ตอนที่แล้วบทที่ 7 เก็บตัวขั้นสุด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 9 รุ่นพี่มหาวิทยาลัยหนิงไห่

บทที่ 8 เพื่อนร่วมบ้าน


ชายวัยกลางคนคนนี้ก็กำลังฝึกวิชาหมัดอยู่แถวๆ นี้เหมือนกัน  ซึ่งเย่โม่เองก็เห็นแล้ว  เพียงแต่วิชาที่เขาใช้เย่โม่กลับมองว่าเป็นแค่วิชาที่ดูดีแต่ใช้งานจริงไม่ได้จึงไม่ให้ความสนใจมากนัก  เวลานี้เมื่อเห็นเขาเริ่มเข้ามาทักทายก่อน  จะไม่ตอบกลับไปก็คงจะไม่ดี  เขาจึงเพียงยิ้มน้อยๆ แล้วตอบกลับ

“แค่ฝึกด้วยตัวเองมั่วๆ เท่านั้นเอง  ไม่มีอะไรพิเศษหรอก”

เมื่อได้ยินเย่โม่พูดดังนั้นชายวัยกลางคนก็ยิ้มเจื่อนๆ ชัดเจนว่าเย่โม่ไม่ได้อยากจะรู้จักเขา  แต่เขากลับรู้สึกว่าวิชาหมัดของชายหนุ่มคนนี้ไม่เลวเลยจริงๆ  ไม่น่าห่างชั้นกับวิชาหมัดของเขามากนัก  นั่นทำให้เขาเกิดอยากรู้จักกับชายหนุ่มจึงได้เริ่มเข้ามาทักทายก่อน

“ฉันชื่อฟางเว่ยเฉิง  มองก็รู้ว่าอาจารย์ของนายต้องมีชื่อเสียงแน่นอน  ฉันเริ่มคันไม้คันมือแล้ว  ว่ายังไง… เรามาประลองกันสักหน่อยเป็นไง”

เย่โม่มองฟางเว่ยเฉิงแล้วส่ายหัว  “คุณไม่ใช่คู่มือผม  ประลองไปก็เปล่าประโยชน์”

ฟางเว่ยเฉิงนิ่งงันไป  จากที่คุยกันตอนแรกเขายังคิดว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นคนถ่อมตัว  เหตุใดจึงกลายเป็นคนหยิ่งยโสในชั่วพริบตาไปได้  เขาอดไม่ได้ที่จะโกรธจนหน้าแดงขึ้นมา  คิดในใจว่าแม้วิชาหมัดของไอ้หนุ่มคนนี้จะดึงดูดความสนใจของเขาได้ก็จริง  แต่ถึงกับบอกว่าเขาไม่ใช่คู่มือแบบนี้มันประเมินตัวเองสูงเกินไปแล้ว

ตัวเขาฟางเว่ยเฉิงเมื่ออายุได้ 17 ปีก็เข้าร่วมกองทัพ  จนอายุได้ 32 ปีจึงได้ออกจากกองทัพมา  หลังจากออกมาถึงแม้เขาจะกลายเป็นคนขับรถแต่ก็ไม่ได้ละเลยการฝึกวิชาต่อสู้แม้แต่น้อย  พูดได้ยังไงกันว่าเขาไม่ใช่คู่มือ  ไอ้หนุ่มคนนี้อายุอานามไม่น่าจะเกิน 22 ปี  จะบอกว่าเขาไม่ใช่คู่มือของเด็กอายุแค่ 22 ปี  พูดยังไงเขาก็ไม่เชื่อเด็ดขาด

สาเหตุที่เขาอยากประลองฝีมือกับเย่โม่ก็เพราะเขารู้สึกว่าวิชาหมัดของเด็กหนุ่มคนนี้เป็นของจริง  ตัวเขาเองก็เช่นกัน  ฉะนั้นหากประมือกันคงได้ประโยชน์ไม่น้อย

“นายรู้ได้ยังไงว่าฉันไม่ใช่คู่มือนาย  พูดกันจริงๆ นะ  หลังจากที่ฉันออกจากกองทัพแล้วก็ยังไม่เจอคู่มือสักคนเดียว ในเมื่อนายมั่นใจในตัวเองมากนัก  งั้นเรามาลองดูกันหน่อยเป็นไรไป!”  ฟางเว่ยเฉิงพูดขึ้นอย่างรู้สึกเสียหน้า

เย่โม่ส่ายหัวแล้วพูดอย่างจนใจ  “เอาเถอะ!  ในเมื่อคุณอยากจะลองก็เข้ามาได้เลย”

“ที่นี่?  ไปที่ที่ใหญ่กว่านี้ไม่ดีกว่าเหรอ?”  ฟางเว่ยเฉิงมองไปรอบตัว

เย่โม่ยิ้มน้อยๆ  “ถึงยังไงก็แค่ 2-3 กระบวนท่า  ไม่จำเป็นหรอก”

“นาย!...”  ฟางเว่ยเฉินถึงกับใบ้กินกับคำพูดของเย่โม่  ความโกรธค่อยๆ ผุดขึ้นในใจ  เขาพูดด้วยความโกรธเล็กๆ  “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น… รับมือ!”

วิชาเสือดำกระชากหัวใจที่ฟางเว่ยเฉิงใช้ออกแม้จะดูธรรมดาทว่ารอคอยความเปลี่ยนแปลง  หากชายหนุ่มคนนี้ลงมือละก็เขาก็จะเปลี่ยนกระบวนท่าทันที  ให้อีกฝ่ายได้รับรู้ถึงฝีมือของเขา

หมัดของฟางเว่ยเฉิงเพิ่งจะปล่อยออกมา  ทันใดนั้นเย่โม่ก็ก้าวเข้าหา 1 ก้าวแล้วคว้าไปที่หมัดของฟางเว่ยเฉิง  ก่อนที่เขาจะได้ทันเปลี่ยนกระบวนท่าเย่โม่ก็ยกมือข้างนั้นขึ้น!  ตัวของฟางเว่ยเฉิงที่หนักเกือบ 100 กิโลกรัมก็ถูกเย่โม่ยกขึ้นเช่นกัน  ในหัวของฟางเว่ยเฉินรู้สึกสับสนมึนงง  นี่มันเกินกว่าที่เขาจะรับได้  พอเขาได้สติขึ้นมาก็พบว่าตัวเองถูกเย่โม่จับโยนลงบนม้านั่งหินที่อยู่ข้างๆ ราวกับว่าเขานั่งอยู่ตรงนี้แต่แรก  อีกทั้งแม้แต่เงาของคนลงมือก็ไม่อยู่เสียแล้ว

ผ่านไปครู่หนึ่งกว่าฟางเว่ยเฉิงจะตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น  เขาพึมพำเบาๆ  “เก่งจริงๆ...”  ขนาดครูฝึกทหารของเขายังไม่อาจเอาชนะเขาได้ง่ายดายขนาดนี้เลย

...........

ตอนที่เย่โม่เดินเข้ามาในบริเวณสวนเล็กนั้นกลับพบว่าซู่เวยกำลังสำรวจดอกไม้ที่เขาปลูกเอาไว้  ถึงแม้เย่โม่จะปลูกไว้หลายดอกแต่ทั้งหมดก็เพื่อปกปิดต้นที่สำคัญที่สุด ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’

เมื่อเห็นเย่โม่เดินเข้ามาซู่เว่ยก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย  เธอรีบผุดลุกขึ้นพยายามคิดหาคำพูด  “ไม่นึกว่านายจะชอบปลูกดอกไม้  ปกติแล้วผู้ชายที่ชอบปลูกดอกไม้มักจะเป็นพวกพิถีพิถัน  ดูไปแล้วนายก็คงเป็นแบบนั้นสินะ  อ้อ!  วันนี้ฉันซื้ออาหารมาด้วย  อีกเดี๋ยวเรามากินด้วยกันเถอะ  พวกเราเป็นเพื่อนร่วมบ้านกัน  มาทำความรู้จักกันหน่อยดีกว่า”

เย่โม่เองที่กินข้าวนอกบ้านมาโดยตลอดคิดไม่ถึงว่าวันนี้จะมีคนชวนไปกินข้าวด้วย  เรื่องแบบนี้เขาไม่ปฎิเสธอยู่แล้ว เขายิ้มขึ้นแล้วพูดตอบ

“ดีเลย!  ขอบคุณมาก  ปกติผมเห็นคุณไปเช้ากลับเย็นตลอด  ทำไมวันนี้ถึงไม่ไปทำงานล่ะ?”

“2-3 วันมานี้เพื่อนร่วมงานขอลา  พอดีฉันว่างเลยไปเข้ากะดึกแทนเธอน่ะ”  ซู่เวยไม่คิดว่าผู้ชายชอบเก็บตัวแบบเย่โม่จะสังเกตได้ละเอียดขนาดนี้

อาหารที่ซู่เวยทำถือว่าไม่เลวเลย  อย่างน้อยเมื่อเทียบกับอาหารที่เย่โม่ออกไปหากินข้างนอกก็ดีกว่ามาก

“อาหารวันนี้ไม่เลวเลย… ขอบคุณมาก”  เย่โม่รู้สึกว่าหากได้กินอาหารแบบนี้ทุกวันก็คงดี  จะได้ไม่ต้องออกไปกินข้างนอกทุกวัน

“พวกเราเป็นเพื่อนร่วมบ้านกัน  ไม่ต้องขอบคุณหรอก  คราวหน้านายก็ชวนฉันไปกินสิ”

ซู่เว่ยพูดขึ้นเล่นๆ  เธอรู้สึกว่าเย่โม่ดูไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร

เย่โม่ยิ้มเจื่อนๆ  “ผมไม่เคยทำอาหารเองมาก่อน...”

“ถ้างั้นก็ไปกินที่ร้านอาหารสิ”  ซู่เวยรู้สึกว่าเย่โม่น่ารักดี  ปกติแล้วการชวนผู้หญิงที่ไม่คุ้นเคยไปกินข้าวใครที่ไหนเขาจะทำกับข้าวด้วยตัวเองกัน  ส่วนใหญ่ก็ไปร้านอาหารกันทั้งนั้นแหละ

เย่โม่พูดอย่างจำยอม  “ก็ได้ ไว้มีโอกาสคราวหน้าจะชวนไป”  เขาคิดในใจว่าใต้หล้านี้ไหนเลยจะมีอาหารฟรี  อาหารที่เพิ่งกินฟรีมื้อนี้ก็เป็นหนี้อาหารมื้อหน้าอยู่ดี

“เย่โม่  เรามาแลกเบอร์กันเถอะ  เบอร์ของฉันคือ13XXXXXXXX  เบอร์ของนายล่ะ”  ซู่เวยหยิบโทรศัพท์สีชมพูรูปทรงสวยงามออกมาแล้วถามเย่โม่

“ผมไม่มีโทรศัพท์  ถ้ามีเรื่องอะไรมาเคาะประตูห้องผมตรงๆ ก็โอเคแล้ว  ผมสามารถช่วยเรื่องปัญหาทั่วๆ ไปได้… ผมไปล่ะ”  พูดจบเย่โม่ก็ลุกขึ้นกลับห้องของตัวเองไป

ซู่เวยมึนงงไปพักหนึ่ง  คิดในใจว่าปัจจุบันแม้แต่คนงานก็มีโทรศัพท์กันหมดแล้ว  แต่เย่โม่คนนี้กลับไม่มี  ดูท่าจะยากจนเอามากๆ แม้แต่ค่าห้องก็คงไม่มีจ่าย  ไม่รู้จริงว่าเจ้าของบ้านอนุญาตให้เข้ามาอยู่ได้อย่างไร

แต่ว่าชายหนุ่มคนนี้ก็ถือว่าน่ารักใช้ได้  บอกว่าจะช่วยเหลือเรื่องทั่วๆ ไปด้วย  ซู่เวยส่ายหัวไปมา  ดูไปแล้วคงไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร  ก็แค่ชอบรักษาหน้าตัวเองก็เท่านั้น  บางทีเธออาจจะช่วยเขาหางานช่างซ่อมบำรุงอะไรพวกนั้นในโรงพยาบาลได้  น่าจะดีกว่าตกงานอยู่แบบนี้

ซู่เวยรู้สึกว่าตัวเองก็เป็นสาวงามคนหนึ่ง  แต่ทำไมเย่โม่แม้แต่จะนั่งให้นานหน่อยก็ไม่ได้  คล้ายกับว่าเขามาเพื่อกินอาหารเท่านั้นจริงๆ  แต่คิดๆ แล้วซู่เวยก็เข้าใจได้ว่าเขาคงรู้สึกเจียมเนื้อเจียมตัว  คนที่ไม่มีงานทำหรือแม้แต่โทรศัพท์เครื่องเดียวก็ยังซื้อไม่ได้  คงจะรู้สึกไม่สบายใจที่ต้องมานั่งพูดคุยกับเธอแน่ๆ พอคิดถึงตรงนี้  ซู่เวยค่อยรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง

เย่โม่กลับมาถึงห้องของตนในใจก็คิดว่าควรซื้อโทรศัพท์ไว้สักเครื่องดีไหม  แต่ก็คิดได้ว่าซื้อมาตนคงไม่ได้ใช้ทำอะไร  ไม่มีใครให้ติดต่อ  คิดๆ แล้วจึงปล่อยเลยไป

เงินห้าหมื่นหยวนที่มีถูกเขาใช้เป็นค่าเช่าห้องพัก  ซื้อสมุนไพรรวมถึงใช้ในชีวิตประจำวัน  ตอนนี้เหลือแค่สองหมื่นหยวนเท่านั้น  เย่โม่จึงตัดสินใจไปตั้งแผงลอยอีกครั้ง  ทว่าครั้งนี้เขาไม่ได้ขายยันต์  เหตุเพราะขายออกยากเกินไป  หากครั้งก่อนเขาไม่ได้บังเอิญพบเจอกับหญิงสาวที่กำลังร้อนรนคนนั้นล่ะก็  ไม่แน่ว่าตอนนี้เขาอาจจะยังขายไม่ออกเลยสักแผ่นก็ได้

ครั้งนี้เขาตั้งใจจะเปิดคลินิคข้างทางในตลาดกลางคืน  ที่เขาจะเปิดคลินิกนั้นก็เพราะได้แรงบันดาลใจมาจากงานของซู่เวยนั่นเอง  อีกเหตุผลหนึ่งก็คือสามารถเคลื่อนย้ายได้ตลอดเวลา  จะได้ไม่เป็นที่จับตามองนัก  และเหตุผลที่ต้องเป็นตอนกลางคืนก็เพราะรัฐบาลสั่งห้ามการกระทำแบบนี้  จึงได้แต่ออกมาตั้งแผงลอยตอนกลางคืนเท่านั้น

เย่โม่ตั้งใจไว้ว่าครั้งนี้จะให้เหมือนกับขายยันต์ครั้งที่แล้ว  แนวคิดที่ว่าเปิดครั้งเดียวก็ทำเงินได้มหาศาล

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด