ตอนที่แล้วบทที่ 4 ไม่ยอมแพ้ (3)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 6 การเปลี่ยนแปลง

บทที่ 5 โกหก


บทที่ 5 โกหก

ข่าวเรื่องการฟื้นฟูดวงตาของซู่เฉินกระจายไปทั่วทั้งตระกูลซู่อย่างรวดเร็วดุจดั่งลมพายุ

ทุกคนต่างก็พากันพูดถึง ทั่วตระกูลซู่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น

มีทั้งผู้ที่ยินดีกับข่าวนี้มากมาย แต่ก็ผู้ที่ผิดหวังอยู่เช่นกัน

เดิมทีหลังจากที่ซู่เฉินสูญเสียการมองเห็น ลานบ้านของเขาก็เงียบเหงาลงมันแทบจะไม่เคยมีผู้ใดมาเยี่ยมเยียน ตอนนี้มันกลับคึกคักและเต็มไปด้วยผู้คนอีกครั้ง แม้แต่หัวหน้าตระกูลซู่ ซู่ฉางเช่อก็ยังมาพบกับหลานชายของเขาด้วยตัวเอง จับมือซู่เฉินและพูดคุยอย่างอบอุ่น หลังจากนั้นผู้อาวุโสในตระกูลซู่ก็ทยอยมาเยี่ยมเขาทีละคน ทั้งท่านลุงจากตระกูลหลักและตระกูลสาขา

แม้แต่ซู่เคจิเองก็นำของขวัญมาเยี่ยมซู่เฉิน เขากล่าวคำยินดีและอวยพรซู่เฉินมากมาย “นับตั้งแต่ได้รู้ว่าดวงตาของเฉินเอ๋อร์ดีขึ้นแล้ว ข้าก็ดีใจยิ่ง คืนนี้ข้าจะดื่มอวยพรยินดีให้เจ้าหลาย ๆ จอกเลย”

เมื่อซู่เฉินได้เช่นนั้น เขาก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูกและกล่าวขึ้นอย่างหมดหนทาง “ลุงสองหากท่านมีเรื่องจะกล่าวก็กล่าวต่อหน้าข้าเถิด มีเรื่องอันใดต้องลังเลใจต่อหน้าข้ากัน?”

ซู่เคจิเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าและหัวเราะออกมา เขาตบไหล่ของซู่เฉินแล้วพูดว่า “หลานชาย เจ้าควรพักผ่อนให้มาก” ก่อนที่เขาจะขอตัวลากลับ

คืนนั้นซู่เฉินได้ยินว่ามีข้ารับใช้คนหนึ่งทำถ้วยแตกโดยไม่ตั้งใจ ทำให้ลุงสองของเขาโกรธมากและทุบตีอีกฝ่ายจนเกือบตาย

ส่วนการเปลี่ยนแปลงระบบการประเมิน เรื่องนั้นก็ได้ถูกปล่อยทิ้งไปตามระเบียบ เพราะหากซู่เฉิงไม่เห็นพ้องด้วย แม้ซู่เคจิจะดิ้นรนยังไง มันก็ยังคงไร้ประโยชน์

นอกจากนั้น ตอนนี้มันก็ไม่มีค่าให้ดิ้นรนอีกต่อไป

สองเดือนต่อมา การประเมินปลายปีที่ยิ่งใหญ่ก็ได้เริ่มต้นขึ้น

ซู่เฉินสร้างความประหลาดใจโดยการชนะได้ที่หนึ่งไปอีกครั้ง และได้รับขวด “แก่นวิญญาณไม้เขียว” เป็นการส่วนตัวจากคุณปู่ของเขา

ทางตอนเหนือของเมืองหลินเป๋ย มีภูเขาลูกหนึ่งที่ถูกขนานนามว่าภูเขาแปดยอด บนยอดเขานั้นมีต้นไม้มหัศจรรย์ที่เรียกว่า“ต้นดอกลายคราม”อยู่ ทุก ๆ ปีต้นไม้นี้จะบานเพียงแค่ครั้งเดียว น้ำวิเศษที่สกัดจากดอกไม้นี้ประกอบไปด้วยพลังงานลึกลับ หากนำไปทาบนร่างกายมันจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต เพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกายและบำรุงวิญญาณ นี่คือความสามารถของแก่นวิญญาณไม้เขียว

อย่างไรก็ตามฤดูออกดอกของต้นไม้นี้จะบานอยู่แค่เพียงครึ่งเดือน ทำให้เก็บเกี่ยวได้อย่างจำกัด ดังนั้นจึงผลิตได้เพียงสามขวดต่อปี

ภูเขาแปดยอดเป็นของตระกูลซู่ ผลคือตระกูลซู่ได้ผูกขาดการครอบครองแก่นวิญญาณไม้เขียว และความช่วยเหลือจากแก่นไม้เขียว นี่เองจึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ตระกูลซู่รุ่งเรืองขึ้น ทุก ๆ ปีตระกูลซู่จะขายออกตลาดไปสองขวดและเก็บอีกหนึ่งขวดไว้ให้ลูกหลานในตระกูลของพวกเขาเอง

ในช่วงหลายปีมานี้ เพราะซู่เฉินเป็นผู้ครองตำแหน่งผู้โดดเด่นที่สุดของทายาทรุ่นสาม แก่นไม้เขียวจึงตกไปเป็นของเขาเสมอ สาเหตุที่ซูเฉินสามารถยกระดับการฝึกฝนของเขาได้แม้เขาจะพิการส่วนใหญ่นั้นก็เป็นเพราะแก่นไม้เขียวนี้นี่เอง

แก่นไม้เขียวคือสิ่งที่ซู่เคจิปรารถนาและอยากจะได้มันมาครอบครองเป็นอย่างมาก

ก่อนที่ซู่เฉินจะตาบอด ซู่เคจิอิจฉาเขามากแต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้เลย อย่างไรก็ตามตอนนี้ซู่เฉินตาบอดไปแล้ว เขารู้สึกว่ามันเสียของอย่างยิ่งหากปล่อยให้ซู่เฉินใช้มัน หากสามารถย้อนเวลากลับไปได้ ซู่เคจิจะกลับไปเอาขวดพวกนั้นคืนมาจากอีกฝ่ายและมอบมันให้กับลูกชายของเขาแทนเสียดีกว่า

สิ่งที่เสียไปแล้วก็คือเสียไปแล้ว ซู่เคจิไม่สามารถทำอะไรได้ เมื่อเขาเห็นซู่เฉินได้ขวดหยกนั้นไปอีกครั้ง ซู่เคจิก็เข้าใจทันทีว่าเขาสูญเสียโอกาสไปอีกครั้งแล้ว และคงมีโอกาสเหลืออีกไม่มาก

ในพริบตาเวลาหลายเดือนก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วันนี้ซู่เฉินกำลังฝึกฝนหมัดพยัคฆ์เพลิงอยู่ในลานฝึก หมัดพยัคฆ์เพลิงนี้เป็นเคล็ดวิชาการต่อสู้ที่สืบทอดกันมาของบรรพบุรุษตระกูลซู่ มันนับเป็นวิชาที่ดุดันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง เพื่อปรับปรุงความแข็งแกร่งและพัฒนาเคล็ดวิชานี้ ซู่ฉางเช่อได้ใช้เงินจำนวนมากกวาดซื้อขวดยาแก่นโลหิตพยัคฆ์เพลิงคำรามมา ทำให้เขาได้รับสายเลือดของพยัคฆ์เพลิงคำราม แล้วก้าวเข้าสู่เขตแดนหยางและกลายเป็นเสาหลักแห่งตระกูลซู่

ซู่เฉินปล่อยหมัดไปที่เสาเหล็กตรงหน้าของเขาอย่างต่อเนื่อง ผ่านไปครู่หนึ่ง เสาเหล็กก็ขยับไหวจนก่อให้เกิดเสียงดังขึ้นเป็นระยะ เพราะเขาสูญเสียการมองเห็น ดังนั้นซู่เฉินจึงใส่ใจและระมัดระวังทุกการเคลื่อนไหวของเขาเป็นพิเศษ ทุกการกระทำเป็นล้วนเส้นตรงเสมอต้นเสมอปลายราวถูกวัดด้วยไม้บรรทัด ดังนั้นแม้ว่าเขาจะก้าวถอยกลับมา แต่มันก็ไม่เคยหลุดออกจากทิศทางเดิมเลย

หลังจากหมัดที่ดูราว‘ พยัคฆ์พุ่งลงจากภูเขา’ กระแทกเข้ากับเสาเหล็ก เสียงก้องกังวานของไม้แข็งที่หุ้มเสาเหล็กแตกออกก็ดังขึ้น เศษไม้ร่วงหล่นกระจัดกระจายไปทั่วพื้น รอยกำปั้นของซู่เฉินประทับเด่นอยู่บนเสาเหล็กที่ดูเหมือนจะโค้งไปจากเดิมเล็กน้อย

“เป็นหมัดที่ดี!” เสียงชื่นชมดังมาจากทางด้านหลังของซู่เฉิน

รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซู่เฉิน “ท่านลุงสาม”

ผู้ที่ก้าวเข้ามาในลานฝึกเป็นชายวัยกลางคนที่มีท่าทางน่าเกรงขามและบุคลิกสง่างาม หนวดเส้นที่ประดับอยู่บนมุมปากกับดวงตาที่สดใสของเขาดูสะดุดตาเป็นพิเศษ

นี่คือบุตรชายคนที่สามของผู้นำตระกูลซู่ ซู่เฟยหู

ในบรรดาสมาชิกของตระกูลซู่ ซู่เฟยหูเป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับซู่เฉินมากที่สุด หลังจากซู่เฉินสูญเสียการมองเห็น ซู่เฟยหูได้ออกไปลากพาตัวหมอชื่อดังกว่าสิบคนจากทั่วเมืองหลินเป่ยเพื่อมารักษาซู่เฉินด้วยตัวเอง เรื่องนี้ทำให้เขากลายเป็นเป้าหมายในการร้องเรียนของหมอเมืองหลินเป่ยอยู่พักใหญ่ แต่ในเมื่อเขาเป็นบุตรคนที่สามของผู้นำตระกูลซู่ แล้วจะมีใครทำอะไรเขาได้กัน?

ซู่เฟยหูเดินก้าวยาว ๆ มายืนอยู่ที่ด้านข้างของซู่เฉิน เขาจ้องมองซู่เฉินก่อนจะพูดว่า “ดูเหมือนว่าอีกไม่นาน เจ้าก็จะบรรลุขั้นที่แปดแล้ว เจ้าช่างก้าวหน้าได้รวดเร็วยิ่งนัก”

“รวดเร็ว?” ซู่เฉินยิ้มอย่างขมขื่น “ที่จริงแล้ว ข้ายังคงรู้สึกว่ามันช้าเกินไป หากไม่ใช่เพราะดวงตาของข้าที่เป็นเช่นนี้ ตอนนี้ข้าคงจะบรรลุผ่านขั้นที่เก้าหรือไม่อย่างน้อยก็ใกล้จะบรรลุมันแล้ว”

มีเพียงตัวซู่เฉินเองเท่านั้น ที่เข้าใจว่าการสูญเสียการมองเห็นไปนั้นมีผลกระทบต่อเขามากเพียงใด

คนอื่น ๆ อาจจะมองเห็นว่าการโจมตีของซู่เฉินเปี่ยมไปด้วยพลังและความแข็งแกร่ง ทว่านี่คือสิ่งที่ค่อย ๆ สะสมมาจากการฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลากว่าสองปี

เพื่อให้สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นธรรมชาติ ซู่เฉินต้องจ่ายไปด้วยแรงกายจำนวนมาก

ซู่เฟยหูเข้าใจความรู้สึกของซู่เฉิน เขาวางมือบนไหล่ของซู่เฉินและถอนหายใจ “การที่สามารถบรรลุได้ถึงขั้นนี้ถือว่าดีมากแล้ว ตระกูลซู่ของเราควรภูมิใจที่ได้มีลูกหลานเช่นเจ้า”

“ถึงจะเป็นเช่นไร แต่พวกเขาก็คงไม่ใจกว้างแค่เพียงเพราะเรื่องนี้ใช่หรือไม่?” ซู่เฉินตอบกลับ

ซู่เฟยหูหยุดชะงักไปชั่วครู่ “เจ้ารู้งั้นหรือ?”

ซู่เฉินลดน้ำเสียงลงเล็กน้อยและกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วแล้ว แม้ข้าจะกลายเป็นคนตาบอดแต่หูของข้านั้นยังคงใช้งานได้ดี ... ท้ายที่สุดพวกเขาก็ไม่สามารถรอได้”

ถูกต้อง ตระกูลซู่ไม่สามารถทนรอได้อีกต่อไป

ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา สมาชิกตระกูลซู่ได้รอคอยให้ดวงตาของซู่เฉินฟื้นฟูกลับมาอย่างสมบูรณ์ แต่การรอคอยของพวกเขาได้รับแต่ความผิดหวังเท่านั้น

บางคนก็เริ่มรู้สึกไม่พอใจ หากซู่เฉินไม่สามารถฟื้นฟูดวงตาของเขากลับมาได้ เช่นนั้นเขาก็ไม่ต่างอะไรกับอัจฉริยะที่ตายแล้ว

ซู่เฟยหูตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เจือด้วยความโกรธ “ซู่เคจิออกมาพูดให้ร้ายเจ้า มันกล่าวหาว่าเจ้าโกหกและหลอกตระกูลตั้งแต่ต้น ดวงตาของเจ้านั้นแท้จริงไม่อาจฟื้นฟูได้อีกแล้ว กลุ่มคนเฒ่าโง่เขลาในตระกูลก็เห็นด้วยความคำพูดของมัน พวกมันต้องการให้เจ้าเข้ารับการทดสอบโดยการปิดผนึกสัมผัสการฟังของเจ้า”

การให้เขารับทดสอบโดยการปิดผนึกสัมผัสการฟัง พวกเขาต้องการตรวจสอบการมองเห็นของซู่เฉินอย่างจริงจัง ในระหว่างการทดสอบนั้นการได้ยินของซู่เฉินจะถูกปิดผนึกไว้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง

เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาซู่เคจิเสนอข้อเสนอนี้ขึ้นมา อย่างไรก็ตามหัวหน้าตระกูลซู่ ซู่ฉางเช่อไม่เห็นด้วยและปฏิเสธเขา

แม้การทดสอบนั้นไม่ใช่เรื่องยาก ทว่าการทำเช่นนั้นจะแสดงให้เห็นว่าตระกูลไม่ไว้ใจคนรุ่นใหม่ของพวกเขา ซู่เฉินไม่ใช่ผู้สืบทอดที่ไม่คู่ควร กลับตรงกันข้าม มันเป็นเพราะเขายอดเยี่ยมมากจนไม่มีเหตุผลให้ตระกูลต้องทำเรื่องเช่นนั้น

อย่างไรก็ตาม หลังจากครึ่งปีผ่านไปโดยปราศจากข่าวคราว เสียงที่หายไปก่อนหน้านี้ก็ได้ดังขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้แม้แต่ซู่ฉางเช่อก็ไม่สามารถปฏิเสธและทัดท้านได้

“จากที่ท่านลุงกล่าวมา หมายความว่าตระกูลตัดสินใจจะให้ข้าเข้ารับการทดสอบอย่างนั้นหรือ?” ซู่เฉินถาม

“ใช่ พวกเขาให้ข้ามาเพื่อบอกเจ้า”

ปัง!

ซู่เฉินบีบเศษไม้ในมือของเขาจนแหลก มือของเขาสั่นเทา

หลังจากสูดหายใจเข้าลึก ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ซู่เฉินก็ค่อย ๆ สงบในคลื่นใหญ่ในใจของเขาลง และเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่สงบเป็นพิเศษ “เช่นนั้นข้าก็คงรบกวนท่านลุงสามกลับไปแจ้งแก่พวกเขาแล้ว ว่าข้าไม่จำเป็นต้องรับการทดสอบนี้”

“เพราะเหตุใด?” ซู่เฟยหูไม่เข้าใจว่าซู่เฉินหมายความว่าอย่างไร

ซู่เฉินตอบว่า “แท้จริงแล้วข้าโกหก ... ดวงตาของข้าไม่ได้ฟื้นฟูกลับมาเลยแม้แต่น้อย”