ตอนที่แล้วบทที่ 19 หญิงสาวหน้าห้องเรียน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 21 คนทรงเจ้าซูจิ้งเหวิน

บทที่ 20 คำเชิญ


“เย่โม่... ฉันอยากให้นายช่วยอะไรหน่อย”  น้ำเสียงของซูจิ้งเหวินเหมือนกับกำลังรู้สึกผิดต่อเย่โม่อยู่บ้าง

ว่าแล้ว!  เย่โม่คิดในใจ  แต่ความประทับใจของเขาต่อซูจิ้งเหวินถือว่าดีไม่น้อย  ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเธอร้อนอกร้อนใจอยากช่วยชีวิตแม่  ก็รู้แล้วว่าผู้หญิงคนนี้ควรค่าแก่การช่วยเหลือ  ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่เขาต้องเข้าโรงพัก  แต่นั่นก็เพราะเธอหวังดี

“พูดมาเถอะ  ถ้าช่วยได้ผมก็จะช่วย... ถ้าไม่นานมากนะ  การได้ช่วยสาวงามถือเป็นเกียรติผมเลย”  เย่โม่พูดขำๆ

“เอาจริงๆ นายยิ้มแล้วดูดีมากเลย  นายควรยิ้มบ่อยๆ นะ”  อยู่ๆ ซูจิ้งเหวินก็โพล่งเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาอย่างกะทันหัน

เย่โม่ตะลึงไปชั่วครู่  ถึงเขาจะเข้าใจผู้คนและเรื่องราวของที่นี่มามากพอสมควรแล้ว  ทว่าลึกๆ ในใจแล้วก็ยังมีกำแพงขวางกั้นอยู่  ยิ่งหลังจากต้องเข้าโรงพักครั้งที่แล้วนั้น  กำแพงที่ว่านี้ก็ยิ่งหนาขึ้นไปอีก  เขารู้สึกว่าพลังของเขายังคงต่ำต้อยเกินไปจึงได้เกิดกำแพงนี้ขึ้น  ด้วยกลัวว่าข้อมูลตัวตนของเขาจะถูกเปิดเผยออกไปจนนำมาสู่สถานการณ์เลวร้ายต่างๆ ได้  เพราะอย่างนั้นแล้วเวลาพบปะผู้คนเขาจึงมีนิสัยเย็นชาไร้อารมณ์อย่างเห็นได้ชัด

พอมาตอนนี้เมื่อได้ยินซูจิ้งเหวินพูด  เย่โม่กลับรู้สึกว่าเป็นเขาเองที่ระแวงมากไปหน่อย  ขอแค่ไม่เปิดเผยความลับตัวตนของเขาออกไปก็พอ  เวลาปกติก็ไม่จำเป็นต้องระแวงมากขนาดนี้ก็ได้

“เย่โม่  ที่จริงแล้วฉันได้ยินเรื่องของนายมา....”  ซูจิ้งเหวินพูดถึงตรงนี้ก็หยุดไปแล้วแอบมองสีหน้าของเย่โม่  เมื่อเห็นสีหน้าของเย่โม่ยังปกติดีอยู่จึงค่อยผ่อนลมหายใจออกแล้วพูดต่อ  “ฉันมีญาติผู้หญิงอยู่คนหนึ่งที่มหาลัยหนิงไห่นี้  เธอชื่อว่าซูเหมย  ฉันก็ได้ยินเรื่องของนายมาจากเธอนั่นแหละ  นายกับซูเหมยมีเรื่องผิดใจกันหรือเปล่า  ซูเหมยเธออาจมีนิสัยหยิ่งยโสไปบ้าง  แต่ที่จริงแล้วเธอไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรเลย... เอาเถอะ!  ไม่พูดถึงเธอแล้ว  พอพูดไปพูดมาฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจเธอเหมือนกัน นั่น...นั่น....”   ซูจิ้งเหวินพูดอย่างนั้นอยู่นานก็ยังพูดไม่จบเสียที

ที่จริงแล้วซูเหมยพูดกับซูจิ้งเหวินว่าเย่โม่เป็นพวกไม่มีกาละเทศะอย่างนั้นอย่างนี้  ซึ่งเธอก็ไม่ได้เชื่ออะไรมาก  ซูเหมยเป็นคนยังไงเธอรู้ดี  เหตุผลที่เธอพูดถึงเรื่องของซูเหมยก็เพื่อจะให้เย่โม่ไม่รู้สึกท้อแท้เสียใจเรื่องเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ  เธอยังคิดจะบอกว่าเธอรู้จักคนที่เก่งมากๆ คนหนึ่ง  กระทั่งมนุษย์ผักเขายังรักษาให้หายมาแล้ว... ถ้าหากหาตัวเขาเจอล่ะก็  ไม่แน่อาการของเย่โม่อาจจะรักษาหายก็ได้

แต่คำพูดเหล่านี้ก็ไม่สามารถพูดออกมาได้  ถึงเธอจะสนิทคุ้นเคยกับเย่โม่แล้ว  แต่ก็ไม่ได้สนิทถึงขนาดพูดคุยกันได้ทุกเรื่องขนาดนั้น  เป็นแค่เพื่อนทั่วๆ ไปเท่านั้นเอง  อีกอย่างคำพูดแบบนั้น  ให้ผู้หญิงพูดก็ออกจะกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง

เย่โม่เข้าใจความหมายของซูจิ้งเหวิน  ในเมื่อเธอเป็นญาติของซูเหมย  ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเธอรู้เรื่องของเขาแล้ว ที่เธอไม่กล้าพูดออกมาก็ถือเป็นเรื่องปกติ  เขาจึงโบกมือเพื่อหยุดซูจิ้งเหวินที่กำลังพูดอยู่  “ที่จริงผมก็มีความสุขดีไม่มีปัญหาอะไร  สบายใจเถอะ... แต่ยังไงก็ขอบคุณที่เป็นห่วง  เอาล่ะ!  ตอนนี้บอกมาเถอะว่าอยากให้ช่วยอะไร”

ใบหน้าของซูจิ้งเหวินแดงขึ้นเล็กน้อย  เธอคิดในใจว่าดูจากอารมณ์ของเย่โม่แล้วดูท่าเขาจะไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่เขาเสื่อมสมรรถภาพทางเพศอะไรนั่นแล้ว  หรือว่าเขาจะปล่อยวางไม่สนใจจริงๆ... ทว่าซูจิ้งเหวินเองก็หมายมั่นไว้ในใจ  ถ้าหากหาคนขายยันต์คนนั้นเจอเมื่อไหร่เธอจะขอซื้อยันต์ที่ช่วยรักษาอาการของเย่โม่ให้ได้

ถึงเธอจะไม่ได้รู้จักกับเย่โม่มานานมากนัก  แต่เธอก็รู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมากเมื่อได้อยู่กับเขา  ตัวเย่โม่คล้ายกับแสงอาทิตย์ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกสดใสปลอดโปร่ง  ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกถึงความอึดอัดใจแม้แต่น้อย  สาเหตุนี้เองที่ทำให้เธอเต็มใจจะช่วยเย่โม่

“วันนี้เป็นวันเกิดฉัน  เพราะเกิดปัญหาขึ้นในครอบครัวทำให้ 2-3 ปีที่ผ่านมาฉันไม่ได้ฉลองวันเกิดแบบนี้เลย... วันนี้ตอนเย็นเลยจะชวนนายไปร่วมงานด้วย  นายพอจะให้เกียรติฉันได้ไหม?”  ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ซูจิ้งเหวินไม่ได้พูดก็คือเมื่อถึงเวลางานเธอจำเป็นต้องมีคู่เต้นรำด้วย  แต่ก็ไม่มีคนที่เหมาะสมเลยสักคนเดียว  ได้คนเรียบง่ายบริสุทธิ์อย่างเย่โม่มาช่วยก็พอดีเลย

เย่โม่รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก  ความรู้สึกอบอุ่นสายหนึ่งผุดขึ้นในใจ  ซูจิ้งเหวินรู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นคนที่ถูกทอดทิ้งของตระกูลเย่แต่ก็ยังมาชวนเขาอีก  นี่เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าวิธีคิดของเธอนั้นคล้ายกับชือซิว  แค่นับเขาเป็นเพื่อนเท่านั้น  ไม่มีปัจจัยอื่นใดแอบแฝงอยู่

“แน่นอนสิ!  ขอบคุณที่เชิญผมไปร่วมงานวันเกิด  ตอนเย็นผมต้องไปแน่นอน...”  เย่โม่ตอบรับอย่างยินดี

ซูจิ้งเหวินหยิบบัตรเชิญใบหนึ่งยื่นให้กับเย่โม่  “พอถึงเวลาฉันคงไม่ได้มารับนายนะ 6 โมงเย็นเจอกันที่คลับส่วนตัวหยูหว่าน (ปลาราตรี) บนบัตรจะมีที่อยู่เขียนไว้  ฉันต้องไปรับเพื่อนที่สนามบินก่อน  ไว้เจอกันตอนเย็น”

เย่โม่มองรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ของซูจิ้งเหวินหายลับไป  คิดในใจว่าหากไปงานวันเกิดของ  ซูจิ้งเหวินจะให้ของขวัญเป็นอะไรดี  จะไปมือเปล่าก็คงไม่ดีนัก  ตอนนี้เขายังพอมีเงินติดตัวอยู่บ้าง... แต่เย่โม่ไม่ใช่คนโง่  เงินพวกนี้ยังต้องเก็บไว้เพื่อการฝึกฝนอีก

ท้ายที่สุดแล้วเย่โม่จึงไปตลาดหยกเพื่อซื้อหยกธรรมดาๆ มาชิ้นหนึ่ง  นำมาทำเป็นเครื่องรางอย่างสร้อยข้อมือหยก ถึงจะบอกว่าเป็นสร้อยข้อมือแต่ก็มีแค่หยกขนาดเท่าเม็ดถั่วอยู่ 6 เม็ดเท่านั้น  นั่นก็เพราะหยกที่ซื้อมาถูกเย่โม่ฝนจนกลายเป็นก้อนกลม  แล้วนำมาทำเป็นเครื่องรางป้องกัน  ถึงแม้เครื่องรางป้องกันชิ้นนี้จะไม่มีแม้กระทั่งระดับ  แต่ก็สามารถป้องกันการโจมตีธรรมดาๆ ได้อยู่

เพียงแต่เครื่องรางนี้มีเม็ดหยกเพียง 6 เม็ดเท่านั้น  ทุกครั้งที่มันป้องกันการโจมตีก็จะสร้างความเสียหายให้กับเม็ดหยกไปทีละเม็ด  ถึงรูปลักษณ์ภายนอกจะไม่ได้สวยงามมากมาย  แต่ก็ถือว่ามีประโยชน์ใช้งานได้จริง

ส่วนสาเหตุที่เขาฝนแค่ 6 เม็ดนั้น  ข้อแรกคือเย่โม่จ่ายเงินซื้อหยกไปแค่สามร้อยกว่าหยวนเท่านั้นเอง  ข้อสองคือด้วยพลังปราณของเย่โม่ตอนนี้ทำได้แค่ 6 เม็ดเท่านั้นเอง  แต่บางทีซูจิ้งเหวินทั้งชีวิตก็อาจไม่ได้ใช้เลยสักเม็ดก็ได้

กับคนมีเงินอย่างซูจิ้งเหวิน  หยกราคาแค่สองสามร้อยหยวนตามความคิดของเธอก็คงไม่มีค่าอะไร  สร้อยที่เย่โม่เตรียมให้เธอมีรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์อยู่บ้าง  ไม่แน่ว่าเธอจะใส่มัน  แต่ไม่ว่าเธอจะใส่หรือไม่ก็ตามเย่โม่ก็ไม่มีทางบอกเธอว่าสร้อยเส้นนี้เป็นเครื่องรางเวทย์มนต์

เมื่อเขากลับมาถึงที่พัก  ซู่เวยก็ยังไม่กลับมา  เย่โม่ดูแลดอกไม้ใบหญ้าของเขาอยู่ครู่หนึ่ง… ยังมีเวลาอีก 1 เดือนกว่าเขาจะเก็บเกี่ยวเมล็ดของ ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ ได้  หลังจากทำเรื่องพวกนี้เสร็จเย่โม่จึงมุ่งหน้าไปยังคลับส่วนตัวหยูหว่านอย่างอารมณ์ดี

..........

ณ  สะพานเทียบเครื่องบินของสนามบินหนิงไห่  ซูจิ้งเหวินเพิ่งมาถึงก็เห็นหลี่มู่เหมย  แต่ข้างกายหลี่มู่เหมยยังมีหญิงงามอยู่คนหนึ่ง  กระทั่งเมื่อเทียบกันแล้วยังถือว่าสวยงามเหนือธรรมดากว่าเธออยู่บ้าง  หญิงสาวคนนี้เป็นใครกันถึงได้สวยงามละเอียดละออขนาดนี้!  หากไม่ใช่เพราะบนใบหน้าของเธอคนนี้ปรากฏอารมณ์เศร้าอยู่จางๆ ล่ะก็  ซูจิ้งเหวินคงคิดว่าเธอเป็นเทพเซียนผู้อิ่มทิพย์ไปเสียแล้ว

ไม่เพียงแต่ซูจิ้งเหวินที่คิดแบบนี้เท่านั้น  ผู้คนในสนามบินต่างก็ถูกหนิงชิงเชวี่ยดึงดูดความสนใจเป็นจำนวนมาก  แต่เมื่อซูจิ้งเหวินเดินเขามาหา  สายตาจำนวนไม่น้อยก็มองมาทางซูจิ้งเหวินเช่นกัน  หญิงงามทั้งสอง  ในทางกลับกันหลี่มู่เหมยที่ถึงแม้หน้าตาจะดูดี  แต่เมื่อเทียบกับ 2 สาวแล้วก็นับได้ว่าธรรมดาๆ เท่านั้นเอง

“จิ้งเหวิน!  สุขสันต์วันเกิดนะ!  ฉันรีบมาช่วยงานวันเกิดเธอโดยเฉพาะเลย  ฮิฮิ!”  หลี่มู่เหมยที่เห็นซูจิ้งเหวินเดินมาแต่ไกลก็ส่งเสียงเรียกดังๆ

ซูจิ้งเหวินมาถึงก็จับมือของหลี่มู่เหมยทันทีแล้วพูดขึ้นอย่างยินดี  “มู่เหมย!  ฉันดีใจมากเลยที่เธอมาถึงหนิงไห่ได้ แล้วคนนี้คือ...”

“สวัสดีจิ้งเหวิน  ฉันเป็นญาติของมู่เหมยชื่อว่าหนิงชิงเชวี่ย  ฉันเคยได้ยินเรื่องของเธอมาก่อน… สุขสันต์วันเกิดเช่นกัน”  หนิงชิงเชวี่ยยิ้มบางๆ

“ขอบคุณ  ที่แท้เธอก็คือชิงเชวี่ยนี่เอง  สวยมากจริงๆ มิน่าถึงพูดกันว่าเธอเป็นสาวงามอันดับ 1 ของปักกิ่ง  ขนาดฉันยังใจเต้นเลย...”  ซูจิ้งเหวินคิดไม่ถึงว่าหญิงสาวตรงหน้าก็คือหนิงชิงเชวี่ย  ทว่าเธอกลับเห็นว่าอารมณ์ของหนิงชิงเชวี่ยดูจะโศกเศร้าอยู่บ้าง  ตอนนั้นเธอเองก็นึกถึงเย่โม่ได้ทันทีจึงรีบยั้งปากตัวเองไว้

ราวกับว่าหลี่มู่เหมยจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันหนาวเย็น  จึงรีบพูดขึ้น

“จิ้งเหวิน... ชิงเชวี่ย... พวกเธอเห็นไหมว่าตอนนี้คนมองพวกเราเยอะขนาดไหน  พวกเรารีบไปกันเถอะ!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด