ตอนที่แล้ว[MS] ตอนที่ 16 ฤดูสารทอันแสนวุ่นวาย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 18 ขั้นพลังด่านสี่

ตอนที่ 17 ลวดลายเมฆกลุ่มนั้น


ตอนที่ 17 ลวดลายเมฆกลุ่มนั้น

ชาวฉินเป็นคนนิสัยตรง อารมณ์ร้อน ผิดใจกันเรื่องเล็กน้อยแล้วยกดาบขึ้นต่อสู้นับเป็นภาพที่เห็นได้บ่อย

ทว่าชาวบ้านธรรมดาจะมาสู้กันเพราะเรื่องระหว่างแคว้นได้อย่างไร? เรื่องผิดใจแบบนี้ พออารมณ์เย็นลงก็มักสิ้นสุดลงเอง ไม่มีใครสนใจนัก

ทุกอย่างยังคงเป็นปกติดังเดิม

ติงหนิงทำอย่างทุกวัน ยามมีเวลาว่าง เขาจะท่องไปทั่วฉางหลิง จากนั้นใช้เวลายามค่ำคืนในการบำเพ็ญตน ก่อนที่เช้าตรู่วันต่อมาจะลุกขึ้นมาเปิดร้าน

สภาพอากาศเย็นลงเรื่อย ๆ ติงหนิงรู้ดีว่าในเมืองฉางหลิงนั้น ฤดูสารทผ่านไปเร็วยิ่งนัก ยามเช้าที่น้ำค้างแข็งเริ่มหนาขึ้น ก็สามารถนับนิ้วได้แล้วว่าหิมะแรกจะมาถึงในวันใด

ผ่านพ้นยามเช้าได้ไม่นาน ติงหนิงเพิ่งกินก๋วยเตี๋ยวเครื่องในจนหมด เขาล้างชามก๋วยเตี๋ยวที่มีเขาใช้อยู่คนเดียวในอ่าง ศิษย์สำนักกลุ่มหนึ่ง สวมชุดสีสดใส เดินพูดคุยและหัวเราะไปด้วยออกมาจากตรอกด้านข้าง

ดูจากลายชุดของศิษย์เหล่านั้นแล้ว นัยน์ตาติงหนิงก็ส่องประกาย

เขาเงยหน้าขึ้น มองท้องฟ้าด้านบนต้นอู๋ถงที่ตอนนี้ใบเริ่มร่วง เขารำพันออกมา “ในที่สุดก็มาถึงแล้วหรือ?”

ดาบคืออาวุธหลักของผู้ฝึกตนชาวฉิน

ดินแดนที่ราชวงศ์ฉินชนะได้มานั้น ล้วนมาจากการตวัดดาบหลายปีท่ามกลางสงครามของเหล่าผู้ฝึกตนทั้งสิ้น

หลังจากสำนักดาบแคว้นจ้าวล่มสลายลง สำนักดาบผาหมินแคว้นฉินและสำนักดาบขาดวิญญาณก็กลายเป็นสองสำนับดาบที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

สำนักดาบทั้งสองต่างก็เข้มงวดในการรับศิษย์และสั่งสอนศิษย์เป็นอย่างมาก พวกเขาจะเปิดรับศิษย์เข้าสำนักเป็นเวลา และอนุญาตให้ศิษย์ลงจากเขาได้ หากศิษย์ในสำนักไม่อาจบำเพ็ญเพียรจนถึงด่านพลังที่กำหนด พวกเขาจำต้องอยู่ในสำนักไปชั่วชีวิตเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกผู้อื่นสังหารในดาบเดียวยามลงจากเขา มิเช่นนั้นอาจทำให้ชื่อเสียงของสองสำนักดาบด่างพร้อยได้

นอกจากสำนักดาบสองแห่งแล้ว ยังมีโรงเรียนสอนดาบมีชื่ออีกหลายร้อยแห่งในเมืองฉางหลิง เมื่อมีสำนักดาบผาหมินและสำนักดาบขาดวิญญาณเป็นต้นแบบแล้ว สถานที่ฝึกเหล่านี้ต่างทำตาม เข้มงวดกับศิษย์เช่นเดียวกัน สถานที่ฝึกตนส่วนมากมักปล่อยให้ศิษย์ลงจากเขาได้เมื่อบำเพ็ญขั้นพลังถึงด่านสามหรือสูงกว่านั้น ผู้ที่ยังบำเพ็ญตนไม่ถึงขั้น ทำได้เพียงเดินเล่นอยู่นอกสถานที่ฝึกในวันหยุดที่หาได้ยากเท่านั้น

กลุ่มศิษย์สำนักเหล่านี้ ท่าทางเหมือนนกบินออกจากกรง ชุดมีลวดลายต่างกัน ดาบเองก็ต่างกัน ล้วนเป็นศิษย์ต่างสำนักอย่างเห็นได้ชัด ทว่าเนื่องจากเป็นมิตรที่ดีต่อกันจึงเดินรวมกลุ่มกันมา

ท่ามกลางกลุ่มศิษย์ หลายคนสวมชุดผ้าต่วนเรียบง่ายมีลายเมฆ นัยน์ตาติงหนิงส่องประกาย จับจ้องไปยังลายเมฆเหล่านั้น

ผู้ที่สามารถเข้าร่วมสำนักดาบได้ นับเป็นอัจริยะแห่งฉางหลิง ผู้ที่สามารถอยู่ในสำนักจนถึงที่สุด เขาคนนั้นย่อมมั่นใจว่าจะต้องสามารถเป็นผู้ฝึกตนได้ อีกอย่าง เหล่าผู้ที่สามารถออกมามีความสุขกายสบายใจในวันหยุดได้เช่นนี้ นี่ก็นับเป็นผู้ที่มีความสามารถมากในสำนักเช่นกัน ศิษย์ที่ไม่สามารถฝึกตนและฝ่าด่านให้ได้ในเร็ววันย่อมไม่กล้าผ่อนคลายแม้ในวันหยุดพักผ่อน จำต้องฝึกฝนอย่างหนักหน่วงเพื่อก้าวขึ้นเป็นผู้นำในการฝึกให้จงได้

ผู้ที่เดินอยู่ด้านหน้าสุด เป็นชายหนุ่มร่างสูง ใบหน้าเคร่งขรึม เดินในท่วงท่าน่าเกรงขาม เป็นคุณชายห้าของจวนสวี๋แห่งเมืองหนาน สวี๋เฮ่อซาน

จวนสวี๋เมืองหนานเป็นตระกูลใหญ่จากกวานจงในราชวงศ์ก่อน ตระกูลนี้ได้สร้างแม่ทัพที่มียศขุนนางไว้มากมาย มีครัวเรือนนับพันในครอบครอง นับว่าเป็นตระกูลที่มีรากฐานมั่นคงตระกูลหนึ่ง เป็นตระกูลที่ไม่อ่อนแอลงดังเช่นหลาย ๆ ตระกูลหลังจากมีการบังคับใช้กฎหมายใหม่ในปีหยวนหวู่ที่หนึ่ง

จวนสวี๋ในรุ่นนี้ต่างก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เว้นเสียแต่คุณชายเก้าที่ป่วยตั้งแต่เด็กและไม่สามารถเป็นผู้ฝึกตนได้แล้ว คุณชายคนอื่น ๆ ต่างเข้าร่วมสำนักฝึกตนที่แตกต่างกันไป

สวี๋เฮ่อซานผู้นี้ ฝึกตนอยู่ที่สำนักดาบชิงซง เทียบกับศิษย์ที่อายุเท่ากันแล้ว มีไม่กี่คนที่สามารถเทียบเขาได้

ยังมีเด็กหนุ่มอีกคน สวมชุดผ้าต่วนเรียบง่าย และเด็กสาวที่สวมชุดผ้าต่วนสีม่วง สองคนนี้มีภูมิหลังไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน

เด็กคนที่สวมชุดผ้าต่วนเรียบง่ายผู้นั้นดูอายุราวสิบสาม รูปร่างไม่ใหญ่ไม่เล็ก หน้าตาอ่อนเยาว์ทว่าเต็มไปด้วยความภาคภูมิ ที่แขนเสื้อยังมีลวดลายเมฆ เด็กคนนี้มีนามว่า เซี่ยฉางเชิง ตระกูลเซี่ยเป็นตระกูลมีฐานะจากจงหนาน มารดาของเขามาจากตระกูลสูงส่งในจงซานแคว้นเว่ย ก่อนที่แคว้นฉินกับแคว้นเว่ยจะเริ่มทำสงครามกัน มารดาของเขาได้เร่งเร้าให้ตระกูลฝ่ายบิดาในจงซานย้ายถิ่นฐานมายังเมืองฉางหลิง และตัดความสัมพันธ์ทั้งหมดกับราชวงศ์เว่ย นี่เองจึงทำให้ตระกูลเซี่ยยังครอบครองตำแหน่งในเมืองฉางหลิงเอาไว้ได้ ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะการตัดสินของนางนั่นเอง

ส่วนเด็กสาวชุดม่วงคนนั้นมีนามว่า หนานกงไฉ่ชู เป็นตระกูลใหม่ในเมืองฉางหลิง บิดาของนางเป็นแม่ทัพอยู่ที่มณฑลหลีฉือ ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดที่อยู่ใกล้กับแคว้นจ้าว ปกติแล้ว แม่ทัพที่ประจำอยู่ตามเมืองเหล่านี้ มักเป็นแม่ทัพที่ได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้มากที่สุด

ในขณะที่คนหนุ่มสาวมากความสามารถพวกนี้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แต่ด้วยฐานะตระกูลที่แตกต่างกัน ยามพูดคุย อีกฝ่ายจะยั้งตนหรือระมัดระวังไว้เล็กน้อย ด้วยความเกรงกลัวว่าจะล่วงเกินสามคนนี้เข้า พวกเขาจึงเว้นระยะห่างกับสามคนนี้ไว้ช่วงหนึ่ง ส่งผลให้ระยะที่สามคนนี้ก้าวเดิน ห่างจากคนอื่น ๆ มากพอสมควร

ทว่าสามคนนั้นกลับไม่สังเกตเห็น สวี๋เฮ่อซานที่อยู่ด้านหน้ามีรอยยิ้มบนหน้าและพูดคุยด้วยน้ำเสียงฉะฉาน ยามเมื่อเห็นป้ายร้านเหล้าที่อยู่ด้านหน้า เขาหันไปเล็กน้อย เห็นเพื่อนคนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่ด้านหลัง “คงจะเป็นร้านแห่งนี้ ได้ยินมาว่าพวกเขามีวิธีหมักเหล้าที่ไร้เหตุผล รสชาติแย่ ทว่าเถ้าแก่ของที่นี่งามนัก ลูกค้าจึงมาก วันนี้ข้าอยากมาดูเสียหน่อยว่าข่าวลือเป็นจริงหรือไม่”

เซี่ยฉางเชิงยังเด็กนัก ทว่าเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็สีหน้ายิ้มกริ่ม เขากล่าวขึ้น “เช่นนั้นแล้ว ทำไมเจ้าไม่ไปตกลงกับท่านพ่อเรื่องงานแต่งก่อน รับนางเป็นอนุไว้ กันไม่ให้ผู้อื่นมารับไปก่อนเล่า?”

คนอื่น ๆ พากันหัวเราะ เด็กสาวนามหนานกงไฉ่ชูในชุดผ่าต่วนสีม่วงขมวดคิ้ว เผยสีหน้ารังเกียจออกมา นางมองไปที่สวี๋เฮ่อซานและเซี่ยฉางเชิง ก่อนจะยิ้มเยาะแล้วเอ่ยขึ้นเสียงเย็นชา “ข้าเกรงว่าหากเป็นเช่นนั้น สุดท้ายท่านพ่อของพี่สวี๋คงเป็นคนที่ได้อนุมาเพิ่มอีกคน”

สีหน้าสวี๋เฮ่อซานพลันเปลี่ยนเป็นอึดอัด บิดาของเขาเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นคนเจ้าชู้มักมาก ตอนนี้ก็มีอนุมากถึงเก้าคน

ในเมื่อวันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อนที่หาได้ยาก คนทั้งหมดจึงอารมณ์ดี ท่ามกลางเสียงหัวเราะ สวี๋เฮ่อซานที่เดินนำอยู่ด้านหน้า ในที่สุดก็หยุดฝีเท้าลงที่ร้านเหล้าไร้ชื่อในตรอกอู๋ถง

ติงหนิงมองสวี๋เฮ่อซานเดินเข้าร้านมาด้วยสายตาสงบ

สวี๋เฮ่อซานมองไปรอบร้าน จากนั้นมองไปยังติงหนิงที่ไม่ได้เดินมาต้อนรับ เขาคิด บรรยากาศของร้านเป็นดังที่ข่าวลือว่าไว้ เขาคลี่ยิ้มเป็นมิตร มองติงหนิงก่อนถามขึ้น “เถ้าแก่น้อย เจ้าอยู่ที่นี่คนเดียวหรือ?”

ติงหนิงมองไปยังกลุ่มเด็กมากความสามารถแห่งเมืองฉางหลิง ก่อนเอ่ยถามขึ้นตามตรง “พวกเจ้ามาดื่มเหล้า หรือจะมาหาท่านน้าของข้า?”

เมื่อเห็นติงหนิงตอบเช่นนั้น กลุ่มคนหนุ่มสามต่างพากันชะงักไป จากนั้นจึงนึกได้ว่าอีกฝ่ายคงพบเจอเรื่องแบบนี้มามาก ความคาดหวังจึงยิ่งสูงขึ้น

เซี่ยฉางเชิงที่ยังดูเด็กนักเป็นผู้ที่มีประสบการณ์มากที่สุด เขาคลี่ยิ้ม “ต้องการดื่มเหล้าหรือต้องการมาหาท่านน้าของเจ้าแล้วอย่างไร?”

ติงหนิงเอ่ยขึ้นน้ำเสียงเป็นธรรมชาติ “หากอยากดื่มเหล้า ก็ต้องทำตามกฎ เดินมาจ่ายเงินที่นี่ แล้วหาที่ว่างนั่งเสีย แต่หากอยากมาหาท่านน้าข้า คงไม่ได้เจอ เว้นเสียแต่เหล้าที่นี่จะขายจนหมดเสียก่อน”

“น่าสนใจ”

กลุ่มคนหัวเราะออกมา

“ไม่แปลกที่ร้านขายดีเป็นเทน้ำเทท่า หวังว่าจะไม่น่าผิดหวังไปเสียล่ะ” เซี่ยฉางเชิงส่ายหัวก่อนคลี่ยิ้ม เขาหยิบเหรีญจากเสื้อคลุม ก่อนจะโยนลงบนโต๊ะ

เหรียญนั้นตกลงบนโต๊ะแผ่วเบา ทว่ากลุ่มคนเบื้องหลังเซี่ยฉางเชิงกลับตกตะลึงอยู่ภายใน

เป็นเหรียญรูปมีด

“หากไม่ทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจะให้เหรียญรูปมีดนี้เป็นรางวัล” เซี่ยฉางเชิงเอ่ยขึ้นน้ำเสียงสบาย ๆ ส่งผลให้กลุ่มหนุ่มสาวที่อยู่ด้านหลังรู้สึกถึงความต่างที่มองไม่เห็น

หนานกงไฉ่ชูขมวดคิ้วแน่นในทันใด ถึงตระกูลเซี่ยจะเป็นหนึ่งในตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดจากกวานจง นางก็ยังไม่พอใจกับพฤติกรรมของเซี่ยฉางเชิงอยู่ดี

ถึงเขาจะสามารถทำให้เด็กหนุ่มคนนี้ตกตะลึงได้ เซี่ยฉางเชิงไม่ได้คิดเลยว่า ในชั่วระยะเวลาหนึ่งปี คนส่วนมากยังไม่เคยได้ใช้เหรียญรูปมีดเลยด้วยซ้ำ

ผู้ที่ปฏิบัติตนถูกต้องมักได้รับการสนับสนุน ส่วนผู้ที่ปฏิบัติตนไม่ชอบมักตัวคนเดียว บางครั้ง เป็นเพราะพฤติกรรมที่เผลอทำเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความแตกต่างของชนชั้นฐานะ

ทว่าในครั้งนี้ น้ำเสียงนิ่งสงบกลับเอ่ยขึ้น “หากอยากดื่มเหล้า เชิญบริการตนเอง”

หนางกงไฉ่ชูนิ่งไป

เธอจ้องมองติงหนิงด้วยสีหน้าสับสน ราวกับต้องการจะค้นหาบางสิ่งบางอย่างจากใบหน้าของเขา

คนอื่น ๆ ต่างก็ตกลึงไปเช่นเดียวกัน

เซี่ยฉางเชิงไม่คาดคิดว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้ เขาเงยหน้าขึ้น มองติงหนิงสีหน้าไม่พอใจ ก่อนเอ่ยขึ้น “ซื้อแล้วไม่ดื่มไม่ได้หรือ? ทำการค้าย่อมต้องยืดหยุ่นบ้างตามสมควร เอาเหล้าออกมาอีกได้หรือไม่?”

ติงหนิงหันไปตะโกนใส่ลานด้านในทันที “ท่านน้า”

เซี่ยฉางเชิงชะงักไปเมื่อเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันของติงหนิง

สวี๋เฮ่อซานและคนอื่น ๆ หันมายิ้มให้กัน พวกเขาต่างรู้สึกว่าติงหนิงนั้นน่าสนใจ ม่านที่กั้นสวนชั้นในพลิ้วไสวเล็กน้อย จากนั้นจางซุนเฉียนเสว่ก็เดินอุ้มไหเหล้าออกมา

กลุ่มวัยรุ่นทุกคนรวมถึงสวี๋เฮ่อซาน เซี่ยฉางเชิง และหนานกงไฉ่ชู ต่างก็รู้สึกใจเต้นยามได้ยลโฉมจางซุนเฉียนเสว่ในคราแรก เป็นความตกตะลึงที่มากกว่าการได้เห็นผู้อาวุโสแห่งสำนักดาบแสดงวิชาเสียอีก

พวกเขาต่างตะลึงงัน ไม่อยากเชื่อว่าในสถานที่เช่นอู๋ถงแห่งนี้ จะมีโฉมสะคราญขนาดนี้อยู่ได้

ริมฝีปากเซี่ยฉางเชิงเผยอขึ้นเล็กน้อย เขาที่เพิ่งโยนเงินให้คนเมื่อครู่ ตอนนี้กลับพูดอะไรไม่ออกสักคำ

จางซุนเฉียนเสว่มองเขาด้วยสายตาเย็นชา มือไม้เขารู้สึกเย็นวาบ ทว่ายามเขาได้เห็นโฉมสะคราญเช่นนาง ย่อมต้องนึกอยากเห็นยามนางคลี่ยิ้มว่าจะเป็นเช่นไร

ปึง! จางซุนเฉียนเสว่วางไหเหล้าลงบนโต๊ะหน้าติงหนิง

สวี๋เฮ่อซานเองก็ใจสะดุดไปเช่นเดียวกัน ก่อนสติจะกลับคืนมา

ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ติงหนิงจินตนาการไว้ ทว่าในครั้งนี้ สีหน้าเขากลับเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เสียงกีบม้าดังขึ้น รถม้าคันหนึ่งกำลังคลื่นที่มาจากด้านหนึ่งของตรอก