ตอนที่แล้วบทที่ 5 โกหก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 7 การเผชิญหน้า

บทที่ 6 การเปลี่ยนแปลง


บทที่ 6 การเปลี่ยนแปลง

“เจ้าลูกอกตัญญู!”

เสียงของผู้เป็นบิดาอย่างซู่เฉิงดังสนั่นขึ้นทั่วทั้งห้องโถง

“เจ้าลูกอกตัญญู! เจ้ากล้าโกหกข้าอย่างงั้นหรือ!?”

เพี้ยะ! ซู่เฉิงตบเข้าที่ใบหน้าของลูกชายตน

"นั้นท่านกำลังทำอะไร!" ถังหงรุ่ยก้าวออกมาปกป้องบุตรชายของนาง

“เจ้ายังจะปกป้องมันอีกรึ?!” ร่างกายของซู่เฉิงสั่นเทาด้วยความโกรธในขณะที่เขาชี้ไปที่ซู่เฉินและตวาด “เจ้าลูกอกตัญญูนี่กล้าที่จะโกหกพ่อบังเกิดเกล้าของมัน! ดวงตาของมันไม่หายดีเลยแม้แต่น้อย!”

“แล้วอย่างไร?” ถังหงรุ่ยถามกลับตรง ๆ “ที่เฉินเอ๋อต้องทำเช่นนี้ เพราะท่านต้องการจะสนับสนุนข้อเสนอให้เปลี่ยนแปลงระบบการประเมินของผู้อาวุโสสองไม่ใช่หรืออย่างไร?”

“ที่ข้าทำเพราะประโยชน์ที่ดีต่อตระกูล”

“โอ้? ไม่ใช่เพราะมันดีสำหรับภรรยาสี่ของท่านหรอกหรือ?” ถังหงรุ่ยมองซู่เฉิงด้วยสายตาเย็นชา

นับตั้งแต่ที่ซู่เฉิงเริ่มรับภรรยาคนที่สองเข้ามา ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับถังหงรุ่ยก็ค่อย ๆ จางหายไป เมื่อภรรยาคนที่สี่เข้ามา ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาของทั้งสองก็มาถึงจุดต่ำที่สุด

ซู่เฉิงตกตะลึงไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยความโกรธ “ข้าเพียงต้องการมีบุตรเพิ่มอีกคน แต่เจ้ากลับกังวลว่ามันจะทำให้เฉินเอ๋อร์เสียเปรียบและไม่เต็มใจ แล้วเจ้าคิดว่าข้ามีทางเลือกอื่น?”

“ไร้สาระ!” ถังหงรุ่ยถ่มน้ำลายลงตรงหน้าสามีของเธออย่างไม่สุภาพ “เพราะท่านต้องการบุตรเพิ่ม ท่านจึงต้องรับภรรยาทั้งสามเข้ามางั้นหรือ? ชัดได้มันว่ามันก็เป็นเพียงแค่ตัณหาของท่าน!”

ซู่เฉิงอายจนใบหน้าแดงก่ำและพูดทันทีว่า “ข้าคือทายาทของตระกูลใหญ่ การสร้างทายาทและมีลูกหลานมากมายเป็นเรื่องที่ชอบธรรม เฉินเอ๋อร์กลายเป็นคนตาบอด ตอนนี้อนาคตของเขาก็มืดลงไปแล้ว ในฐานะหัวหน้าตระกูลในอนาคต ทายาทของข้าต้องโดดเด่นและมีความสามารถ เจ้ายังไม่เข้าใจในเหตุผลนี้อีกเหรอ?”

คำพูดเหล่านั้นไม่ได้ผิดแต่อย่างใด

ความเชื่อที่เก่าแก่ที่สุดของตระกูลใหญ่คือ ยิ่งมีลูกหลานมากเท่าใด ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น เหตุผลเรื่องนี้นั้นเรียบง่ายมาก สิ่งที่พวกเขาต้องการคือผู้ที่ประสบผลสำเร็จเพียงคนเดียวเพื่อนำตระกูลไปสู่ความรุ่งโรจน์ ไม่มีใครสนใจแม้ว่าลูกหลานส่วนใหญ่จะล้มเหลว

ด้วยเหตุนี้ เมื่อคนรุ่นก่อนเลือกทายาท พวกเขาจะไม่มองเพียงแค่ลูก ๆ ของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังมองลูกหลานของรุ่นสามด้วย

ในฐานะบุตรชายคนโตของผู้นำตระกูล กฎการสืบทอดได้กำหนดให้ซู่เฉิงเป็นผู้นำในอนาคต ทว่าหากเขาไม่มีทายาทที่โดดเด่น เช่นนั้นจาก ‘มีอนาคต’ อาจกลายเป็น ‘ไร้อนาคต’ ได้ ท้ายที่สุดแล้วไม่มีใครอยากให้ตระกูลซู่ตกลงสู่ความขัดแย้งภายในเนื่องจากขาดผู้สืบทอดที่เหมาะสม

ถังหงรุ่ยมองสามีของเธอเด้วยความไม่พอใจอย่างมาก "ท่านเอาแต่พูดและก็พูด สุดท้ายที่เอ่ยมาทั้งหมดก็เพียงแค่เผยให้เห็นว่าท่านเป็นคนเห็นแก่ตัวที่คิดถึงแต่ตัวเองเท่านั้น”

“ข้าคิดถึงแต่ตนเอง?” ซู่เฉิงรู้สึกผิดหวังอย่างมาก “เจ้าคิดว่าใครที่เป็นคนบังลมบังฝนให้มันในช่วงสองปีที่ผ่านกันหากไม่ใช่ข้า ผู้อาวุโสสองต้องการเปลี่ยนระบบมานานแล้ว ข้าคือคนที่ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันของพวกผู้อาวุโสในตระกูล หากไม่ใช่เพราะข้า หลังจากที่กลายเป็นคนตาบอด มันคงไม่ได้รับอันดับหนึ่งหรือแม้แต่อันดับสอง เสียด้วยซ้ำ!”

"ถูกต้อง หลังจากท่านได้ยินว่าดวงตาของลูกดีขึ้น“ถังหงรุ่ยยิ้มอย่างเย้ยหยัน”แต่แล้วตอนนี้ล่ะ?”

ซู่เฉิงไร้ซึ่งคำพูด

"ท่านจะไม่ทนอีกต่อไปแล้วหรือ? หืม?" ถังหงรุ่ยกล่าวต่อ “เพราะท่านพบว่าบุตรชายของท่านไร้ค่าที่จะปกป้อง?”

ใบหน้าของซู่เฉิงกลายเป็นทมึน เขายังเงียบ

ถังหงรุ่ยมองสามีด้วยความผิดหวัง “ซู่เฉิง ข้าได้เห็นแล้วว่าท่านเป็นเพียงคนเห็นแก่ตัวที่เปรียบเทียบบุตรกับผลประโยชน์ของตัวเอง หากเขามีค่าพอ ท่านก็จะดูแลเขาและปกป้องเขาจากลมและฝน แต่หากเขาไร้ค่า ท่านก็พร้อมที่จะทอดทิ้งเขาทันที”

“ข้าทอดทิ้งมันไปเมื่อไหร่กัน?” ซู่เฉิงรู้สึกรำคาญใจเป็นอย่างยิ่ง เขาทำเพียงตบลูกไปครั้งเดียวเท่านั้น? เจ้าเด็กน้อยนี่กล้าที่จะโกหกบิดาของมัน เขาไม่ควรตีสั่งสอนมันเหรอ? เขาพูดว่าจะทิ้งหรือขับไล่มันออกไปเมื่อใดกัน? นอกจากนี้ ก็เห็นกันอยู่ชัด ๆ แล้วว่าตอนนี้บุตรชายของเขาไม่เหมาะที่จะเป็นนักสู้อีกต่อไป….

อย่างไรก็ตามซู่เฉิงก็ไม่ได้พูดคำเหล่านี้ออกไป เขาทำเพียงมองดูลูกชายของเขาเท่านั้น เขาพูดว่า “เฉินเอ๋อร์ บอกข้ามาสิ ทำไมจนถึงตอนนี้เจ้าถึงยังไม่คิดที่จะยอมแพ้กัน?”

“เพราะข้าเชื่อว่าข้าสามารถฟื้นฟูมันได้” ซู่เฉินตอบกลับ “ขอทานชราผู้นั้น กล่าวว่าจะเปลี่ยนดวงตาของข้าไม่ใช่ทำลายพวกมัน เขาบอกข้าว่าเขาจะให้อนาคตที่มีความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัด ซึ่งหมายความว่า ข้าที่จะฟื้นฟูพวกกลับมันได้”

“เจ้าโกหกข้าเพราะคำไร้สาระของขอทานนั้นงั้นหรือ!” ซู่เฉิงตวาดออกมาอย่างไม่สามารถควบคุมตนเองได้

ซู่เฉิงคุ้นเคยกับคำกล่าวเหล่านี้ดี ในช่วงเวลาที่ซู่เฉินตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า เขาและถังหงรุ่ยก็ใช้คำเหล่านี้เพื่อปลอบโยนลูกของพวกเขา

แม้จะผ่านไปสองปีแล้วแต่ดวงตาของซู่เฉินก็ยังคงเหมือนเดิม อนาคตที่มีความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัด?

คำเหล่านี้ก็เป็นเพียงผายลมไร้สาระเพียงเท่านั้น!

ทุกอย่างเป็นเรื่องโกหก คำโกหก!

ซู่เฉิงยอมแพ้กับความคิดนี้ไปแล้ว มีเพียงซู่เฉินและถังหงรุ่ยเท่านั้นที่ยังคงเชื่อว่าตาคู่นั้นมันฟื้นฟูกลับมาได้

“เฉินเอ๋อร์ เจ้าต้องเข้าใจ ความฝันไม่อาจเป็นจริงได้ เจ้าจะไปเชื่อคำกล่าวของบุคคลที่ทำร้ายเจ้าได้อย่างไร? เจ้าต้องตื่นจากฝันที่เป็นภาพลวง มาเผชิญหน้ากับความจริงตรงหน้าเจ้าได้แล้ว!” ซู่เฉิงพูดอย่างจริงใจและจริงจัง

“แล้วยังไงต่อ?” ซู่เฉินยิ้มบาง “เมื่อข้ายอมแพ้ ท่านก็จะสามารถละทิ้งข้าได้อย่างถูกต้องโดยไม่รู้สึกผิดใช่หรือไม่ท่านพ่อ?”

ใจของซู่เฉิงสั่นไหว แผนการที่เขาซ่อนเอาไว้ในใจ ถูกลูกชายของตัวเองมองออกจนหมด เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกกังวลในทันที

เป็นไปได้อย่างไร? ซู่เฉิงอายุเพียงสิบสี่ปี มันจะไปเข้าใจจิตใจของมนุษย์ได้อย่างไร?

หลังจากนั้นความกังวลก็กลายเป็นความโกรธอย่างรวดเร็ว ซู่เฉิงใช้ความโกรธเพื่อปกปิดความรู้สึกผิดของตน ในขณะที่เขาคิดว่ามันคือการลงโทษที่ชอบธรรม ..

ซู่เฉิงตะโกนขึ้นเสียงดัง “อวดดี! นี่หรือคือวิธีการพูดกับบิดาบังเกิดเกล้าของเจ้า?”

ซู่เฉินไม่ได้ตอบอะไร เขาเพียงแค่ "มองดู" ใบหน้าของผู้พ่อของเขาเท่านั้น

แม้ว่าดวงตาของซู่เฉินจะมืดบอด ทว่ามันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากคนปกติเลย ดวงตาที่จ้องมองมาของเขาทั้งสดใสและมีประกายความนึกคิดอยู่ด้านใน

แววตาที่ดูเฉลียวฉลาดและซ่อนความนัยของซู่เฉิน ทำให้ซู่เฉิงผู้เป็นพ่อรู้สึกไม่สบายใจอีกครั้ง

ซู่เฉิงพยายามสงบสติอารมณ์ตัวเอง เขาพยายามควบคุมตนเองทุกทางแต่ก็ล้มเหลว เขาไม่สามารถสบสายตาของลูกชายตนเองได้เลย

หลังจากนั้นไม่นานซู่เฉินก็เอ่ยขึ้น “ท่านพ่อ บอกข้าช่วยได้หรือไม่ว่าข้าทำสิ่งใดผิดกัน?”

ซู่เฉิงเงียบไป

หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ตอบว่า “เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด เจ้าเป็นลูกที่ดีมาตลอด”

“แล้วเหตุใดท่านจึงไม่สนับสนุนในความพยายามของข้า แต่กลับเลือกทางเช่นนี้?” ซู่เฉินถามอีกครั้ง

ซู่เฉิงตอบว่า “ไม่ใช่เรื่องผิดที่เจ้าพยายาม เพียงแต่มันกำลังการปิดกั้นเส้นทางของผู้อื่น”

----------------

หลังจากการโกหกของซู่เฉินถูกเปิดเผย ระบบการประเมินก็ถูกเปลี่ยนโดยไม่มีการคัดค้านใด ๆ อีก

แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรไปมากนัก การประเมินผลสิ้นปียังคงขึ้นอยู่การทดสอบพลังเป็นหลัก แต่เพิ่มสิทธิในการเข้าต่อสู้ท้าทายมา

หลังจากอันดับหนึ่งถูกประกาศออกมา คนผู้นั้นจะต้องยอมรับคำท้าทายจากเด็กคนอื่น ๆ ที่พ่ายแพ้ไป อย่างไรก็ตามผู้ท้าชิงมีเพียงโอกาสเดียวและไม่มีการอนุญาตให้ใช้อาวุธ

การเปลี่ยนแปลงกฎนี้ถูกร่างขึ้นอย่างระมัดระวังและไม่ได้เปลี่ยนแปลงสิ่งใดมากมายนัก เพื่อลดเสียงคัดค้านและเพื่อกำจัดความกังวลของซู่ฉางเช่อ ในเรื่องการบาดเจ็บและเสียชีวิตระหว่างแข่งขัน

แน่นอนว่าเป้าหมายของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ชัดเจนยิ่ง ทุกคนรู้ดีว่าเป้าหมายนั้นก็คือซู่เฉิน

ด้วยเหตุนี้ซู่ชิงจึงตื่นเต้นอย่างมาก เขายังประกาศว่าซู่เฉินควรจะยอมแพ้ในการประเมินสิ้นปี ก่อนที่จะอับอายในการท้าทายเสียดีกว่า

แต่ก็เห็นได้ชัดว่าการคุกคามของซู่ชิงนั้นไร้ประโยชน์

นั่นเป็นเพราะซู่เคจิได้รับข่าวอย่างรวดเร็วว่าซู่เฉินจะเข้าร่วมในการประเมินสิ้นปีนี้อย่างแน่นอน