ตอนที่แล้วบทที่ 285 ร่างกายของเสี่ยวนู๋ไม่เหมือนมนุษย์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 287 ถูกเชิญตัวโดยจักรพรรดินีสัตว์อสูร

บทที่ 286 ศัตรูบุก?


สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ : แปลได้แล้ว

ตู้ม ตู้ม ตู้ม… ตู้มม!

ณ ห้องฝึกซ้อมภายในตำหนักทักษิณ เจียงอี้โคจรแก่นแท้พลังและปล่อยหมัดใส่กำแพงหินซึ่งทำให้เกิดเป็นประกายก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นคลื่นแสงมากกว่าหลายสิบระรอก

“ห้าสิบครั้ง? ไม่ใช่ว่ามันทรงพลังเทียบเท่ากับม้าห้าสิบตัว? เป็นไปได้หรือนี่?”

เจียงอี้นับจำนวนคลื่นแสงด้วยสีหน้ามึนงงปนตกใจ แสงสีดำทั้งห้าสิบสายนี้ก็หมายถึงความแข็งแกร่งที่เทียบเท่ากับม้าห้าสิบตัว

นักสู้จุดสูงสุดขอบเขตฉูติ่งมีพลังเทียบเท่ากับม้าเก้าตัวเท่านั้น ส่วนผู้ที่บรรลุขั้นแรกของขอบเขตจื่อฝู่ก็จะมีพลังเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยซึ่งเทียบได้กับม้าสิบตัว

สำหรับผู้ที่มีพลังเทียบเท่ากับม้ายี่สิบตัวก็จะถูกพิจารณาให้เป็นนักสู้ขอบเขตจื่อฝู่ขั้นที่สอง หากว่าใช้มาตรฐานนี้ อาจกล่าวได้ว่าพลังของม้าห้าสิบตัวนั้นเทียบได้กับนักสู้ขอบเขตจื่อฝู่ขั้นที่ห้าเลยทีเดียว

เดิมทีเจียงอี้เป็นเพียงนักสู้ขอบเขตจื่อฝู่ขั้นที่สองซึ่งครอบครองความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับม้ายี่สิบตัวเท่านั้น แม้ว่าจะเสริมพลังด้วยแก่นแท้พลังสีดำ แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่ควรเพิ่มขึ้นมาเกินม้าสามสิบตัว

อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้เจียงอี้กลับมีพลังเทียบเคียงได้กับม้าห้าสิบตัว ถึงจะไม่แน่ใจนัก แต่ดูเหมือนว่าพลังของเขาจะเทียบได้กับขอบเขตจื่อฝู่ขั้นที่สี่หรือห้าเป็นอย่างน้อย

“เพียงแค่ศิลาสวรรค์ก้อนเดียวแต่กลับช่วยให้ข้ายกระดับพลังได้ถึงสองขั้นย่อย?”

เจียงอี้อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ศิลาสวรรค์เป็นวัตถุเสริมการบ่มเพาะอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย เขาเคยได้ยินว่ามาศิลาสวรรค์หนึ่งก้อนสามารถแลกกับสิ่งประดิษฐ์สวรรค์ได้สองถึงสามชิ้นเลยทีเดียว

องค์หญิงหลิงเสวี่ยยังบอกด้วยว่าหากเขาปรับแต่งศิลาสวรรค์ครบทั้งห้าก้อน เขาจะทะลวงสู่ขอบเขตเสินโหยวทันที ในตอนนั้นเขาเผลอคิดไปว่ามันเป็นเรื่องเกินจริงๆไปหน่อย แต่ดูเหมือนว่าเขาจะคิดผิดเสียแล้ว

“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมจักรวรรดิมังกรเวหาถึงมีจำนวนผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวมากมายขนาดนั้น!”

เจียงอี้ตกอยู่ในห้วงความคิด จักรวรรดิมังกรเวหามีสิ่งประดิษฐ์ในครอบครองอยู่นับไม่ถ้วน และพวกเขายังสามารถใช้ศิลาสวรรค์เพื่อเพิ่มจำนวนผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวได้ตามต้องการ

หากไม่ใช่เพราะการก่อจลาจลของฝูงสัตว์อสูรในครั้งนั้น เกรงว่าจำนวนผู้เชี่ยวชาญในมือพวกเขาคงจะยิ่งเพิ่มขึ้นกว่านี้และเป็นรากฐานให้กับจักรวรรดิได้อีกนับร้อยปีเลยทีเดียว

เพราะอย่างไรเสีย อายุขัยของชนชั้นเสินโหยวก็มากถึงสามร้อยปีอยู่แล้ว

“จักรวรรดิมังกรเวหาไปหาศิลาสวรรค์เหล่านี้มาจากไหนกัน?”

มีผู้คนมากมายที่ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ นานมาแล้วมีตำนานกล่าวว่าศิลาสวรรค์นั้นเป็นของขวัญจากทวยเทพ ซึ่งตกลงมาจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้า

แต่ก็แน่นอนว่าเจียงอี้ไม่ได้ปักใจเชื่อเรื่องเหล่านั้น หากว่ามันตกลงมาจากฟ้าจริง เช่นนั้นขั้วอำนาจอื่นก็สมควรมีพวกมันในครอบครองเช่นกัน

เพราะในเมื่อมันหล่นลงมาจากท้องฟ้า มันก็คงไม่ตกลงสู่เมืองเทียนชิงเพียงแห่งเดียวหรอกจริงไหม?

“สายแร่!”

ทันใดนั้นความเป็นไปได้อย่างหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขาทันที บางทีจักรวรรดิมังกรเวหาอาจจะเป็นเจ้าของสายแร่ขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง

ในความเป็นจริงแล้วอาณาจักรบริวารทั้งหกเองก็มีสายแร่อยู่ในครอบครองเช่นกัน แต่ก็คงไม่ได้มีขนาดใหญ่เหมือนกับของจักรวรรดิ

อาจกล่าวได้ว่าสายแร่พวกนี้คือเส้นเลือดใหญ่ที่คอยหล่อเลี้ยงตระกูลจักรพรรดิและตระกูลราชวงศ์ทั้งหก ส่วนตระกูลขุนนางหรือขั้วอำนาจที่เหลือต่างก็ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้รับส่วนแบ่ง

“สรุปแล้วระดับการบ่มเพาะของข้าในตอนนี้อยู่ในขั้นไหนกันแน่?”

เจียงอี้กำลังตกอยู่ในความสับสนมึนงง จากนั้นเขาก็เปลี่ยนไปทดสอบด้านความเร็วแทน ขณะที่วิ่งรอบห้องด้วยความเร็วสูงสุด ร่างของเขาก็ทิ้งไว้เพียงภาพติดตาเท่านั้น

“ความเร็วของข้าเทียบได้กับขอบเขตจื่อฝู่ขั้นที่สี่ แต่พละกำลังกลับเทียบเท่ากับขอบเขตจื่อฝู่ขั้นที่ห้า…”

“ช่างมันเถอะ ข้าน่าจะกลับไปบำเพ็ญต่อ หลังจากที่ดูดซับศิลาสวรรค์อีกสองก้อนที่เหลือ พลังของข้าน่าจะยกระดับขึ้นไม่น้อย”

“เห้ออ… ข้าอยากรู้นักว่าเมื่อดวงดาวทั้งเก้าถูกเติมเต็มด้วยแก่นแท้พลังสีดำทั้งหมด หลังจากนั้นจะเป็นเช่นไร?”

เจียงอี้พึมพำกับตัวเองก่อนที่จะก้าวออกมาจากตำหนักทักษิณ ระหว่างทางเขาก็พบเจอกับศิษย์นับร้อยที่จ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหลงใหล แม้ว่าเขาจะผ่านเรื่องราวมามากมายแต่ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วด้วยความกังวลเพราะไม่เคยเป็นจุดสนใจเช่นนี้มาก่อน

หลังจากที่กลับมาถึงที่พัก เขาก็เข้าสู่ห้วงบำเพ็ญตนทันที…

ห้าวันให้หลังเมื่อเขาออกมาอีกครั้ง เขาก็สัมผัสได้ว่ากลิ่นอายของตนนั้นทรงพลังขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“ลูกพี่ ทำไมเจ้าไม่ขอศิลาสวรรค์จากองค์หญิงหลิงเสวี่ยมาให้มากกว่านี้? เจ้าคือผู้กอบกู้จักรวรรดิเชียวนะ หากเจ้าเอ่ยปาก บางทีนางคงจะมอบศิลาสวรรค์ให้เจ้าสักหนึ่งหรือสองร้อยก้อนสิ?”

“หากว่าเจ้าได้ครอบครองศิลาสวรรค์จำนวนขนาดนั้น การทะลวงสู่จุดสูงสุดของขอบเขตเสินโหยวก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น!”

เฉียนว่านก้วนเองก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่แข็งแกร่งขึ้นของเจียงอี้ซึ่งทำให้เขาอุทานออกมาด้วยความตกใจ

สำหรับเขา ยิ่งเจียงอี้ทรงพลังขึ้นเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเป็นผลดีกับเขามากเท่านั้น อย่างน้อยหากเขาถูกใครบางคนลอบสังหารในอนาคต เจียงอี้ก็จะแก้แค้นให้เขา… ใช่ไหม?

"…"

ดวงตาของเจียงอี้จ้องเขม็งมาที่เฉียนว่านก้วนขณะเดียวกันก็พูดไม่ออก เจ้าอ้วนนี่คิดว่าศิลาสวรรค์หาง่ายเหมือนกับดอกกะหล่ำหรือยังไง? หากเขาเอ่ยปากขอศิลาสวรรค์สองร้อยก้อนจากองค์หญิงหลิงเสวี่ย นางคงจะไล่ตะเพิดเขาออกจากวังแน่

นอกจากนี้ หากเจียงอี้รับศิลาสวรรค์จำนวนมากจากจักรวรรดิมังกรเวหา มันก็จะเท่ากับว่าเขาต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิไปโดยปริยายซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

“ศิลาสวรรค์หนึ่งถึงสองร้อยก้อน?”

แต่ไม่นานนัก ก็ดูเหมือนว่าเจียงอี้จะนึกบางอย่างขึ้นมาได้และเอ่ยถาม

“หากศิลาสวรรค์หนึ่งก้อนยังบรรจุพลังไว้มหาศาลเช่นนี้ เช่นนั้นคนหนึ่งคนก็น่าจะต้องการศิลาสวรรค์เพียงแค่ไม่กี่สิบก่อนเท่านั้นก่อนที่จะทะลวงสู่จุดสูงสุดขอบเขตเสินโหยวใช่หรือไม่? แล้วทำไมเจ้าถึงกล่าวตัวเลขออกมามากมายขนาดนั้น?”

"…"

“ฮ่าฮ่า”

คราวนี้ กลับเป็นเฉียนว่านก้วนที่เป็นฝ่ายพูดไม่ออก ส่วนเจียงหยุนไฮ่ก็หัวเราะออกมาด้วยความชอบใจก่อนที่จะกล่าวอธิบาย

“ใต้เท้าน้อย ขอบเขตเสินโหยวนั้นต้องการพลังงานฟ้าดินมากกว่าขอบเขตจื่อฝู่นับสิบเท่า… หากเป็นดั่งที่ท่านกล่าว ป่านนี้ภายในจักรวรรดิมังกรเวหาคงมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดออกมาเดินป้วนเปี้ยนเต็มไปหมด”

“เป็นเช่นนั้นเอง!”

เจียงอี้เกาศีรษะด้วยความเขินอายเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “ข้าจะพักผ่อนสักสองวันก่อนที่จะกลับไปดูดซับศิลาสวรรค์ก้อนสุดท้าย เมื่อถึงตอนนั้นพลังของข้าจะถูกยกระดับขึ้นอีกครั้ง”

เมื่อเจียงหยุนไฮ่ได้ยินเช่นนั้น เขาก็อมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะกล่าว “ใต้เท้าน้อย อย่าได้เร่งรีบเกินไปนัก พักผ่อนเพิ่มอีกสักหน่อยเถิด การก้าวหน้าเร็วเกินไปอาจจะทำให้ร่างกายของท่านต้องแบกรับภาระหนักเอาได้”

……

เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวเจียงอี้ก็อยู่ในสำนักมาหนึ่งเดือนแล้ว หลังจากที่ขัดเกลาศิลาสวรรค์ครบทั้งสามก้อน

พละกำลังของเขาก็เทียบเท่ากับม้าเก้าสิบตัวซึ่งก็คือจุดสูงสุดขอบเขตจื่อฝู่

ในด้านความเร็วเทียบได้กับขอบเขตจื่อฝู่ขั้นที่เจ็ด

ส่วนพลังป้องกันอยู่ในขอบเขตจื่อฝู่ขั้นที่สาม

และอย่างสุดท้าย… ความว่องไวด้านปฏิกิริยาตอบสนองก็อยู่ระหว่างขอบเขตจื่อฝู่ขั้นที่สี่หรือห้า

สิ่งที่ไม่สมดุลกันเหล่านี้เองที่ทำให้เจียงอี้ตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย นับตั้งแต่ที่ตันเทียนของเขาเปลี่ยนรูปแบบไป เขาก็ไม่อาจทราบได้ว่าตัวเองนั้นอยู่ในขั้นไหนกันแน่

เมื่อนักสู้ใช้ศิลาสวรรค์ในการบ่มเพาะพลัง พลังงานฟ้าดินจะถูกนำไปหล่อเลี้ยงในส่วนของพละกำลังเป็นส่วนมาก

อย่างไรก็ตามความเร็วในการเคลื่อนไหวและปฏิกิริยาตอบสนองจะไม่ได้รับการยกระดับเท่าที่ควร ในขณะเดียวกันด้านพลังป้องกันก็แทบจะไม่เพิ่มขึ้นเลย

ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะว่าเจียงอี้นั้นไม่ได้ฝึกฝนอย่างต่อเนื่องและพัฒนาไปทีละก้าวดั่งวิถียุทธที่ควรจะเป็น การเพิ่มพลังอย่างก้าวกระโดดทำให้กายเนื้อไม่มีเวลาเพียงพอที่จะได้หลอมรวมกับแก่นแท้พลังจึงเป็นเหตุให้ความทนทานของร่างกายกลายเป็นจุดอ่อนมากที่สุด

สำหรับเวลาที่เหลือ เจียงอี้ใช้มันทั้งหมดไปกับการทำให้พื้นฐานพลังมั่นคง ทางด้านเจียงเสี่ยวนู๋กับเจียงหยุนไฮ่ต่างก็รู้สึกยินดีปรีดาและตั้งใจที่จะลงหลักปักฐานอยู่ในสำนักจิตอสูรแห่งนี้ เนื่องจากผู้คนที่นี่ต่างก็สุภาพและปฏิบัติกับพวกเขาดั่งครอบครัว… แม้ว่ามันจะเป็นเพราะเจียงอี้ก็ตาม

ในขณะเดียวกันเฉียนว่านก้วนก็ยังคงทำตัวลึกลับและไม่ค่อยโผล่มาให้เห็นหน้า แต่เมื่อนึกถึงภาระหน้าที่ที่เขาต้องดูแลการค้าของทั้งสามอาณาจักร เจียงอี้ก็เข้าใจได้และไม่พบว่ามันแปลกแต่อย่างใด

ปัง!

ในเที่ยงคืนของวันหนึ่ง พลุสัญญาณถูกยิงขึ้นฟ้าและทำให้ผู้คนในสำนักจิตอสูรพากันแตกตื่น เจียงอี้ที่กำลังอยู่ในช่วงบำเพ็ญก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาเช่นกัน

“พลุสัญญาณ? ศัตรูลอบโจมตี?

ร่างของเจียงอี้ระเบิดจิตสังหารออกมาก่อนที่จะทะยานออกจากห้อง ในขณะเดียวกันเฉียนว่านก้วนวิ่งออกมาพร้อมกับเสื้อผ้าที่ดูยุ่งเหยิง

พวกเขาทั้งคู่สบตากันด้วยความประหลาดใจก่อนที่เฉียนว่านก้วนจะเป็นฝ่ายตะโกนขึ้นมาก่อน

“ผู้อาวุโสหลิว ที่ด้านนอกเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

ฟึ่บ!

ร่างของผู้คุ้มกันลับประจำตัวเฉียนว่านก้วนโผล่ออกมาจากความว่างเปล่าและเอ่ย “ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน แต่สัญญาณเตือนนี้จะต้องเป็นเหตุฉุกเฉินแน่ ดูท่าที่แห่งนี้คงจะถูกศัตรูที่น่าเกรงขามโจมตีเสียแล้ว!”

ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!

เงาร่างหลายสายทยอยโผล่ออกมาจากที่พักและพุ่งตรงไปยังที่ด้านนอกของสำนักด้วยความเร็วสูงสุด

เจียงอี้กัดฟันแน่นและติดสินใจที่จะไล่ตามออกไป ขณะเดียวกันเขาก็หันไปเอ่ยกับเฉียนว่านก้วน “ว่านก้วน ฝากดูแลเสี่ยวนู๋กับท่านปู่ของข้าด้วย! ข้าจะไปดูสถานการณ์สักหน่อย!”

“พวกเจ้าทั้งหมดอย่าได้ตื่นตูมไป นี่ไม่ใช่การโจมตีจากศัตรู”

แต่ทันใดนั้น น้ำเสียงอันสงบนิ่งก็ดังกึกก้องไปทั่วทั้งสำนักจิตอสูร แน่นอนว่าเจ้าของเสียงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากเจ้าสำนักจูเก๋อชิงหยุน!

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ร่างของเจียงอี้ก็หยุดชะงักด้วยความงุนงง แต่จากนั้นไม่นานเสียงของจูเก๋อชิงหยุนก็ดังขึ้นในหัวของเขาอีกครั้ง

“เจียงอี้ เจ้าจงเดินทางลงไปจากเขาเสีย จิ้งจอกน้อยและราชันสัตว์อสูรสองตัวกำลังรออยู่ที่เชิงเขา ข้าคิดว่าพวกเขาคงจะมองหาเจ้าอยู่”

……

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด