ตอนที่แล้วบทที่ 5 เช่าห้อง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 7 เก็บตัวขั้นสุด

บทที่ 6 ยันต์ชำระวิญญาณ


“พ่อ!  กลับมาได้ไงคะเนี่ย?”  เมื่อซูจิ้งเหวินกลับมาถึงบ้าน  เธอเดินเข้าไปยังห้องพักรักษาตัวของแม่  คนแรกที่ซูจิ้งเหวินเห็นก็คือพ่อของเธอ  ตอนนั้นหลังจากที่แม่ของเธอกลายเป็นมนุษย์ผักไป  พ่อของเธอก็เหมือนจะทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับการรับราชการ  ส่วนบริษัทของแม่ก็เป็นซูจิ้งเหวินที่ดูแลอยู่  แต่เพราะเธอกังวลกับเรื่องอาการป่วยของแม่เลยจัดการเรื่องของบริษัทได้ไม่ค่อยดีนัก

แต่พ่อของเธอก็ไม่ได้เข้ามายุ่งกับเรื่องของบริษัทเลย  น้อยครั้งที่พ่อของเธอจะมาเยี่ยมแม่ที่บ้านนี้  ซูจิ้งเหวินเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมพ่อของเธอถึงมาที่นี่วันนี้ได้

“เฮอะ!  ถ้าพ่อไม่มาลูกก็คงยังทำตัวแบบนี้น่ะสิ  ซื้อของเหลวไหลไร้สาระเข้าบ้านขนาดนี้  ครั้งนี้กระทั่งเรื่องเครื่องรางของขลังพวกนี้ยังอุตส่าห์เชื่อได้  ไม่ใช่ว่าอีกหน่อยก็เชิญคนทรงเจ้าเข้าบ้านเลยรึ?”  ใบหน้าของซูเจี้ยนจงอึมครึม เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจในตัวลูกสาวมาก

ซูจิ้งเหวินได้ยินดังนั้นก็รู้ว่าเป็นวังเผิงที่ไปฟ้องพ่อเธอ  ในใจก็แช่งชักหักกระดูกคนบัดซบนั่น  ภายนอกดูเป็นสุภาพบุรุษแต่กลับไร้ยางอาย  แต่ยังไงเธอก็ยังรู้สึกไม่พอใจพ่อของตัวเองอยู่ดี  ดังนั้นเธอจึงนิ่งเงียบไป  ไม่อยากตอบอะไร

“ทำไม… พูดไม่ออกเลยหรือไง?  ลูกรีบเอาของไร้สาระพวกนี้ไปทิ้งซะ!”  ซูเจี้ยนจงสั่งเสียงแข็ง

ซูจิ้งเหวินที่ยืนเงียบจู่ๆ ก็ระเบิดออกมาทันที!

“พ่อ!  หลังจากที่แม่ป่วยพ่อได้ทำอะไรบ้าง!  ตอนแม่หมดสติอาการโคม่าพ่อก็มาเยี่ยมแม่แค่ครั้งเดียวเท่านั้น  2-3 ปีมานี้พ่อไปอยู่ไหน  ลองถามตัวเองดูว่าพ่อได้ดูแลแม่เป็นอย่างดีแล้วใช่ไหม?  หนูทำอะไรหนูรู้ตัวดีไม่ต้องให้พ่อมายุ่ง  แม่ไม่ได้โทษพ่อที่เลี้ยงอีหนูไว้  แล้วตัวพ่อล่ะ!  เคยใส่ใจแม่สักนาทีมั้ย?”

“ลูก!...”  ซูเจี้ยนจงถูกว่าจนโกรธ  ใบหน้าของเขาเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีด  เขาเงื้อมมือขึ้นจะตบ  ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าอันเหนื่อยล้าแต่ก็ยังไม่ลดละความพยายามของลูกสาวแล้ว… เขาจึงลดมือลงช้าๆ

ซูเจี้ยนจงรู้ตัวเองดีว่าไม่มีสิทธิอะไรไปว่าเธอ  เขารู้สึกผิดต่อภรรยาและลูกของเขา  ทั้งบริษัทของภรรยาก็เป็นลูกสาวของเขาดูแลอยู่โดยที่เขาไม่ได้ช่วยอะไรเลย

ซูเจี้ยนจงพูดด้วยความลำบากใจเล็กน้อย

“เอาเถอะ… พ่อเข้าใจว่าคงไปเจ้ากี้เจ้าการลูกไม่ได้  พ่อแค่หวังว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ลูกทำอะไรแบบนี้  คราวหลังอย่าทำอีก  ลูกเป็นคนมีการศึกษาสูง  คิดไม่ถึงว่าเรื่องแค่นี้ยังไม่เข้าใจ  ไม่ใช่แค่เพราะเรื่องบาดหมางของวังเผิงกับไอ้หนุ่มคนนั้นหรอก  หัดรู้จักเชื่อฟังกันบ้าง…”

ซูจิ้งเหวินยิ้มหยันในใจ  เธอรู้ดีว่าทำไมพ่อของเธอถึงอยากให้วังเผิงกับเธอใกล้ชิดกันนัก  หากพ่อเธออยากจะก้าวหน้าไปอีกขั้นก็ต้องการแรงสนับสนุนจากพ่อของวังเผิง  ถึงแม้เพราะว่าได้คุณปู่ช่วยจึงได้ขึ้นเป็นนายกเทศมนตรีของนครระดับจังหวัด  ทว่าในรายชื่อผู้ได้รับการสนับสนุนเป็นพิเศษของตระกูลซูนั้นไม่มีพ่อของเธออยู่  หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากตระกูลซูแล้วยังหาเส้นสายจากที่อื่นไม่ได้อีกล่ะก็  บางทีพ่อของเธอทั้งชาติก็คงหยุดอยู่แค่ตำแหน่งนายกเทศมนตรีนี้เอง

ซูเจี้ยนจงคิดเช่นนั้นจริงๆ  อิทธิพลของตระกูลวังไม่ได้น้อยกว่าของตระกูลซูเลย  อีกทั้งตระกูลซูก็ไม่ได้มาจากเมืองหลวงเช่นตระกูลยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย  ทางตระกูลให้การสนับสนุนได้แค่คนที่มีศักยภาพไม่กี่คนเท่านั้น  ตัวเขาที่ได้เป็นนายกเทศมนตรีก็ถึงที่สุดแล้ว  อีกทั้งปัจจุบันเขาก็อายุจะ 50 แล้ว… หากไม่มีแรงสนับสนุนจากภายนอกละก็  บางทีตัวเขาเองก็อาจจะค่อยๆ ถูกลดความสำคัญลงในสายตาของตระกูลซูก็เป็นได้  หากเขาได้รับแรงสนับสนุนจากตระกูลวังแล้วพัฒนาไปอีกก้าว ไม่แน่ผู้เฒ่าตระกูลซูอาจจะพิจารณาศักยภาพของเขาใหม่อีกครั้งหนึ่ง

แม้จะรู้เจตนาของพ่อตัวเองดี  แต่ซูจิ้งเหวินก็ไม่ได้พูดอะไร  วังเผิงแม้จะหน้าตาหล่อเหลาแต่สำหรับเธอแล้ว  วังเผิงก็แค่หมอนเย็บเท่านั้น (สำนวนที่หมายถึงคนที่มีแต่รูปลักษณ์ภายนอกดูดีแต่กลับไม่มีความรู้ความสามารถ) พูดได้ว่าเป็นไอ้บัดซบที่ภายนอกดูดี  ภายในกลับเป็นคนกระด้างหยาบคาย  ที่พูดมาไม่ใช่การว่าร้ายเขาแม้แต่น้อย

ซูเจี้ยนจงเห็นลูกสาวตัวเองหันหลังกลับเข้าไปในห้องรักษาตัวของแม่  เขาอ้าปากอยากจะพูดสักประโยค… แต่ก็กลั้นเอาไว้  เขารู้ดีว่าความคิดไต่เต้าของเขานั้นส่งผลเสียต่อลูกสาว  ขณะที่คิดเรื่องนี้อยู่เขาก็เดินตามหลังลูกสาวไปหยุดอยู่ตรงหน้าประตู  แต่ซูเจี้ยนจงก็ไม่กล้าเดินเข้าไปหาภรรยาของตัวเองที่นอนอาการโคม่ามา 3 ปีเต็ม

บนเตียงมีร่างของผู้หญิงสวยราวกับอายุเพียงแค่ 30 ปีเท่านั้น มีความคล้ายซูจิ้งเหวินอยู่ 3 ส่วน (จาก 10 ส่วน) ทว่าดวงตากลับปิดสนิท  หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย

เมื่อเห็นซูจิ้งเหวินเดินเข้ามาคุณป้าพยาบาลที่นั่งอยู่ใกล้ๆ หัวเตียงก็รีบลุกขึ้นทักทายซูจิ้งเหวิน  จากนั้นจึงเดินถอยฉากไป

ซูจิ้งเหวินมองไปยังแม่ของเธอที่ยังนอนนิ่งอยู่  ขอบตาเธอก็ร้อนผ่าว 2-3 ปีมานี้ถึงแม้ตัวเธอเองจะยังไม่ยอมแพ้ทว่าความขมขื่นเหล่านี้เธอก็ไม่อาจไประบายกับใครได้  มีแค่ช่วงกลางดึกไร้ผู้คนเท่านั้นที่เธอจะสามารถทิ้งตัวใกล้ๆ หัวเตียงของแม่แล้วร้องไห้ได้

เธอหยิบ ‘ยันต์ชำระวิญญาณ’ ทั้ง 2 แผ่นที่เย่โม่ขายให้เธอในราคาสองหมื่นหยวนขึ้นมา  ซูจิ้งเหวินเหม่อเล็กน้อย... แม้ในใจจะรู้ดีว่ายันต์พวกนี้คงใช้หลอกผู้คนเท่านั้น  แต่เธอเองก็ยังอดตื่นเต้นไม่ได้ ราวกับว่าใช้ยันต์พวกนี้แล้วแม่ของเธอจะฟื้นขึ้นมาจริงๆ ยังไงยังงั้น

ซูเจี้ยนจงส่ายหัวเมื่อเห็นลูกสาวหลอกตัวเอง  เขารอให้เธอใช้ยันต์ครั้งนี้ให้เสร็จแล้วจึงค่อยพูดกับเธออีกครั้ง

ซูจิ้งเหวินผุดลุกขึ้นแล้วถอยหลังไป 2 ก้าว ‘ยันต์ชำระวิญญาณ’ ที่อยู่ในมือก็ถูกโยนไปทางผู้หญิงที่นอนอยู่พร้อมกับพูดเบาๆ

“หลิน!”

แม้มองไปแล้วจะเหมือนคนทรงหลอกลวงคนหนึ่ง… แต่ซูเจี้ยนจงก็ไม่มีความคิดจะหัวเราะแม้แต่น้อย  ในใจเขามีแต่ความรู้สึกผิดโดยไม่อาจสงบใจได้  เพื่อแม่ของเธอ  ลูกสาวที่มีการศึกษาสูงอย่างซูจิ้งเหวินเองก็เริ่มมาเชื่อเรื่องแบบนี้แล้ว

เวลานั้นเองก็คล้ายกับว่าสายตาของเขาเริ่มมีปัญหา  หลังจากซูจิ้งเหวินโยนยันต์ออกไปแล้วพูดว่า ‘หลิน’ ทันใดนั้นก็เกิดแสงสว่างขึ้น!  ประกายแสงจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านี้พุ่งเข้าไปยังร่างของภรรยาเขาที่นอนนิ่งอยู่  จากนั้นก็เหลือเพียงเศษเถ้าร่วงอยู่รอบตัว

ถ้าไม่ใช่เพราะทั่วทั้งห้องอยู่ๆ ก็เย็นลงหรือแสงนั่นทำให้เขาแสบตาละก็  ซูเจี้ยนจงเองก็คงคิดไปแล้วว่านี่คือภาพลวงตา… ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่?

ซูจิ้งเหวินเองก็นิ่งงั่นไป  ทีแรกเธอคิดว่ายันต์ที่โยนไปก็คงร่วงลงบนผ้าห่มของแม่แล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกเช่นเคย ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเกินกว่าที่เธอคาดไว้มาก  ยันต์ที่เธอโยนออกไปได้กลายเป็นลำแสงสีขาวเย็นๆ หลายเส้นแล้วพุ่งเข้าไปในตัวของแม่เธอ  อีกทั้งยันต์ที่โยนออกไปก็สลายกลายเป็นเถ้าเล็กๆ ร่วงไปรอบตัว

พอคิดว่ายันต์นี้อาจจะได้ผลจริงๆ มือของซูจิ้งเหวินก็เริ่มสั่น... หากเป็นอย่างที่อาจารย์ขายยันต์บอกไว้จริงๆ ล่ะก็แม่ของเธอควรจะฟื้นขึ้นในไม่ช้านี้

คิดถึงตรงนี้ซูจิ้งเหวินก็ข่มกลั้นความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่  เธอถลันเข้าไปหาแม่ตรงหัวเตียงทันที

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด