ตอนที่แล้วบทที่ 16 ซูจิ้งเหวินโกรธจัด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 18 ความยากลำบากของหนิงชิงเชวี่ย

บทที่ 17 จำคนผิด?


ตอนแรกเธอคิดว่าเย่โม่ที่ถูกจับขังจะต้องอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่มากแน่ๆ  ทว่าเธอกลับรู้สึกตกใจเมื่อเปิดเข้าไปในห้องขังแล้วพบกับเย่โม่ที่นอนเหยียดอยู่บนเตียง  กระทั่งรองเท้าก็ยังไม่ถอด  อีกทั้งเหล่าชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งกลับยืนข้างๆ อย่างระแวดระวัง  ที่นี่เงียบสงบราวกับไม่ใช่ห้องขังชั่วคราว  แต่กลับคล้ายห้องเรียนตอนกลางคืนแทน

เมื่อประตูเหล็กถูกเปิดออกแล้วเย่โม่ได้เห็นซูจิ้งเหวิน  เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น  ดูท่าว่าซูจิ้งเหวินคนนี้คงจะเห็นเขาจากตรงไหนสักแห่ง  อาจจะจำได้ว่าเป็นเขาเองที่ขายยันต์ให้กับเธอจึงได้มาช่วยเขา  แล้วคงเป็นเธอเองที่โทรศัพท์เรียกตำรวจ  ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็ถือว่าช่วยเขาได้มาก

“สวัสดี... นายคงรู้จักฉันใช่มั้ย  ฉันชื่อซูจิ้งเหวิน  พอดีเห็นนายถูกลักพาตัวตรงหน้ามหาลัยหนิงไห่เลยโทรหาตำรวจน่ะ”  ซูจิ้งเหวินเห็นเย่โม่ปลอดภัยดีจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก  แต่ก็แปลกนะ ถ้าเป็นเขาที่ทำยันต์ร้ายกาจขนาดนั้นล่ะก็ จะมากลัวแค่ลูกสมุน 2-3 คนนี้ได้อย่างไรกัน

เย่โม่คิดในใจว่าที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง... ซูจิ้งเหวินมีเจตนาดีเขาจึงไม่โทษเธอ  แต่ดูแล้วเธอคงยังไม่มั่นใจว่าเขาคือคนขายยันต์คนนั้นจริงๆ หรือไม่  ในเมื่อเธอไม่แน่ใจเขาก็ไม่มีทางยอมรับแน่นอน  เขารู้ว่าถ้ายอมรับไปล่ะก็คงได้ดึงดูดเรื่องยุ่งยากมากมายตามมาแน่ๆ

แล้วยิ่งตอนนี้เขาเข้ามาในสถานีตำรวจยังไร้ทางออก  เขาคิดแม้กระทั่งฆ่าคนพวกนี้แล้วหนีไปด้วยซ้ำ!  แล้วหากมีคนที่ร้ายกาจกว่านี้มาล่ะก็… จุดจบของเขาคงจะไม่ดีนัก  พลังปราณของเขายังต่ำเกินไปจริงๆ  เย่โม่ได้แต่แอบถอนใจ

ซูจิ้งเหวินเห็นท่าทางลังเลของเย่โม่ก็รีบร้อนพูดขึ้นมา  “ที่นี่ไม่เหมาะจะคุยกัน  พวกเราไปเถอะ”

เกิ่งเสวียปินเป็นคนบันทึกคำให้การของเย่โม่ด้วยตัวเอง  จากนั้นจึงเดินไปส่งเย่โม่และซูจิ้งเหวิน  ออกหน้าประตูใหญ่

รถที่ซูจิ้งเหวินขับมาเป็นรถเมอร์เซเดส-เบนซ์สีแดง  ทันทีที่เย่โม่เข้ามาในรถก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นสะอาดบริสุทธิ์ทันที เป็นกลิ่นหอมจางๆ บนตัวของหญิงสาวนั่นเอง  เขาจึงรู้ว่าปกติแล้วรถคันนี้คงไม่ให้คนอื่นขึ้นมากนัก  กระทั่งว่าอาจไม่มีเลยด้วยซ้ำ  แต่ในเมื่อเธออนุญาตให้เย่โม่ขึ้นมา  แน่นอนว่าเขาก็ไม่ปฏิเสธ

“ไปทานข้าวด้วยกันไหมคะ?”  ซูจิ้งเหวินถือเอาแล้วว่าเย่โม่เป็นอาจารย์ที่ขายยันต์ให้เธอคนนั้น  คำที่เธอพูดจึงสุภาพขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ตั้งแต่ออกมาจากมหาวิทยาลัยเย่โม่ก็ยังไม่กินอะไรเลย  เมื่อเห็นว่าซูจิ้งเหวินชวนเขาจึงตอบรับอย่างง่ายดาย

ซูจิ้งเหวินพาเย่โม่มายังร้านอาหารที่ชื่อ ‘บ้านทะเลสาบตะวันตก’ ร้านนี้มีบรรยากาศที่เงียบสงบ  ตกแต่งภายในอย่างหรูหราทว่าลูกค้าภายในร้านกลับไม่เยอะนัก  เมื่อเย่โม่มาถึงก็รู้สึกว่าการมากินอาหารที่นี่ก็ไม่เลวเลย  ปกติแล้วเขาจะกินร้านข้างทางเสียมากกว่า  ทำอะไรมาเขาก็กินได้หมด  เย่โม่ไม่ใช่คนพิถีพิถันในการกินมากมายอะไร

“จิ้งเหวิน!  ไม่เห็นเธอมาที่นี่เสียนานเลยนะ”  หญิงสาวรูปร่างอวบอัดทว่าสง่างามยิ้มแย้มเดินเข้ามาทักทายทันทีเมื่อเห็นเป็นซูจิ้งเหวินที่เดินเข้ามา

“พี่ฟาง… ช่วงนี้ฉันมีปัญหานิดหน่อยเลยไม่ได้มาที่นี่เลย  วันนี้ฉันพาเพื่อนมากินข้าวด้วย  ยังมีห้องส่วนตัวเหลือไหม?”  ซูจิ้งเหวินพูดยิ้มๆ ด้วยท่าทีผ่อนคลาย  เห็นได้ชัดว่าสนิทกับหญิงสาวที่ชื่อฟางคนนี้ไม่น้อยเลย

เมื่อได้ยินคำของซูจิ้งเหวิน  หญิงสาวผู้มีกิริยาสง่างามคนนี้ก็มองมายังเย่โม่อย่างรู้สึกประหลาดใจ  แต่เพียงพริบตาเดียวเธอก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  “มีสิ... ห้องเซียงจือ(มิตรภาพ)ตอนนี้ว่างอยู่”

ถึงแม้พี่สาวฟางคนนี้จะไม่ได้สวยมากมายทว่ากลับมีหน้าอกที่ใหญ่โต  เธอมีดวงตาวาวหวานฉ่ำราวกับดอกท้อ  ปกติผู้หญิงประเภทนี้มักจะทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเป็นคนขี้เล่นไม่จริงจังอยู่บ้าง  ทว่าพี่ฟางคนนี้กลับมีกิริยาท่าทางสง่างาม ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกว่าเธอเป็นหญิงสาวที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง  ไม่มีท่าทีเหลาะแหละแม้แต่น้อย  แต่เมื่อซูจิ้งเหวินบอกว่าเย่โม่เป็นเพื่อนของเธอ  ประกายตาของพี่สาวฟางคนนี้ที่เปลี่ยนไปแวบหนึ่งก็ถูกเย่โม่จับได้เสียแล้ว

ห้องเซียงจือแห่งนี้ดูไปแล้วมืดสลัว  ให้ถูกคือไม่ค่อยจะเหมือนสถานที่กินข้าวเท่าไหร่  แต่กลับเหมือนสถานที่พลอดรักกันเสียมากกว่า  พูดกันตรงๆ แล้วเย่โม่ไม่ชอบสภาพแวดล้อมแบบนี้เป็นอย่างมาก  เขารีบดึงผ้าม่านเปิดออกทันที  แสงอาทิตย์ยามพลบค่ำลอดเข้ามาข้างในห้องทำให้สว่างสดใสขึ้นไม่น้อย

“จิ้งเหวิน... เธอสั่งอาหารไปก่อน  เดี๋ยวฉันจะไปชงชาให้พวกเธอ”  พี่สาวฟางวางเมนูอาหารลงบนโต๊ะแล้วหันหลังเดินจากไป  เย่โม่คิดในใจว่าที่นี่บอสสาวถึงกับต้องชงชาให้  ไม่มีพนักงานหรือไง?

ราวกับจะมองเห็นถึงความสงสัยของเย่โม่  ซูจิ้งเหวินจึงพูดขึ้น  “พี่ฟางเดิมทีเป็นนักชงชามืออาชีพ  คนที่มาทานอาหารที่นี่ล้วนเป็นแขกประจำทั้งนั้น  ปกติแล้วจะเป็นพี่ฟางคนเดียวที่ชงชาให้ นี่เมนู  นายสั่งเถอะ”  ขณะพูดซูจิ้งเหวินก็ยื่นเมนูในมือให้เย่โม่

เย่โม่มองดูเมนูในมือที่ไม่ได้มีหลากหลายนัก  แต่รูปภาพของทุกๆ จานล้วนประณีตสวยงาม

“ทำไมไม่มีราคา?”  เย่โม่พบว่าเมนูในมือไม่มีราคาบอกเอาไว้

“อาหารในร้านนี้ทุกอย่างมีราคาสามร้อยหยวนต่อจาน  ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเขียนราคาบอก  ลูกค้าเก่าจะรู้กันทั้งนั้น”  ซูจิ้งเหวินพูดยิ้มๆ

เย่โม่ตะลึงไปชั่วครู่  ในใจคิดว่าแค่จานเดียวก็ปาเข้าไปสามร้อยหยวนแล้ว?  แต่เขาก็ไม่ได้พูดออกมา  เย่โม่ไม่ใช่คนร่ำรวย  แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่มีเงินเหมือนเขา  แน่นอนว่าเย่โม่ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่แพงที่สุดในร้านนี้กลับไม่ใช่อาหาร

ปกติแล้วเขาไม่ใช่คนจุกจิกเรื่องกิน  แต่เย่โม่ก็รู้ว่าซูจิ้งเหวินคนนี้มีเงิน  ในเมื่อทุกจานราคาเท่าๆ กันงั้นก็สั่งแบบสุ่มๆ แล้วกัน  เย่โม่ไม่ชอบดื่มชานักแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เข้าใจในชา  ชาที่พี่ฟางคนนั้นชงดื่มแล้วกลิ่นหอมยังคงตกค้างอยู่ที่ฟันและริมฝีปาก  กระตุ้นให้เกิดความปราถนาอยากจะยกดื่มขึ้นอีกครั้ง

เมื่อเห็นว่าเย่โม่ชอบชาของที่นี่ซูจิ้งเหวินจึงยิ้มบางๆ แล้วถามขึ้น  “นายคืออาจารย์ที่ขายยันต์ให้ฉันครั้งก่อนใช่ไหม?”

ยุทธวิธีจู่โจมอย่างกะทันหันของซูจิ้งเหวินที่มักจะได้ผลกลับไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าเย่โม่  เขาไม่ได้เปิดเผยอะไรออกไป  ซ้ำยังไม่ได้แสดงท่าทีเฉยชาออกมา  เขากลับแสร้งถามขึ้นอย่างประหลาดใจ  “อาจารย์ขายยันต์?... ผมยังเป็นนักศึกษาอยู่เลย  นี่บัตรนักศึกษาของผม”

ขณะพูดเย่โม่ก็ยื่นบัตรนักศึกษาส่งให้ซูจิ้งเหวิน

เย่โม่ มหาวิทยาลัยหนิงไห่ (05) สาขาวิศวกรรมชีวภาพ  เป็นเด็กนักศึกษาปี 4 จริงเสียด้วย

ซูจิ้งเหวินยื่นบัตรนักศึกษาคืนเย่โม่ด้วยท่าทีผิดหวังอยู่บ้าง  คิดไม่ถึงว่ากลายเป็นเธอที่จำคนผิด  เห็นเขาถูกพาตัวมาจากหน้ามหาวิทยาลัย  ไม่นึกว่าเขาจะเป็นนักศึกษาคนหนึ่งจริงๆ

“ถ้าอย่างนั้น... ซูจิ้งเหวิน  คุณคงจำคนผิดแล้วล่ะ  พาผมมากินอาหารในร้านหรูแบบนี้  ผมต้องขอโทษด้วย”  ถึงเย่โม่จะรู้ว่าซูจิ้งเหวินไม่มีทางเสียดายกับเงินแค่ไม่กี่พันหยวนนี้  แต่ยังไงเขาก็สมควรพูดอยู่ดี

“ไม่เป็นไร... นายคล้ายกับเพื่อนของฉันคนหนึ่งมาก  พูดอีกที  ถึงจะจำคนผิดก็ช่างเถอะ... เจอกันครั้งแรกอาจจะยังไม่รู้จักกัน  ครั้งต่อไปพวกเราก็สนิทกันแล้วจริงไหม?  นายเด็กกว่าฉัน  คราวหลังนายก็เรียกฉันว่าพี่จิ้งเหวินดีไหม  เรียกชื่อเต็มแล้วมันแปลกๆ”  ซูจิ้งเหวินยิ้มขึ้นอีกครั้ง

ความประทับใจของเธอต่อตัวเย่โม่นั้นถือว่าไม่เลวเลย  ไม่เพียงรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาแต่ยังให้ความรู้สึกสดใส ดวงตาที่มองเธอนั้นใสกระจ่าง  ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดใจแต่อย่างใด

“งั้นพี่จิ้งเหวิน... ผมจะเอาเปรียบพี่ด้วยการกินมื้อนี้ก็แล้วกัน”  เย่โม่ไม่เกรงใจแม้แต่น้อย  อีกทั้งยังไม่มีความคิดที่จะกินเหลืออีกด้วย  เขาแน่ใจแล้วว่า ‘ยันต์ชำระวิญญาณ’ ครั้งที่แล้วคงช่วยชีวิตแม่ของซูจิ้งเหวินเอาไว้  ดูได้จากความเชื่อมั่นที่มีต่อคนขายยันต์และทัศนะคติที่มีต่อตัวเขาเองแล้ว

ซูจิ้งเหวินยื่นนามบัตรส่งให้เย่โม่  “นี่เบอร์โทรฉัน  ถ้าคราวหน้าคนพวกนั้นยังตามรังควาญอีกล่ะก็  ให้นายโทรหาฉัน”

เย่โม่รับนามบัตรมาพลางคิดในใจ  ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะเธอ  เรื่องราวจะบานปลายขนาดนี้ไหม  ช่างเถอะ... หลังจบมื้อนี้ก็ต่างคนต่างไป ไม่ต้องยุ่งวุ่นวายกันอีก

“ฮ่าฮ่า!… งั้นผมไม่เกรงใจล่ะ  แต่ผมไม่มีเรื่องอะไรที่พอจะช่วยได้เลย”  เย่โม่พูดอย่างไม่คิดอะไร

“เรื่องนั้นก็ไม่แน่... บางทีเร็วๆ นี้ฉันอาจจะต้องการความช่วยเหลือจากนายก็ได้”  ซูจิ้งเหวินยิ้มขึ้นอย่างมีเลศนัย  ไม่รู้ว่าในใจของเธอคิดอะไรอยู่กันแน่

เย่โม่นึกแช่งตัวเองในใจ  ปากมากจริงๆ เวลาฝึกก็มีไม่พออยู่แล้ว  มีปัญหาน้อยเท่าไหร่ยิ่งดี

ขณะนั้นเองที่ซูจิ้งเหวินรู้สึกว่าเวลาที่เธอใช้ร่วมกับเย่โม่นั้นสงบสุขมากจริงๆ ไม่มีความรู้สึกกดดันเลยแม้แต่น้อย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด