ตอนที่แล้วเล่มที่ 1 บทที่ 4 หนึ่งหมัด, หนึ่งหักจมูก  
ทั้งหมดรายชื่อตอน

เล่มที่ 1 บทที่ 5 พวกป่าเถื่อนแถวชายแดน, พวกคาบช้อนทอง, หรือพวกบ้านนอก


ง่ายๆ, ตรงๆ, เหมือนกับลูกศรที่พุ่งอัดหน้าของชายวัยกลางคนกล้ามโต

ความดุร้ายที่ปะทุขึ้นอย่างกระทันหันของชายชราอิดโรยนั้นทำให้คนหนุ่มสาวส่วนใหญ่ถึงกับทำตาโต ตอนนี้ในสายตาของพวกเขา, ภาพของผู้แพ้และชายชราได้เปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์

“แค่ชายชราจากพรมแดนยังปล่อยการโจมตีรูปแบบนี้ออกมาได้แถมยังจิตสังหารนั่นอีก จอมยุทธระดับนี้จริงๆแล้วเป็นแค่คนขับรถม้าเนี่ยนะ...ดูเหมือนว่าพื้นเพของเด็กหนุ่มนั่นจะไม่ธรรมดาซะแล้ว

ในสถานที่ที่รถม้านับพันมารวมกัน, มีชายวัยกลางคนผมสั้นคนนึงที่สวมชุดคลุมยาวสีเขียวที่ทำมาจากผ้าไหม, ดวงตาของเขานั้นคมเหมือนเหยี่ยว, และตอนนี้ก็กำลังยืนอยู่ข้างหน้ารถม้าสีดำสนิท ในตอนที่ชายกล้ามโตถูกชก, เขาก็พูดประโยคเมื่อสักครู่นี้กับคนขับรถม้าที่อยู่ใกล้ๆเขา

ชายตัวใหญ่สองคนที่อยู่บนรถม้าถัดจากเขาเองก็สวมชุดคลุมยาวสีเขียวที่ทำมาจากผ้าไหมเหมือนกัน, ผิวหนังที่เผยออกมาของพวกเขานั้นเป็นสีทองอร่าม, พวกมันสะท้อนกับแสงราวกับว่าถูกฉาบน้ำมันเอาไว้ พวกเขาทุกคนนั้นต่างก็นั่งตัวตรงเป็นสง่า, การแสดงออกของพวกไม่ใช่ธรรมดาเลย, อย่างไรก็ตามในตอนที่ได้ยินคำพูดของชายวัยกลางคนที่มีสายตาเหมือนเหยี่ยว, ทั้งสองคนนี้ก็โค้งให้เล็กน้อย, และข้างในดวงตาของพวกเขาก็แสดงความเคารพและความนอบน้อมออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ

“นั่นสินะครับ, ท่านใต้เท้า”

“การส่งเสียงรบกวนมากเกินไปและการทะเลาะวิวาทนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ได้รับอนุญาติในบริเวณค่ายพักแรมแห่งนี้”

ในเวลานี้เอง, เซี่ย หยางปิงที่เงียบมาตลอดเวลาตั้งแต่ที่เกิดเรื่องก็พูดขึ้นมากระทันหัน หลังจากที่พูดจบ, เขาก็ไม่สนใจหลิน ฉี, ชายชรา, หรือชายวัยกลางคนกล้ามโตที่ล้มฟุบอยู่กับพื้นโดยที่ปากและจมูกของเขาเต็มไปด้วยเลือดอีก เขาเดินผ่านฝูงหิงห้อยที่ส่องแสงระยิบระยับตรงไปทางกลุ่มเต็นท์ขนาดยักษ์ริมทะเลสาบที่อยู่ไกลๆ, ในขณะที่ถือตะเกียงอยู่

จากนั้นพวกหนุ่มสาวที่อยู่ข้างทะเลสาบนั้นก็ตกอยู่ในความวุ่นวายในทันที

ก่อนที่จะเกิดเรื่องเขาไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย, แต่ในตอนที่การทะเลาะวิวาทจบเขาก็พูดขึ้นมา, การทำแบบนี้มันเป็นการแสดงความลำเอียงออกมาอย่างชัดเจน

“การที่มองความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายไม่ออกมันก็อีกเรื่องนึง, แต่ทั้งๆที่คนของสำนักอยู่แถวนี้กันหมดกลับไม่มีใครออกมาห้ามเลย, นี่มันดูเหมือนตั้งใจจะให้เกิดเรื่องเลยไม่ใช่รึไง?” แม้กระทั่งในกลุ่มหนุ่มสาวที่อยู่ริมทะเลสาบก็ยังมีคนเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ในตอนที่สายตาของพวกเขามองชายหนุ่มที่สวมชุดปักลายสีทอง, พวกเขาจะแสดงความดูถูกออกมา แต่ในตอนที่มองผ่านหลิน ฉี, สายตาของพวกเขาจะแสดงความสนใจออกมาเล็กน้อย

ในอีกด้านนึง, คนที่มีบทบาทสำคัญในการทะเลาวิวาทนี้, ชายชราที่หลิน ฉีเรียกว่าลุงหลิวนั้นดูมีท่าทีไม่ทุกร้อนเลย มันเหมือนกับว่าสำหรับเขามันไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เขาขับรถม้าตรงไปข้างหน้าอย่างใจเย็น, และส่งหลิน ฉีลงที่หน้าแท่นศิลา ในตอนที่เขากลับรถม้าและกำลังจะแยกออกไป, เขาก็ชี้ตรงไปยังจุดที่รถม้านับพันรวมตัวกันอยู่, แล้วพูดกับหลิน ฉีอย่างเงียบๆ “ถ้าเจ้าสอบตก, ข้าจะรอเจ้าอยู่ตรงนั้นนะ”

“เข้าใจแล้วครับ, ลุงหลิว” หลิน ฉียิ้มกว้าง จากนั้นโดยไม่แม้แต่จะชายตามองชายหนุ่มชุดคลุมปักลายสีทองที่ตัวแข็งทื่ออยู่, เขาก็มุ่งหน้าตรงไปยังสถานที่ที่เต็มไปด้วยแสงสดใสจากกองไฟ, สำหรับเขานั้น, สถานที่ที่อยู่เบื้องหน้านี้, มันให้ความรู้สึกเหมือนกับเวทมนตร์, มันเหมือนกับว่าเต็นท์ริมทะเลสาบนั้นคือจุดรวมตัวสำหรับการแข่งขันควิดดิชเวิลด์คัพ

ในขณะที่เขามองดูรอยยิ้มบริสุทธิ์ที่หลิน ฉีแสดงออกมา, ชายชราก็หวนนึกถึงความสบายๆและความเรื่อยๆตามธรรมชาติของหลิน ฉี ซึ่งนี่มันทำให้ชายชรารู้สึกว่าหลิน ฉีนั้นทำตัวน่ารักกว่าพวกหนุ่มสาวคนอื่นๆที่อยู่ที่นี่เยอะเลย แล้วพอมานึกถึงการกระทำของเขาเมื่อซักครู่นี้, เขาก็กังวลว่ามันจะทำให้หลิน ฉีไม่สบายใจ, และมันก็ส่งผลให้เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย

...

หลิน ฉี เดินไปรอบๆในขณะที่ประเมินสภาพแวดล้อมรอบตัวไปด้วย

เต็นท์ทั้งหลายนั้นทำมาจากผ้าฝ้ายหนาสีขาว, ระยะห่างระหว่างเต็นท์จะอยู่ที่ประมาณห้าหรือหกก้าว ตอนนี้, ผู้เข้าสอบส่วนใหญ่ได้ไปรวมตัวกันที่เต็นท์ใกล้ๆกับแท่นศิลา มีบางคนมองหลิน ฉีโดยไม่พูดอะไรหรือขยับไปไหน, บางคนก็สงวนท่าทีและเลือกที่จะระวังตัวเอง,  ด้วยการแยกตัวเข้าไปอยู่ในเต็นท์ของตัวเองแล้ว, ในขณะที่มีหนุ่มสาวบางส่วนที่รวมตัวพูดคุยกันราวกับว่าไม่มีใครอยู่ที่นี่

“เห้อ, เจ้านั่นสวนกลับไม่ได้ด้วยซ้ำ ข้าอุตส่าห์คิดว่าจะได้ดูอะไรที่น่าสนใจนะเนี่ย” ในตอนที่หลิน ฉีเดินผ่านกองไฟกองแรก, เขาก็ได้ยินชายหน้ากลมคนนึงพูดพร้อมถอนหายใจ

“มันไม่ใช่ว่าเขาสวนไม่ได้หรอก, แต่น่าจะเป็นเพราะชายชราคนนั้นแข็งแกร่งเกินไปต่างหากหล่ะ! เจ้ากล้ามนั่นฝึกฝนจนถึงขั้นกระจายพลังฉีแล้ว, แต่เขาก็ยังถูกอัดจมูกด้วยหมัดเดียว, ข้าคิดว่าชายชราคนนั้นอย่างน้อยคงจะอยู่ในขั้นเพิ่มพูนแล้วหล่ะ” ชายหนุ่มตัวสูงที่มีผมยาวสีน้ำตาลธรรมชาติพูดในขณะที่มองชายหนุ่มหน้ากลม

“เจ้ามาจากชายแดนหรอ?” ในตอนที่หลิน ฉีมองสองคนนี้ด้วยความสงสัยอยู่นั้นเอง, ก็มีคนจำนวนหนึ่งเดินมาถามคำถามนี้กับเขา

“จากพรมแดนหรอ?” หลิน ฉีมองอย่างเหม่อลอยเป็นเวลาพักนึง กลุ่มคนที่เดินเข้ามานั้นทุกคนดูค่อนข้างซูบผอมและไว้ผมสั้น, แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ให้ความรู้สึกที่ดูกล้าหาญและมีความสามารถอย่างไม่ธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้น, พวกเขาทุกคนดูแก่กว่าคนอื่นๆ, และสองคนในนั้นก็แบกปลอกดาบยาวสีดำเอาไว้ด้วย

“เจ้าเกิดที่กองทัพชายแดนใช่ไหม?” ในตอนที่พวกเขาเห็นว่า หลิน ฉี ดูเหมือนจะไม่เข้าใจคำถาม, ชายหนุ่มผอมบางที่มีแผลเป็นจากการโดนมีดฟันที่คิ้วซ้ายก็ขมวดคิ้ว, แล้วถามอีกครั้ง

พอถูกถามซ้ำหลิน ฉีก็ส่ายหัวแล้วพูดออกมา “ไม่ใช่หรอก”

ในตอนที่พวกเขาเดินเข้ามานั้นใบหน้าของกลุ่มชายหนุ่มที่ดูกล้าหาญและมีความสามารถพวกนี้ยังมีความเป็นมิตรอยู่, แต่ในตอนที่ได้ฟังคำตอบของหลิน ฉี, สีหน้าของพวกเขาทุกคนก็เปลี่ยนไปในทันที ชายหนุ่มคนนึงที่อยู่ในกลุ่มนั้นที่มีรอยสักรูปหมาป่าที่กลางหลังพูดออกมาอย่างเย็นชาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เห็นไหมข้าบอกแล้วว่าเขาดูไม่เหมือนหนึ่งในพวกเราเลย คนจากชายแดนอย่างพวกเรา, จะมีท่าทีอ้อนแอ้นบอบบางแบบนี้ได้ยังไงกัน?”

“ไปกันเถอะ” หัวหน้ากลุ่มคนผอมที่มีแผลเป็นจากการโดนมีดฟันที่คิ้วซ้ายไม่สนใจหลิน ฉีอีกต่อไป, เขาหันหลังแล้วเดินจากไปในทันที

“ถ้าเจ้าไม่ใช่พวกป่าเถื่อนแถวชายแดน, ก็แสดงว่าเป็นพวกคาบช้อนทองมาเกิดหรือไม่ก็พวกบ้านนอกหน่ะสิ?”ชายท้วมคนนึงเดินเข้ามาหา หลิน ฉี ที่ถูกพวกชายหนุ่มเมื่อสักครู่นี้ทิ้งให้อยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัด

“อะไรคือพวกป่าเถื่อนแถวชายแดน, พวกคาบช้อนทองมาเกิด, หรือพวกบ้านนอกหรอ?” หลิน ฉี มองชายร่างท้วมที่ดูน่าจะมีอายุพอๆกับเขา, แต่สูงประมาณครึ่งศรีษะของเขา, พร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยกระ, แล้วตอบกลับด้วยคำถาม

ชายร่างท้วมดูเหมือนจะตื่นเต้นขึ้นมาในทันที, เขาทำหน้าจริงจังแล้วพูดออกมา “เจ้าไม่รู้แม้กระทั่งเรื่องพวกนี้ก็แสดงว่าเจ้าเป็นเหมือนกับข้าสินะ, ข้าหมายถึงพวกบ้านนอกหน้ะ! เกือบลืม, ข้าชื่อว่าเหมิง ไป่, ข้ามาจากเมืองทางผ่านสุริยาที่อยู่แคว้นด่านทักษิณ”

“ข้าชื่อหลิน ฉี, ข้ามาจากเมืองกวางตะวันออกแคว้นป่าบูรพา” หลิน ฉียื่นมือออกมาตามนิสัย, แต่ในตอนนั้นเองเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่ามันไม่ใช่วัฒนธรรมของโลกนี้, อย่างไรก็ตามเหมิง ไป่คิดว่านี่คงเป็นวัฒนธรรมของกวางตะวันออก, ก็เลยเอามือเช็ดเสื้อผ้าไหมสีเขียวของเขาอย่างมีความสุข, แล้วจับมือกับหลิน ฉี

“ข้ารู้มาว่าแคว้นป่าบูรพานั้นอยู่ทางฝั่งตะวันออกที้ห่างไกล, แต่ข้าไม่เคยได้ยินชื่อเมืองกวางตะวันออกเลย” หลังจากที่เหมิง ไป่กับหลิน ฉีจับมือกัน, เขาก็พูดออกมาตรงๆ

“เจ้ายังรู้เยอะกว่าข้านะ พูดตามตรง, ข้าไม่เคยได้ยินชื่อแคว้นด่านทักษิณด้วยซ้ำ ว่าแต่มันอยู่ทางใต้ใช่ไหม?” หลิน ฉี ถาม

“555” ในตอนนั้นเองทั้ง, หลิน ฉีและเหมิง ไป่ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

“สรุปแล้วพวกป่าเถื่อนแถวชายแดน, พวกคาบช้อนทองมาเกิด, และพวกบ้านนอกคืออะไรหรอ?” หลังจากหัวเราะไปได้ซักพัก, หลิน ฉี ก็ถามชายร่างท้วมคนนี้ด้วยความสนิทสนมที่เพิ่มขึ้นมาก

“มันเป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายมากเลยหล่ะ พวกป่าเถื่อนแถวชายแดนก็คือคนที่ได้รับการแนะนำมาจากกองทัพชายแดนที่มีแต้มบุญหรืออำนาจมากพอที่จะทำให้ถูกแนะนำ, ส่วนพวกคาบช้อนทองมาเกิดก็คือลูกของขุนนางที่มีสิทธิเข้าร่วมการสอบนี้จากชาติตระกูล, และสุดท้ายพวกบ้านนอกก็คือพวกชาวบ้านชาวเมืองที่ถูกแนะนำ คนอย่างพวกเรานั้นถ้าไม่ใช่ตระกูลค้าขายที่มีเงินหนาพอ, ก็คงเป็นพวกกระเป๋าเงินของประเทศที่ใช้เงินซื้อคำแนะนำมา แต่ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน, คนอย่างพวกเราก็มีพื้นเพไม่โดดเด่นอะไรนักหรอก” เหมิง ไป่ตอบ

“ชาวบ้านที่ถูกแนะนำ...พวกบ้านนอกหรอ? นี่มันก็เหมือนกับพวกมักเกิ้ลเลยหน่ะสิ?” หลิน ฉีรู้สึกสนใจขึ้นมาในทันที เขาพูดพลางหัวเราะ “ดูเหมือนชื่อเรียกทั้งสามนี้จะไม่ได้ทำให้รู้สึกดีเลยนะ”

“ก็ใช่หน่ะสิ มันไม่ได้เป็นคำที่ฟังแล้วระรื่นหูซักหน่อย, ชื่อเรียกพวกนี้ก็แค่เรื่องที่ทุกคนจะเลิกพูดกันไปเองหลังจากที่ผ่านไปซักพักนึง”เหมิง ไป่ยิ้ม “พวกคาบช้อนทองมาเกิดกับพวกบ้านนอกนั้นจะรู้สึกว่าพวกที่มาจากกองทัพชายแดนเป็นพวกป่าเถื่อน, ในขณะที่พวกที่มาจากกองทัพชายแดนจะรู้สึกว่าพวกคาบช้อนทองมาเกิดกับพวกบ้านนอกนั้นดูหยิ่งและดูเหมือนกับพวกคุณหนูที่ชอบทำตัวกร่างทั้งๆที่ไม่ได้มีความสามารถอะไร และในด้านของพวกบ้านนอกนั้นจะรู้สึกว่าพวกคาบช้อนทองดูหยิ่งและเอาแต่ใจ คนที่เพิ่งจะมีเรื่องกับเจ้าน่าจะถูกพิจารณาว่าเป็นพวกคาบช้อนทองมาเกิดนะ...ว่าแต่, เจ้าเป็นพวกบ้านนอกจริงๆหรอ? แล้วเจ้าไปหาคนคุ้มกันที่เก่งระดับนั้นมาได้ยังไงเนี่ย?”

หลิน ฉีคิดในใจอยู่พักนึงแล้วตอบ “ข้าน่าจะเป็นพวกบ้านนอกนั่นแหล่ะ, พ่อแม่ของข้ามีร้านค้าอยู่นิดหน่อย, ส่วนลุงหลิวนั้นไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับตระกูลของข้าหรอก ดูเหมือนว่าเจ้าเมืองจะอยากให้ข้ามาเข้าสอบที่นี่หน่ะ”

“ถ้างั้นก็แสดงว่าเจ้าเป็นพวกบ้านนอกที่เป็นอัจฉริยะหน่ะสิ! นี่ก็แสดงว่าพรสวรรค์ของเจ้าคงจะสูงมากเลยสินะ!” เหมิง ไป่พูดโพล่งออกมาด้วยความประหลาดใจ

หลิน ฉี รู้สึกได้ในทันทีว่าสายตาของพวกหนุ่มสาวรอบตัวที่จับจ้องมาที่เขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย

“อะไรคือพวกบ้านนอกอัจฉริยะหรอ?” หลิน ฉีลดเสียงลง, แล้วถามด้วยความเขินเล็กน้อย

“จริงๆแล้วมันก็คือการที่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่มีอำนาจแนะนำยกสิทธิให้กับพวกบ้านนอกธรรมดาที่เขาชื่นชอบมากกว่าลูกของตัวเองหน่ะ, และในตอนที่สิทธิถูกมอบไปแล้ว, ถ้าอยากมอบให้คนอื่นอีก, ก็ต้องทำคุณประโยชน์กับกองทัพหรือต้องสั่งสมความดีความชอบอื่นๆใหม่” เหมิง ไป่พึมพำเบาๆ “โดยปกติแล้ว, สิ่งดีๆแบบนี้ก็ควรจะมอบให้กับคนของตัวเอง, ไม่ใช่เอาไปให้คนอื่น เว้นเสียแต่ว่าเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจะเจอกับพวกอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์พิเศษ, และตัดสินใจแนะนำพวกอัจฉริยะที่มีความโดดเด่นเป็นพิเศษนี้, เพื่อหวังผลตอบแทนอันมหาศาลจากการยกสิทธิแนะนำของพวกเขาให้”

เจ้าหน่ะรึพวกบ้านนอกอัจฉริยะ? ตรงกองเพลิงที่อยู่ห่างออกไปข้างหน้า, มีชายหนุ่มผมดำที่ดูเย็นชาคนนึงมองมาที่หลิน ฉีกับเหมิง ไป่ ณ ตอนนี้, เขากำลังเย้ยหยันและกำลังคิดอยู่ในใจ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้ามีพรสวรรค์เหนือกว่าข้า, เหวิน เสวียนอวี่ผู้นี้

“เจ้ากำลังเคี้ยวอะไรอยู่หรอ เห็นเคี้ยวอยู่ตลอดเลย?” หลิน ฉีค่อนข้างสับสน เขาไม่รู้จริงๆว่าทำไมถึงถูกส่งมาที่นี่ ในเรื่องของพรสวรรค์เอง, ตัวเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเขามีดีอะไร, ซึ่งมันทำให้เขานึกคำพูดไม่ออกเป็นเวลาพักนึง ดังนั้นในตอนที่เห็นเหมิง ไป่กำลังเคี้ยวอะไรบางอย่างอยู่, เขาจึงตัดสินใจถามแบบนี้ออกมาก่อน

“มีพวกบ้านนอกตรงนั้นที่มาจากเมืองจินโจวหน่ะ เนื้ออบแห้งของจินโจวรสชาติดีมากเลย, แต่มันเหนียวไปหน่อย เหมิง ไป่ที่เคี้ยวเนื้อเป็นพักๆชี้ไปยังจุดๆนึง, แล้วจากนั้นหลิน ฉีก็เห็นชายหนุ่มเงียบขรึมที่มีโครงหน้าสี่เหลี่ยมคนนึงพยักหน้าให้เขาด้วยความเขินอายอย่างบอกไม่ถูก, ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนที่ค่อนข้างซื่อ”พวกเราไปคุยกันตรงนั้นไหม? มีพวกบ้านนอกอยู่ตรงนั้นอีกส่วนนึง, ข้าจะแนะนำเจ้าให้พวกเขาเอง และถึงยังไง, พวกเราจะมายืนคุยตรงนี้ไปตลอดไม่ได้หรอกนะ”

“ข้าชื่อเซียง หลิน, ข้ามาจากเมืองจินโจวแคว้นรุ่งเรือง”

“ข้าชื่อหลี่ ไค่ยุ่น, มาจากเมืองพิสุทธิ์เบ่งบานแคว้นแดนอุดร”

“เจ้าจะเรียกข้าว่าจาง ปิงก็ได้, ข้ามาจากเมืองมังกรวารีแคว้นเหินทะยาน”

นาทีต่อมา, หลิน ฉี และพวกบ้านนอกทั้งสี่คนก็เข้าไปนั่งในเต็นท์, และจับกลุ่มพูดคุยกันพลางเคี้ยวเนื้ออบแห้งที่เซียง หลิน เอามาจากจินโจว

หลี่ ไค่ยุ่นนั้นเป็นชายหนุ่มผอมบาง, ผมของเขาเป็นสีเหลืองอ่อน จาง ปิงเป็นคนที่แก่ที่สุดในหมู่พวกเขา, และเป็นคนที่จริงจังที่สุดด้วย จากที่เหมิง ไป่พูด, ร้านโอสถอย่างน้อยครึ่งนึงในแคว้นเหินทะยานนั้นเป็นของตระกูลของจาง ปิง

“หลิน ฉี, เจ้ายากเข้าสาขาไหนในสำนักหลวนขจีมากที่สุดหรอ?”

หลังจากที่ทำความรู้จักกันเรียบร้อยแล้ว, จาง ปิงที่เป็นคนจริงจังที่สุดในกลุ่มก็ถามขึ้นมา

ซึ่งมันก็ทำให้หลิน ฉีสำลักเนื้ออบแห้งที่เขากำลังเคี้ยวอยู่ในทันที, เขาไอออกมาในขณะที่พูด “สำนักหลวนขจีมีแบ่งสาขาด้วยหรอ?”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด