ตอนที่แล้วบทที่ 36: เดินหน้าสู่ทะเลสาบบลูมูน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 38: เจ้าหญิงน้อยตัวจริง

บทที่ 37 : อย่าวิ่งหลังเลิกเรียน!


เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ

วิลเลียมและพรรคพวกมาถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัย

ส่วนที่แตกต่างของทะเลสาบบลูมูนค่อยๆรวมเข้ากันอย่างช้าๆจนกลายเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ เมื่อพวกเขาเข้าใกล้เมืองบลูมูนมากเท่าไหร่ วิสัยทัศน์ก็กว้างขึ้นเท่านั้น

เมื่อมีเอลฟ์กว่าหมื่นตนอาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้ ขนาดของเมืองนี้จึงใหญ่กว่าเมืองชายแดนในปัจจุบันอยู่หลายเท่านัก

นอกจากเมืองหลวงอย่างเมืองดาร์กไนท์แล้ว เหล่าเอลฟ์แบล็คลีฟมักจะอยู่ตามแนวชายแดนเพราะว่าพวกเขาชอบที่จะอยู่บนต้นไม้และชอบวิสัยทัศน์ที่สมบูรณ์อิสระ เอลฟ์ผู้วิเศษที่ใช้เวทย์ธาตุไม้มักจะมีความรู้เกี่ยวกับทักษะและมรดกตกทอดที่หายาก

พวกเขาสามารถปลูกเมล็ดพรรณเวทมนตร์บนพื้นดินและใช้เวทมนตร์ทำให้เมล็ดพรรณงอกเงยได้อย่างงดงาม และหลังจากมันเติบโตแล้วก็ยังสามารถปรับเปลี่ยนรูปร่างของต้นไม้ให้กลายเป็นบ้านต้นไม้ประเภทต่างๆได้

เพราะฉะนั้น เมืองเอลฟ์ที่งดงามและน่าตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่งเช่นนี้จึงค่อยๆปรากฏขึ้นในสายตาของทุกๆคน

ภาพที่พวกเขาเห็นคือ…

ต้นไม้สูงชะลูดเชื่อมโยงติดต่อกันเป็นทอดๆ ขณะที่บ้านต้นไม้แต่ละหลังก็แตกต่างกันออกไปและสวยงามประณีตหยดย้อย ทั้งหมดถูกสร้างขึ้นบนต้นไม้ที่สูงกว่าสิบเมตรจากพื้นดิน ตามระเบียงต่างก็มีดอกไม้สีสันสดใสนานาชนิด

กิ่งไม้แต่ละต้นเปรียบได้กับเส้นทางที่เชื่อมระหว่างบ้านต้นไม้แต่ละหลังเข้าด้วยกัน เหล่าเอลฟ์ที่อาศัยอยู่ต่างพากันเดินบนกิ่งไม้อย่างคล่องแคล่ว แม้ว่าพวกเขาจะเริ่มวิ่งก็ไม่มีทางที่จะตกลงมาได้

ราวกับลิงที่สามารถรู้วิธีปีนต้นไม้ได้ตั้งแต่กำเนิด

ภายใต้กิ่งก้านสาขาเต็มไปด้วยเถาวัลย์ขดพันกันไปมา และเมื่อเถาวัลย์เหล่านี้ถูกร่ายด้วยเวทมนตร์ พวกมันก็กลายเป็นชิงช้า, บันได, และเปลญวน

พวกเอลฟ์จะอาศัยอยู่ทางฝั่งทิศใต้ ในขณะที่ทะเลสาบบลูมูนจะอยู่ทางทิศเหนือ เมื่อเปิดหน้าต่างในทุกๆเช้าจะสามารถพบกับทะเลสาบที่เงียบสงบและเป็นประกายระยิบระยับ

การมาถึงของวิลเลียมและพรรคพวกของเขาได้ดึงดูดความสนใจของเอลฟ์หลายๆตน มีเอลฟ์น้อยบางตนที่เล่นอยู่แถวๆทะเลสาบมองมายังวิลเลียมที่เป็นผู้นำด้วยความอยากรู้อยากเห็น และพูดอย่างไม่คำนึงถึงสิ่งใดว่า “ลุงคะ ทำไมลุงถึงไม่มอมแมมล่ะคะ?”

“...”

วิลเลียมหันกลับไปมองคนของเขาที่ดูไม่จืดเลยสักนิด ก่อนจะใช้สายตาที่ผ่อนคลาย

จากนั้นเขาก็ลงจากหลังม้า เดินไปยังตรงหน้าของเด็กหญิงตัวเล็ก แล้วลูบหัวเธอเบาๆ “เพราะว่าเธอเตี้ยกว่าฉันถึงไม่เข้าใจยังไงล่ะ”

“...”

เอลฟ์ตัวน้อยสับสนไปหมด เธอไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าประโยคนั้นแปลว่าอะไร เธอจำไม่ได้ว่าคำตอบของคุณลุงคนนี้เกี่ยวกับคำถามของตนเองอย่างไร

แต่กว่าเธอจะเรียกสติคืนมาได้ วิลเลียมก็จากไปพร้อมกับคนของเขาเสียแล้ว

แต่เมื่อหนูน้อยกลับไปคิดถึงเหล่าฝูงปลาในทะเลสาบบลูมูนอีกครั้ง เธอก็ไปเล่นและจับปลากับเพื่อนของเธอต่อ…

เมื่อพบกับการมาถึงของเอลฟ์สวมชุดเกราะ เอลฟ์ในเมืองบลูมูนก็ไม่ได้ยินดีมากนัก

แม้ว่าเอลฟ์จะพบกับเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานหลายทศวรรษ พวกเขาก็จะไม่กอดและทักทายกันเสียงดัง

แน่นอนว่าถ้าความสัมพันธ์ของพวกเขาดีมาก พวกเขาก็จะแค่พยักหน้าและดื่มเหล้าผลไม้ พูดคุยกันถึงสิ่งที่น่าสนใจที่พวกเขาพบเจอระหว่างแยกทางกันเท่านั้น

ด้วยช่วงชีวิตที่ยาวนานทำให้พวกเขาคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตไปอย่างช้าๆ

พวกเขาชอบชื่นชมศิลปะ เพลิดเพลินไปกับความงามของธรรมชาติ และสนุกไปกับชีวิตอย่างเหมาะสมแทนที่จะไปไล่ฆ่าเผ่าพันธุ์อื่น

สิ่งเหล่านี้ยังทำให้เอลฟ์ที่มีอายุมากกว่า มีประสบการณ์มากขึ้นในบางแง่มุม

เอลฟ์ช่างตีเหล็กที่แท้จริงนั้นสามารถก้าวเข้าสู่ระดับแกรนด์มาสเตอร์หรือระดับรีเจนดารีได้ตราบใดที่พวกเขามีชีวิตอยู่ได้นานถึงพันปีและชอบในงานอดิเรกเช่นนี้ แม้ว่าความสามารถของเขาจะตกต่ำแค่ไหนก็ตาม

มีบางคนเคยกล่าวว่าหากหมูใช้ชีวิตอยู่ได้ราวหมื่นปี ก็อาจกลายเป็นพระเจ้าได้เช่นกัน

แม้ว่าจะไม่ได้เป็นพระเจ้า แต่หมูที่ใช้ชีวิตราวหมื่นปีก็คงกลายเป็นตำนาน

ครั้งหนึ่ง ผู้เล่นเคยคัดสรรความลึกลับอันใหญ่ของ Gods สิบข้อที่ยังไม่ถูกแก้ไข

หนึ่งในนั้นก็คือ เอลฟ์มีอาชีพระดับรีเจนดารีกี่อาชีพ?

ไม่มีใครรู้จำนวนที่แน่นอน รู้แต่ว่ามีอยู่จำนวนมาก

ไม่ต้องสงสัยเลย นักรบเอลฟ์ที่อายุมากกว่านั้นจะแข็งแกร่งกว่าเอลฟ์ที่อายุน้อย แม้ว่าประสบการณ์การต่อสู้ ทักษะ และพลังการต่อสู้หรือความสามารถทางเวทมนตร์จะไม่เปลี่ยนแปลง และไม่ได้เพิ่มระดับใดๆขึ้นอีก แต่ค่าสถานะส่วนบุคคลของพวกเขาก็ยังคงเติบโตตามกาลเวลา

คล้ายกับมังกรยักษ์แกร่งกล้าที่มีอายุยาวนานมากๆ จึงไม่ค่อยมีใครกล้ารุกรานเอลฟ์ที่มีอายุเกินกว่าพันปีเท่าใดนัก

เหล่าเอลฟ์ที่อายุยืนยาวเหล่านี้จะมีสติปัญญามากกว่าเหล่าอัจฉริยะของมนุษย์ นอกจากนั้นยังเป็นเผ่าพันธุ์ที่รวมเหล่าผู้มีสติปัญญาเอาไว้มากมาย

พวกเขาทำสงครามและเผชิญกับความท้าทายมากมายในชีวิต เมื่อต้องการทำสิ่งใดสักสิ่งหนึ่ง พวกเขาจะทำให้คู่ต่อสู้สูญเสียความหวัง

นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่เอลฟ์ไม่อยากพิชิตทวีป ความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่เคยลดลงและยังคงเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์ที่มีความสำคัญที่สุดในทวีปนี้

………………….

เมื่อกลุ่มของพวกเขามาถึงใจกลางเมืองเอลฟ์ หลังจากฝากม้าไว้เรียบร้อยแล้ว ลอทเนอร์ก็พาวิลเลียมไปพบกับผู้ดูแลเมืองบลูมูน

ส่วนนักรบตนอื่นๆนั้น เนื่องจากพวกเขาดูเลอะเทอะไม่น้อยเลย จึงถูกเชิญเข้าไปชำระกายในบ้านของเอลฟ์ที่อบอุ่นและเป็นมิตร

เอลฟ์ที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในสังคมมนุษย์จะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับทรัพย์สมบัติมากนัก จึงเป็นเรื่องปกติที่จะต้อนรับผู้คนด้วยความอบอุ่น

แน่นอนว่าเอลฟ์นั้นร่ำรวย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ค่อยสนใจเรื่องใดๆมากนัก…

ยิ่งไปกว่านั้นเหล่าเอลฟ์ชอบที่จะพึ่งพาตนเองเสียมากกว่า ตราบใดที่พวกเขายังอาศัยอยู่ในป่า อาหารการกินก็ไม่ใช่ปัญหาและอาจจะมีสมบัติมากขึ้นเรื่อยๆด้วยซ้ำ…

วิลเลียมและลอทเนอร์มาถึจุดศูนย์กลางเมืองบลูมูน ทั้งคู่มองสิ่งที่สูงอย่างน้อยสามร้อยเมตรพร้อมกัน

นี่คือต้นไม้ดวงจันทร์ รากของมันหนาและแข็งแรงมาก มีความยาวอย่างน้อยสิบเมตร แค่จำนวนบ้านต้นไม้บนต้นไม้ต้นนี้ก็มีไม่น้อยกว่าร้อยหลังแล้ว

สิ่งที่น่าตกใจที่สุดคือ…

ในทุกๆคืน…

ต้นไม้ดวงจันทร์ทั้งต้นจะเปล่งแสงรำไร…

ซึ่งมันชัดเจนมาก

ว่านี่คือสถานที่ที่เอลฟ์มูนไลท์อาศัยอยู่ บ้านต้นไม้ที่สูงและสวยงามที่สุดบนยอดไม้คงจะเป็นบ้านของเจ้าหญิงเอลฟ์มูนไลท์น้อย

“ชิ นี่คงเป็นการปกป้องดูแลเจ้าหญิงสินะ...” วิลเลียมรู้สึกขมขื่นเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะตัวเขาเองแต่เป็นวิลเลียมคนก่อน

“เธอเป็นเจ้าหญิงเอลฟ์มูนไลท์ที่อายุน้อยที่สุด ท่านคงรู้ว่าพี่น้องที่อายุน้อยที่สุดของเธอก็มีอายุมากกว่าเธออย่างน้อย 800 ปี”

“ตอนนี้ราชาเอลฟ์มูนไลท์ก็ชราภาพมากและเกือบจะกลับสู่อ้อมแขนของต้นไม้เวิล์ดแล้ว ท่านจะไม่ยินดีกับการมีบุตรสาวได้เช่นไร?” ลอทเนอร์บุ้ยปาก

ดูเหมือนว่าลอทเนอร์ต้องการให้วิลเลียมเข้าใจความแตกต่างระหว่างพวกเขา ท้ายที่สุดแล้ว นี่ก็เป็นบุตรสาวของราชาเอลฟ์คนหนึ่ง…

วิลเลียมพยักหน้าช้าๆ เขาไม่มีความสุขเลยสักนิด...

เขาเพียงเงยหน้าขึ้นมองและเดินเข้าไปยังโพรงต้นไม้ที่อยู่ถัดจากรากของมัน ในฐานะที่เป็นที่พำนักของเจ้าหญิงเอลฟ์ พวกเขาอยากให้เจ้าหญิงน้อยปีนต้นไม้ขณะที่สวมชุดกระโปรง ปล่อยให้ผู้คนจำนวนมากชื่นชมวิวภายใต้กระโปรงของเธอจริงน่ะเหรอ?

แน่นอนว่าพวกเขาต้องปีนบันได!

และต้นไม้นี่ก็หนามาก…

ทั้งสองเดินเข้าไปในต้นไม้ได้โดยที่ไม่มีใครหยุดยั้ง

เพราะไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นเอลฟ์ทั้งคู่…

ไม่มีใครบอกได้แม้กระทั่งว่าวิลเลียมเป็นครึ่งเอลฟ์…

นั่นล่ะคือสิ่งที่สำคัญ

หากเผ่าพันธุ์อื่นมาที่นี่พวกเขาจะถูกจับตาดูอย่างใกล้ชิด

แน่นอนว่าหลังจากที่พวกเขาสองคนปีนขึ้นไปบนต้นไม้ เอลฟ์มูนไลท์ที่ดูหล่อเหลาตนหนึ่งก็มาหยุดพวกเขาด้วยรอยยิ้ม

เอลฟ์มูนไลท์มีผมสีเงินและดวงตาของเขาก็ประกายไปด้วยสีเงินเล็กน้อย เขากล่าวว่า “สวัสดี ข้าชื่ออาเธอร์เป็นผู้ดูแลเมืองบลูมูนแห่งนี้ ขอทราบนามของพวกท่านได้หรือไม่?”

“พวกท่านมาทำอะไรหรือต้องการความช่วยเหลืออะไรหรือไม่?”

เมื่อเห็นว่าเป็นคนที่ถูกต้อง วิลเลียมจึงลังเลเล็กน้อยก่อนจะกล่าวไปตรงๆว่า “เราคือวิลเลียม แบล็คลีฟ เราอยากจะขายมิทริลประมาณสองสามร้อยกิโลกรัม!”

“มิทริลสองสามร้อยกิโลกรัมงั้นหรือ?” อาเธอร์แข็งค้างไป ในฐานะอัศวินและผู้ดูแลเมืองของท่านหญิง เขาไม่คิดว่าจะมีมิทริลมาขายเป็นหลักร้อยกิโลกรัมในวันนี้

ด้วยเหตุนี้ เขาดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่าง

ก่อนเขาจะเบิกตากว้างและมองไปยังวิลเลียม…

วิลเลียมยักไหล่เล็กน้อย

อาเธอร์ที่แต่เดิมมักจะยิ้มแย้มก็ค่อยๆเปลี่ยนสีหน้าก่อนจะชี้นิ้วไปทางวิลเลียมอย่างเฉียบขาด “มิทริลงั้นหรือ? รอเดี๋ยวนะ ข้าจะไปแจ้งคนให้ท่าน อย่าวิ่งหนีไปซะล่ะ...”

ลอทเนอร์และวิลเลียมมองอาเธอร์ที่รีบวิ่งไป ก่อนพวกเขาจะมองหน้ากัน

“เขาเห็นด้วยกับคำขอของข้าหรือไม่? แต่ทำไมต้องบอกข้าไม่ให้วิ่งด้วยล่ะ?” วิลเลียมเกาหัว ลำคอของเขาแห้งผากขณะที่รู้สึกราวกับว่าตนเองอยู่ในโรงเรียนประถม และมีคนบอกว่าอย่าวิ่งตอนที่โรงเรียนเลิกแล้ว

ลอทเนอร์ตบไหล่เขาเบาๆ ไม่ต้องกังวลใจไป การบอกให้ท่านไม่ให้วิ่งตอนโรงเรียนเลิกเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด