ่ยขึ้น เซี่ยฉางเชิงและคนอื่น ๆ หันไปมองจางซุนเฉียนเสว่อีกครั้ง

ทว่าไม่มีใครคาดคิดว่าจางซุนเฉียนเสว่จะไม่พูดอะไรออกมาแม้สักคำ

นางนั้นดั่งเทพเซียนที่หลุดออกมาจากภาพวาด หญิงสาวขมวดคิ้วน้อย ๆ ก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าลานด้านหลังไป

กระทั่งเฉินโม่หลียังชะงักกับท่าทางของนาง

เซี่ยงฉางเชิงเองก็ชะงักกับท่าทางของนางเช่นกัน ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าอึดอัดเล็กน้อยของเฉินโม่หลีแล้ว เด็กหนุ่มผู้แสนภาคภูมิซึ่งมาจากตระกูลสูงผู้นี้ก็รู้สึกพึงพอใจอยู่ลึก ๆ

เขาพลันหัวเราะตาหยีขึ้น แววสบประมาทในนัยน์ตายิ่งมากขึ้นกว่าเดิม

“เจ้าคิดว่าจะใช้ชื่อองค์ชายหลีหลิงมาขู่ขวัญคนได้หรือ ทว่าองค์ชายไม่ใช่ท่านโหวของฉางหลิง ไม่เช่นนั้นแล้วแม่นางจางซุนเฉียนเสว่คงไม่เมินท่านเช่นนี้”

ติงหนิงมองเซี่ยฉางเชิงนิ่ง เขารู้สึกว่าเด็กหนุ่มอวดดีที่ยังมีข้อเสียอยู่มากมายคนนี้มีความกล้าหาญพอตัว ด้วยเหตุนี้สายตาที่ใช้มองเซี่ยฉางเชิงเปลี่ยนไป

มือของเฉินโม่หลีเอื้อมไปแตะด้ามจับดาบโดยไม่รู้ตัว

นกกระจอกตัวน้อยไม่มีทางรู้ซึ้งถึงความทะเยอทะยานของหงส์ สองคนนี้อยู่กันคนละโลก การปล่อยวางและการประพฤติตนบางคราเป็นเพราะขาดความใส่ใจ ในความคิดเฉินโม่หลี เด็กพวกนี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ฉะนั้นใบหน้าหล่อเหลาเขาจึงไร้ความรู้สึกใด และไม่ได้แสดงความโกรธออกมา

สำหรับประชาชนในเมืองฉางหลิง ไม่ว่าจะเจริญรุ่งเรืองหรือล่มจม องค์ชายหลีหลิงก็ยังเป็นคนนอก เพราะฉะนั้นไม่ว่ากลุ่มศิษย์สำนักจะกล่าววาจาเช่นไรออกมา พวกเขาก็ไม่ใส่ใจ

ทว่าในวันนี้ จางซุนเฉียนเสว่เป็นบุคคลที่องค์ชายหลีหลิงจำเป็นต้องได้มา เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก จึงต้องมีพื้นที่เงียบสงบไว้พูดคุย เขาต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง

สีหน้าเขาไร้ความเปลี่ยนแปลง ไม่ได้หันไปมองเซี่ยฉางเชิงเสียด้วยซ้ำ เขาเพียงแต่ส่ายหัว พูดขึ้นเสียงเบา “ยังเด็กอยู่แท้ ๆ แต่กลับไม่ใส่ใจเล่าเรียนวิชาดาบ มัวแต่ทำเรื่องไม่จำเป็น”

เซี่ยฉางเชิงยังเด็กมากจริง ๆ

เขากับติงหนิงมีความสูงและรูปร่างผอมพอกัน กระทั่งชุดผ้าต่วนที่เขาใส่ยังดูหลวมเล็กน้อย ยามเขาคลี่ยิ้ม สามารถเรียกได้ว่าเป็นเด็กน่ารักคนหนึ่ง

ทว่าเด็กน่ารักคนนี้กลับกลายเป็นผู้ฝึกตนแล้ว

คนรอบข้างที่รู้จักนิสัยเซี่ยฉางเชิงดีหยุดหายใจไปหนึ่งอึดใจเมื่อได้ยินสิ่งที่เฉินโม่หลีพูด

ความเยียบเย็นกำจายไปทั่วบรรยากาศ

ใบหน้าเล็กของเซี่ยฉางเชิงแปรเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก เขาเงียบไปหลายวินาที จากนั้นเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองเฉินโม่หลี ก่อนจะส่ายหัวแล้วเอ่ย “ข้าหวังว่าดาบของท่านจะทำให้ข้ารู้สึกว่าท่านมีคุณสมบัติที่จะเอ่ยประโยคเมื่อครู่ออกมา”

เฉินโม่หลียิ้มน้อย ๆ

เขาไม่ได้พูดอะไร

ทว่ากลิ่นอายแปลกประหลาดกลับแผ่กระจายออกมาจากตัวเขาในทันใด

จู่ ๆ ในร้านเหล้ากลับมีลมหอบหนึ่งพัดเข้ามา

ศิษย์สำนักทุกคนต่างหยุดหายใจ

เฉินโม่หลีไม่ขยับกาย ทว่าพลังปฐมฟ้าดินที่ถูกปลดปล่อยออกมากลับรุนแรงยิ่งขึ้น

ฟิ้ว ๆ …

อุโมงค์ลมช่องเล็ก ๆ นับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นรอบตัวเขา พลังปฐมฟ้าดินพัดกรรโชกออกจากร่าง ถึงความเร็วเท่านี้นับว่ายังอ่อนแอในสายตาผู้ฝึกตน แต่พลังมหาศาลของมันก็สามารถผลักโต๊ะและเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ในร้านให้เคลื่อนออกไปได้

เซี่ยงฉางเชิงนัยน์ตาเยียบเย็น สีหน้าเริ่มซีดลง

เสื้อคลุมของเขาและของคนอื่น ๆ เริ่มพัดปลิวไปตามแรงลม

เป็นขั้นพลังด่านสี่

มีแต่ผู้ฝึกตนที่ขั้นพลังถึงด่านสี่เท่านั้นที่สามารถหลอมพลังปฐมฟ้าดินเข้ากับปราณแท้ขณะบำเพ็ญเพียรได้

ขนตาของหนานกงไฉ่ชูกะพริบ นางโกรธทว่ากลับทำอะไรไม่ได้

ในตอนนั้นเอง กลิ่นอายของเฉินโม่หลีกลับเริ่มเบาบางลง

ราวกับว่าในร่างมีเขื่อนก่อกำเนิดขึ้น เสียงประหลาดดังออกมาจากร่างกายเขา

“ข้าอายุมากกว่าเจ้า หากเอาชนะเจ้าด้วยขั้นพลังของข้าในปัจจุบัน เกรงว่าเจ้าจะไม่ยอมรับ”

เฉินโม่หลีมองศิษย์สำนักในเมืองฉางหลิงด้วยใบหน้าสงบนิ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเย็น “ในหมู่พวกเจ้า ใครที่แข็งแกร่งที่สุด… ข้าสามารถกดด่านพลังให้อยู่ขั้นเดียวกับเขาได้ หากเขาสามารถเอาชนะข้า ข้าจะกล่าวขอโทษและจากไปแต่โดยดี หากข้าชนะ พวกเจ้าโปรดจากไปในทันที”

เชิงอรรถ

(1)                             ถานมู่ ต้นจันทน์