ตอนที่แล้วบทที่ 38: เจ้าหญิงน้อยตัวจริง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 40: การซื้อขายที่เต็มไปด้วยความถูกต้องและความเมตตา

บทที่ 39 : คลื่นแห่งความร่ำรวย


“180!”

“200!”

“ไม่ได้ครับ ราคามิทริลที่ให้ได้สูงที่สุดคือ 180 เหรียญต่อปอนด์ 200 นั้นเป็นไปไม่ได้หรอกครับ!” อาเธอร์ค้านหัวชนฝา แม้ว่าเขาจะเพิกเฉยต่อจำนวนเหรียญทองที่พวกเขามี แต่เป็นไปไม่ได้หรอกที่เขาจะไม่สนใจต่อการสูญเสียเหรียญทองไปพันกว่าเหรียญ

ในฐานะผู้ดูแลเมืองของเจ้าหญิงแองเจล่า เขาต้องทำทุกอย่างเพื่อปกป้องผลประโยชน์และเกียรติยศของเจ้าหญิง

ในบางสิ่งที่เจ้าหญิงไม่สามารถจัดการเองได้หรือไม่คิดที่จะทำ สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดก็จะถูกจัดการโดยเขา

วิลเลียมและลอทเนอร์เหลือบมองซึ่งกันและกัน ทั้งคู่รู้ว่าพวกเขาไม่สามารถขายมิทริลที่มากกว่า 200 เหรียญต่อปอนด์ในเมืองบลูมูนได้

แต่มันก็ปลอดภัยที่จะทำการซื้อขายที่นี่ เพราะพวกเขาไม่ต้องกังวลว่าเอลฟ์จะเปิดเผยข้อมูลทางธุรกรรม หรือจะส่งคนมาขโมยหรือไล่ล่าพวกเขาหรือไม่

“ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามที่ว่านี่แหละ มิทริล 500 ปอนด์ ราคา 180 เหรียญทองต่อหนึ่งปอนด์ รวมทั้งสิ้นแล้วเป็นเงิน 90,000 เหรียญทอง!” วิลเลียมพยักหน้าให้อาเธอร์

อาเธอร์ดูหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่ได้มีความประทับใจที่ดีต่อวิลเลียมเท่าใดนัก หรืออาจกล่าวได้ว่าเขาไม่ได้มีความประทับใจที่ดีต่อเจ้าชายของป่าแบล็คลีฟเลยสักนิด “ตกลงครับ หากเราต้องการแลกเปลี่ยนกันในตอนนี้ ท่านสามารถนำมิทริลมาและกลับไปได้เลย”

“มันจะดีกว่าไหมหากเราปัดเศษขึ้นเป็น 100,000 เหรียญทอง?” วิลเลียมถามด้วยความระมัดระวัง

“...”

อาเธอร์ที่ตอนแรกหันไปรอบๆก็ค่อยๆหันกลับมาอย่างช้าๆ ดวงตาเย็นชาของเขาราวกับถามวิลเลียมว่า คิดว่าเขาเป็นคนโง่หรือไง

แต่ในขณะนั้น ความสามารถติดตัวดูดีของวิลเลียมที่ทำงานอยู่ก็เกิดผล

เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม

ค่าความประทับใจของอาเธอร์สูงขึ้นถึง 67 หน่วย ซึ่งเกิดเพราะค่าเสน่ห์ของวิลเลียม…

อาเธอร์ไม่รู้ว่าเขาบ้าไปแล้วหรือเปล่าที่จู่ๆ ก็กล่าวอย่างกระทันหันว่า “การเดินทางมาที่นี่ของท่านก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน ข้าจะจ่ายให้ท่านเป็นเงินทั้งสิ้น 91,000 เหรียญทอง!”

การทำธุรกิจครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่นมาก

ไม่ว่าจะเป็นเอลฟ์แบล็คลีฟ, เอลฟ์มูนไลท์ หรือเอลฟ์สโนว์ ต่างล้วนมีบางสิ่งที่คล้ายคลึงกัน นั่นคือความทระนงตน

เขาจะไม่คดโกงการซื้อขายดังกล่าว

นอกเสียจากจะเกี่ยวข้องกับชะตากรรมของเผ่าพันธุ์ตนเอง

แม้ว่าอาเธอร์จะเสียใจและสมองว่างเปล่าไม่น้อยหลังจากพูดอย่างนั้นออกไปกับวิลเลียมที่จากไปแล้ว…

ส่วนเจ้าหญิงที่ได้รับการสนับสนุนจากม้าขาวตัวเล็กนั้น พวกเขาคงไม่ได้พบเจอกันอีก

วิลเลียมไม่ได้เอ้อระเหยลอยชายไปวันๆ แต่เขาก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะเดินทางกลับเช่นกัน เขาให้คนของเขาพักผ่อนสักสองสามชั่วโมงพร้อมกับอาหารเลิศรสมื้อใหญ่ก่อนที่จะเริ่มการเดินทาง

ตามความเร็วของการขุดแร่ในตอนนี้ ทุกๆเดือนพวกเขาจะสามารถขุดมิทริลได้ 100 ปอนด์ ดังนั้น วิลเลียมและอาเธอร์จึงทำสัญญาการซื้อขายมิทริล 50 ปอนด์ต่อเดือน ทำให้เขามีรายได้ 9,000 เหรียญทองในทุกๆเดือน

“ด้วยเหรียญทองทั้ง 91,000 เหรียญที่ได้จากการทำธุรกิจครั้งนี้ ตราบใดที่ท่านลอร์ดใช้เงินอย่างสมเหตุสมผล และรวมกับเหรียญทองที่เราจะได้รับในอนาคต เราจะขยายเมืองของเราให้กลายเป็นเมืองใหญ่ได้ภายในเวลาหกเดือน!” ลอทเนอร์อุทานออกมา “ดูเหมือนว่าเมืองชายแดนจะกลายเป็นที่ที่ดี”

นับตั้งแต่ที่พวกเขามาถึงเมืองชายแดน ในฐานะลอร์ด การพัฒนาเมืองของวิลเลียมไม่ได้ช้าเลยสักนิด ตามจริงแล้วมันถือว่ารวดเร็วมากเสียด้วยซ้ำ

ตัวอย่างเช่นเหมืองเหล็กและเหมืองมิทริลที่ถูกค้นพบอย่างกระทันหัน ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของเหรียญทองทั้งหลายและรากฐานการสร้างเมือง

มีเหล่าคนแคระด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ยังมีเหล่าออร์คที่มอบประสบการณ์การต่อสู้จำนวนมากให้กับนักรบเอลฟ์ในอาณาเขตอีก

คุณต้องรู้ว่า

นอกเหนือจากการฝึกฝน, การกินเนื้ออสูรเวทย์, และการดื่มยาวิเศษแล้ว NPC ยังสามารถเพิ่มระดับผ่านประสบการณ์การต่อสู้ได้อีกด้วย หาก NPC ผ่านการต่อสู้ที่ต้องแลกด้วยชีวิตและความตาย พวกเขาจะสามารถเพิ่มเลเวลได้หลายเลเวล

การเติบโตของ NPC นักรบที่ผ่านสนามมาเป็นร้อยครั้ง แล้วไม่เคยแพ้นั้นเทียบได้กับการเติบโตของผู้เล่นเลยด้วยซ้ำ

นี่คือสาเหตุที่เลเวลของนักรบ NPC เติบโตอย่างรวดเร็วในทุกๆเพดานเลเวลของการอัปเดตเกม

ลอทเนอร์ที่เดิมมีเลเวล 56 นั้นสามารถเพิ่มไปถึง 2 เลเวล หลังจากต่อสู้กับออร์คขาวที่มีเลเวลสูงกว่าเขา และมาถึงเลเวล 58

แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญระดับกลาง แต่เขาก็มีเลเวลที่ใกล้จะถึงเพดานเลเวลที่อยู่เลเวล 70 แล้ว

ด้วยความคิดเช่นนี้ วิลเลียมอดไม่ได้ที่จะมองไปยังลอทเนอร์ เขาคิดที่จะหาสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งเพื่อให้บอดี้การ์ดของเขาไปถึงเพดานเลเวลของเกมเวอร์ชันนี้เสียที

เมื่อเห็นว่าคนมากแผนการอย่างวิลเลียมกำลังจ้องมองตนเองอยู่ ลอทเนอร์ก็ค่อยๆปิดปากตัวเองอย่างช้าๆ

แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังได้ยินคำๆนั้นอยู่ดี…

“ท่านลุง ข้าได้ยินว่ามีสัตว์ประหลาดกินคนอยู่แถวๆนี้ใช่หรือไม่?” วิลเลียมถามอย่างรอบคอบขณะนั่งบนหลังม้า

“อ่า? ที่นี่เหรอ? มีอะไรแบบนั้นที่นี่ด้วยหรือ...?” มุมปากของลอทเนอร์กระตุกยิกๆ สัตว์ประหลาดกินคนอาศัยอยู่กันเป็นกลุ่มๆ ชอบสถานที่ที่มืดและชื้น ดังนั้นพวกมันมักจะเลือกอยู่ในถ้ำใกล้กับทะเลสาบ

ความสามารถของพวกมันน่ะหรอ?

เพราะว่าพวกมันอาศัยอยู่ใกล้กับทะเลสาบ พวกมันจึงมักหาจะสัตว์, อสูรเวทย์ และทุกๆสิ่งที่สามารถเคลื่อนไหวได้

พวกมันแข็งแกร่งมาก…

วิลเลียมอธิบายราวกับว่าเขาไม่เข้าใจอะไรเลย “จะไม่มีได้อย่างไรกัน? ท่านรู้หรือไม่ว่ามีหุบเขาสองลูกที่อยู่ทางใต้ของเมืองชายแดน? นี่นั่นมีทะเลสาบอันกว้างใหญ่อยู่ตรงกลางและเป็นต้นน้ำของแม่น้ำสายรุ้งของเราด้วย”

“ข้ามีความคิดบางอย่างเกี่ยวกับมหาสมุทรและทะเลสาบนั่น”

“เราสามารถสร้างเรือประมงและท่าเรือสองแห่งไว้ตรงที่ที่ใกล้กับทะเลสาบและมหาสมุทร ถ้าทำเช่นนั้น ไม่เพียงแต่จะขยายทรัพยากรทางอาหารการกินได้ แต่ยังทำให้อาหารของพวกเราอุดมสมบูรณ์มากขึ้นอีกด้วย”

“หากเราต้องการเข้าถึงมหาสมุทร ทางที่เร็วที่สุดคือต้องผ่านทะเลสาบไป ถ้าไม่อย่างนั้น เราต้องอ้อมไปตามหุบเขาทั้งสองลูก ในกรณีนี้ เราอาจเกิดการสูญเสีย ไม่เพียงแต่การเดินทางจะยากขึ้น แต่มันยังอันตรายมากอีกด้วย!”

“หากท่านลอร์ดมีคำถาม โปรดว่ามาเถิด ไม่ต้องเรียกข้าว่าท่านลุง...” เมื่อเห็นว่าวิลเลียมกล่าววาจาเหลวไหล ลอทเนอร์จึงไม่มีทางเลือกนอกจากถามออกไป

“ท่านหาเวลาจัดการกับสัตว์ประหลาดกินคนและสัตว์ประหลาดรอบๆทะเลสาบให้หน่อยได้หรือไม่?”

“ไม่มีปัญหา”

“ดีมาก” วิลเลียมพยักหน้า ไม่สนใจลอทเนอร์ที่ทำหน้าจะร้องไห้ ไม่มีทางเลือก เขาไม่รู้ว่าจะปฏิเสธวิลเลียมได้อย่างไรจึงตัดสินใจที่จะจัดการมันเหมือนกับลูกผู้ชายตัวจริง

………………..

ระหว่างทางกลับไม่มีเหตุอันใดเกิดขึ้น

ป่าแบล็คลีฟในส่วนลึกนั้นอันตรายมาก แต่นั่นก็เป็นเพียงสำหรับคนๆเดียวหรือกลุ่มเล็กๆ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนกลุ่มใหญ่ อสูรเวทย์ส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจที่จะล่าพวกเขามาเป็นอาหารมากนัก

นั่นก็คล้ายกับ…

วิลเลียมที่มีเหรียญทองจำนวนมาก เขากลัวว่าอาจจะเกิดอุบัติเหตุจึงไม่ได้สนใจที่จะสู้กับอสูรเวทย์ที่พบเห็น

ในที่สุด

พวกเขาก็เห็นเมืองชายแดน

วิลเลียมและคนของเขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก โอดอมได้หยุดงานของเขาเพื่อตรงเข้ามาต้อนรับด้วยดวงตาที่สดใส

“เพิ่งผ่านไปแค่ 6 วัน ท่านลอร์ดก็เดินทางกลับมาแล้ว ช่างรวดเร็วจริงๆ!” ดวงตาของโอดอมจับจ้องไปที่กล่องและกล่องที่เต็มไปด้วยเหรียญทอง…

คนแคระและมังกรยักษ์มีความสนใจในสิ่งที่คล้ายๆกัน พวกเขาชอบเหรียญทองที่ส่องประกาย

ในเวลาเดียวกันนั้น เหล่าคนแคระก็ชอบการขุดเช่นกัน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมจักรวรรดิคนแคระในยุคก่อนและอาณาจักรคนแคระทั้งเจ็ดจึงเป็นประเทศที่ร่ำรวย และความมั่งคั่งของพวกเขา อาณาจักรของมนุษย์ธรรมดานั้นเทียบไม่ได้เลย

“หยุดมองได้แล้ว! เราจะเพิ่มเงินเดือนให้ท่าน!” วิลเลียมโบกมือตรงหน้าดวงตาของโอดอม แต่ขณะที่เขาเข้าไปในเมือง เขาก็เห็นใบหน้าที่ไม่คุ้ยเคยมากมาย

“พวกเขาเป็นใครกัน?”  วิลเลียมสงสัยเล็กน้อย หรือเคอรรี่จะนำเหล่าทาสมาล่วงหน้า?

โอดอมชี้ไปที่พวกเขา “พวกเขาเป็นคนจนจากอาณาจักรลาวาดำและอาณาจักรเหล็กที่พบว่าเมืองชายแดนกำลังขยายเมืองและจ่ายค่าแรงงาน พวกเขาจึงมาที่นี่เพื่อหางานทำ”

“หกวันที่ท่านออกจากเมืองไป เรามีคนเพิ่มถึง 200 คน และดูเหมือนว่าตัวเลขจะเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ด้วย!”

“พวกเขาต้องการตั้งถิ่นฐานที่นี่หรือไม่?” วิลเลียมมองไปยังคนหนุ่มสาวจำนวนมาก พวกเขาเป็นทรัพยากรที่ดี…

“ผู้คนส่วนมากนั้นคิดเช่นนั้น เพราะว่าเมืองที่กำลังเติบโตนั้นแข็งแกร่งกว่าเมืองของขุนนางที่คอยสูบเลือดสูบเนื้อในอาณาจักรมนุษย์เป็นร้อยเท่า!” โอดอมกล่าว

มีผู้คนที่เข้าร่วมเมืองฝ่ายกลางเยอะขึ้นและเยอะขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าระบบสังคมชนชั้นของมนุษย์นั้นกดขี่ชาวเมืองมากเกินไป...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด