ตอนที่แล้วบทที่ 10 อยากชวนไปกินข้าวจริงๆ นะ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 12 อยากจะรักษาตามอาการหรือรักษาโรค?

บทที่ 11 การเข้างานแทนอันแสนซับซ้อน


ไม่แน่ว่าในความคิดของเธอนั้น  หลังจากชวนไปกินข้าวเสร็จแล้วคงไม่ใช่เธอติดค้างเขาหรอก  แต่เป็นเขาเองที่ติดค้างเธอแทน  กับผู้หญิงที่ถือดีแบบนี้เย่โม่ไม่ได้รู้สึกดีด้วยแม้แต่น้อย

“ความหมายก็คือรู้สึกว่าติดค้างผม เลยชวนไปกินข้าวด้วย... ถูกไหม?”  เย่โม่พูดขึ้นมาเบาๆ

“ใช่! ใช่! แบบนั้นแหละ”  ซูเหมยสรุปเอาว่าเย่โม่เข้าใจความหมายของเธอแล้วก็ดีใจมาก  เธอรู้สึกโล่งอกขึ้นทันที

“ชวนผมไปกินข้าว  คิดไว้ว่าจะจ่ายเท่าไหร่ล่ะ”  คำถามของเย่โม่ทำให้ซูเหมยถึงกับตะลึงงัน

“เออ... ฉันอยากจะไปกินที่ร้านอาหารในมหาลัยสักมื้อหนึ่ง 2 คนก็คงประมาณสามร้อยหยวนมั้ง”  ถึงแม้จะไม่เข้าใจความหมายของเย่โม่นัก  แต่ซูเหมยก็ยังตอบกลับไป

“ตอนนี้เงินติดตัวเธอมีถึงสองร้อยหยวนไหม?”  เย่โม่มองไปยังซูเหมยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

ซูเหมยยิ้มหยันในใจ... เสแสร้งอะไรกัน  ทำเป็นเท่ห์สุดท้ายก็ยืมเงินเธอ  ดูท่าแล้วดอกไม้ช่อนั้นคงเตรียมซื้อให้คนอื่นมากกว่า  คงเพราะเธอหยิบดอกไม้ของเขามาเลยมาขอเงินเธอแบบนี้  ถึงจะคิดแบบนั้นเธอก็ยังหยิบเงินสองร้อยหยวนขึ้นมา  คิดในใจว่าให้เงินเขาแล้วยังจะต้องเชิญเขาไปกินข้าวอีกไหม  ยังไงก็ตามเงินพวกนี้เธอก็ไม่หวังจะได้คืนเหมือนกัน

“ผมคิดสามร้อยหยวนต่อมื้อ  ผมจะกินประมาณ 2 ใน 3 เท่านั้นซึ่งก็คือสองร้อยหยวนพอดี  ในเมื่อให้เงินมาแล้วก็ถือซะว่าเธอชวนไปกินข้าวสำเร็จแล้วละกัน  ตอนนี้ถือว่าพวกเราหายกันแล้ว  ไม่ต้องมายุ่งวุ่นวายกับผมอีก!”  เย่โม่รับเงินสองร้อยหยวนแล้วก็หันหลังเดินจากไปทันที

“นาย!...”  ซูเหมยยืนอึ้งไปสักพักใหญ่  ไม่น่าเชื่อว่ายังมีคนแบบนี้อยู่อีก  ความโกรธอัดแน่นในอกจนเกือบหายใจไม่ออก… เขาคิดว่าตัวเองเป็นใคร  หรือลืมไปแล้วว่าตัวเองเป็นแค่ขยะไร้ค่ากัน

สิ่งที่ทำให้เย่โม่แปลกใจคือหลังกินข้าวเสร็จแล้ว  เขาก็ยังไม่พบเจอคนน่าสงสัยตามเขามาเลย  เขาไม่เชื่อเด็ดขาดว่าคนอย่างเจิ้งเหวินเฉียวจะหยุดอยู่แค่นี้  ดูท่าแล้วคงจะมีความอดทนอยู่ไม่น้อยเลย

เย่โม่เพิ่งวิ่งกลับมาถึงที่พักของตนก็พบว่าซู่เวยเดินไปเดินมาตรงที่พักของเขาด้วยใบหน้าเป็นกังวล  เขาจึงถามด้วยความแปลกใจ  “ซู่เวย... เป็นอะไรไป  อย่างกับมดบนกระทะร้อนอย่างนั้นแหละ?”

พอซู่เวยเห็นเย่โม่ก็รีบเข้ามาหาด้วยความดีใจ  “ในที่สุดนายก็มานะ!  เย่โม่  ช่วยอะไรฉันหน่อยสิ  วันนี้ฉันมีธุระด่วนจริงๆ แต่ดันไปสัญญากับโจวหยุนไว้แล้วว่าจะช่วยเข้ากะดึกน่ะ”

“ผมช่วยอะไรคุณได้ด้วยหรือ?”  เย่โม่ถามด้วยความประหลาดใจ

ซู่เวยพูดด้วยใบหน้ารีบร้อน  “อย่างนี้นะ... เดิมทีฉันจะไปช่วยโจวหยุนเข้ากะแทนแต่กลับมีเรื่องด่วนเสียก่อน  นายช่วยไปเข้ากะแทนฉันที  แค่ 2-3 ชั่วโมงเอง  เที่ยงคืนก็เลิกงานแล้ว”

เย่โม่รู้สึกเหมือนเส้นเลือดดำที่ขมับกระตุกตุบๆ เขาพูดด้วยอาการจนใจเล็กน้อย  “ผมเป็นแค่คนตกงานคนหนึ่งเท่านั้น  คุณอยากให้ผมไปเข้ากะที่โรงพยาบาลแทน... นี่คุณไม่สบายหรือเปล่าเนี่ย?”

“ไม่ใช่ว่านายเคยพูดว่าเข้าใจเรื่องการรักษาอยู่บ้างเหรอ?  เรื่องของเรื่องก็คือนายไม่ต้องเข้าใจอะไรพวกนี้ก็เข้ากะแทนได้  เพราะงานกะดึกของฉันก็แค่ตรวจไข้เท่านั้นเอง  นายแค่ต้องเอาเทอร์โมมิเตอร์ให้คนไข้วัดอุณหภูมิเอง  หลังจากนั้นก็จดข้อมูลเอาไว้  หากมีไข้แค่ลงรายชื่อไว้ก็โอเคแล้ว  รอฉันโทรหาเสี่ยวอู่ให้เธอสอนนายสักหน่อย  ไม่กี่นาทีก็เป็นแล้ว”  พูดจบซู่เวยก็มองเย่โม่ด้วยความคาดหวัง

เย่โม่มองกลับด้วยอาการไร้คำพูด  ฟังๆ แล้วก็ง่ายจริงๆ  กับคนที่เคยชวนเขาไปกินข้าวอย่างซู่เวยเขาย่อมมีความรู้สึกดีด้วยอยู่แล้ว  “เรื่องช่วยน่ะได้อยู่... แต่ถ้าหัวหน้าของเธอมาตรวจเจอแล้วจะทำยังไง?”

“นายวางใจได้  หัวหน้าไม่ไปตรวจที่เคาน์เตอร์รับผู้ป่วยหรอก  หรือถ้าจะตรวจจริงๆ ก็คงไปตรวจตามแผนกต่างๆ มากกว่า  แถมตอนเย็นๆ หัวหน้าก็ไม่ไปตรวจหรอก  ยังไม่นับว่าพอถึงเวลาจริงนายต้องใส่หน้ากากอนามัยอีก  ใครจะรู้ว่าเป็นนาย?”  ซู่เวยพูดด้วยความมั่นใจ

แน่นอนว่าเขาไม่กังวลแม้แต่น้อย  เย่โม่คิดในใจ  ถ้าถูกพบเข้าเขาก็แค่คนมาแทนเท่านั้น  คนที่ถูกลงโทษไม่ใช่เขาเสียหน่อย

เมื่อเห็นว่าเย่โม่ยอมตกลง  ซู่เวยก็หยิบป้ายชื่อส่งให้เย่โม่แล้วรีบแบกกระเป๋าจากไปทันที  เธอเดินไปพลางคุยโทรศัพท์ไปพลาง  ดูจากอาการเคร่งเครียดของเธอเย่โม่ก็รู้ได้ว่าเธอคงเจอปัญหายุ่งยากเข้าแล้ว  เย่โม่หยิบกระเป๋าพยาบาลขนาดเล็กของตนเผื่อไว้ด้วย  คาดไม่ถึงว่ากระเป๋าที่เตรียมไว้เพื่อตั้งแผงลอยจะได้ใช้ครั้งแรกกับโรงพยาบาลจริงแบบนี้

อาจเพราะซู่เวยโทรหาเสี่ยวอู่ไว้ก่อนแล้ว  เมื่อเย่โม่มาถึงเคาเตอร์ตรวจไข้ของโรงพยาบาลลี่คัง  เสี่ยวอู่ก็ดึงหน้ากากลงแล้วโบกไม้โบกมือให้เขา  “นายคือเย่โม่ใช่ไหม!  ใส่ชุดกาวน์เลย  ฉันจะพูดอะไรหน่อยนะง่ายนิดเดียว  แค่หยิบเทอร์โมมิเตอร์และจดลงไป  ที่เหลือปล่อยให้ฉันจัดการเอง”

ถึงตรงนี้เย่โม่จึงได้เข้าใจว่าง่ายจริงๆ อย่างที่ว่า  คนมาหาหมอตอนเย็นก็มีไม่เยอะมาก  ต่อให้เขาไม่มา  เสี่ยวอู่คนเดียวก็เอาอยู่ไม่ใช่หรือ?

เสี่ยวอู่คล้ายรู้ว่าเย่โม่สงสัยอะไรอยู่จึงยิ้มๆ แล้วอธิบายให้ฟัง  “ที่จริงแล้วก็แค่กังวลว่าตอนเย็นหากคนไข้เยอะแล้วฉันดูแลไม่ทั่ว  จะถูกคนไข้ว่าเอา  ถ้าหมอไม่มาแล้วถูกคนไข้ร้องเรียนก็อาจเป็นเรื่องใหญ่โตเอาได้  โจวหยุนเองก็ยังอยู่ในช่วงทดลองงาน  จะไม่มาก็ไม่ได้อีก  ช่วงเย็นๆ คนไข้ที่มามีแต่เด็กๆ ทั้งนั้น  ไม่เป็นหวัดก็เป็นไข้ประมาณนี้แหละ”

เพราะกลัวคนไข้จะร้องเรียนนี่เองถึงได้เรียกเขามาช่วย  เย่โม่คิดในใจ

เสี่ยวอู่เป็นหญิงสาวใบหน้ากลม  เมื่อยิ้มจะปรากฏลักยิ้มขึ้นทั้งสองข้าง  มองแล้วน่าคบหา  แล้วก็เป็นอย่างที่คาดเอาไว้ว่าหลังจากเลย 6 โมงเย็นมาแล้วคนไข้ก็เริ่มจะเยอะขึ้นไม่ต่างจากที่เสี่ยวอู่พูดไว้สักเท่าไหร่  ผู้ป่วยที่มาส่วนมากแล้วจะเป็นเด็กไม่เป็นหวัดก็เป็นไข้  ถ้ามีแค่เสี่ยวอู่คนเดียวก็ดูท่าจะรับมือไม่อยู่จริงๆ

พอถึงเวลา 5 ทุ่มคนส่วนมากก็เลิกงานกันหมดแล้ว  คนภายในโรงพยาบาลก็เริ่มจางลงทำให้เย่โม่และเสี่ยวอู่มีเวลาว่างเพิ่มขึ้น  เมื่อเสี่ยวอู่เห็นว่าไม่มีคนแล้วจึงหันไปพูดกับเย่โม่  “ฉันจะไปหาอะไรกินหน่อยเพราะยังต้องอยู่กะดึกอีก  อยากได้อะไรไหม?”

เย่โม่โบกมือไปมา  เขายังไม่หิว  หลังจากมองเสี่ยวอู่เดินจากไปเขาก็เดินไปเข้าห้องน้ำทั้งที่แบกกระเป๋าพยาบาลไปด้วย  ที่เขานำกระเป๋าติดตัวมาก็เพราะมีแต่เขาที่รู้ดีว่ากระเป๋าใบนี้มีค่ามากแค่ไหน  ที่เคาน์เตอร์ตรวจไข้ผู้คนเดินผ่านไปมา ถึงแม้จะค่ำมืดแล้วก็ยังมีโอกาสที่จะถูกคนอื่นหยิบไปได้  เช่นนั้นแล้วความพยายามหลายต่อหลายวันและเงินหลายหมื่นหยวนของเขาคงสูญเปล่าแน่

“นายคนนั้นน่ะ... มาด้วยกันหน่อยสิ มีเรื่องอยากให้ช่วย”  แพทย์วัยกลางคนในชุดกาวน์ของโรงพยาบาลเมื่อเห็นเย่โม่เดินออกจากห้องน้ำพอดีจึงรีบเรียกตัวเย่โม่ไว้

เย่โม่เองเดิมที่ไม่ได้อยากสนใจคนๆ นี้มากนัก  แต่เมื่อคิดได้ว่าผู้ชายคนนี้มีน้ำเสียงคล้ายจะเป็นผู้ดูแลหรืออะไรแบบนั้น  หากเขารู้ว่าเย่โม่ช่วยเข้างานแทนซู่เวยล่ะก็  คงจะไม่เป็นผลดีต่อซู่เวยเป็นแน่  เอาเถอะ  ถือว่าช่วยซู่เวยละกัน

แพทย์วัยกลางคนได้พาเย่โม่มาที่ห้องฉุกเฉินแล้วถาม  “นายอยู่แผนกนั้นใช่ไหม?”

เย่โม่คิดในใจ ถ้าบอกว่าอยู่ ‘แผนกนั้น’  ตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะรู้จักจริงๆ  ถ้าพูดอะไรผิดก็จะอับอายเสียเปล่าๆ คิดถึงตรงนี้ก็พูดได้แค่  “ผม....”

ยังไม่ทันที่เย่โม่จะได้คิดหาเหตุผลโทรศัพท์ของแพทย์คนนี้ก็ดังขึ้น  เขารับโทรศัพท์  เมื่อพูดคุยกันได้ 2-3 ประโยคก็รู้สึกโกรธขึ้นมา  เขาเถียงกับคนในโทรศัพท์อยู่นานก็ได้ยินเขาตะโกนขึ้นเสียงดัง  “หย่าก็หย่า!!  ยัยคนไร้ยางอายนี่...”

เมื่อคุยโทรศัพท์เสร็จชายวัยกลางคนก็คร้านจะสนใจเย่โม่อีก  เขาถอดชุดกาวน์ออกแล้วสะพายกระเป๋าเดินจากไปทันที

ไอ้งี่เง่านี่!  เย่โม่คิดในใจ  ถึงจะหย่ากับเมียแต่ยังไม่เลิกงานก็ชิ่งซะแล้ว  ตอนนี้เพิ่งจะ 5 ทุ่มเอง  เย่โม่รู้สึกเสียอารมณ์เป็นอย่างมาก  พาเขามาถึงนี่แต่กลับไม่บอกกล่าวอะไรสักคำก็ชิ่งหนีเสียแล้ว  ไม่แปลกใจเลยที่เมียอยากหย่ากับคนอย่างนี้

เย่โม่เพิ่งจะลุกขึ้นยืนก็มีพยาบาลกับหญิงสาวอายุราว 20 ปีคนหนึ่งกำลังประคองชายแก่อายุ 60 กว่าๆ เดินเข้ามา แค่ฟังเสียงฝีเท้าเย่โม่ก็รู้ทันทีว่าสองคนนี้รีบร้อนขนาดไหน

“นายเป็นใคร?... หมอชุยอยู่ไหน?”  แม้เย่โม่จะใส่ผ้าปิดปากอยู่แต่พยาบาลคนนี้ก็มองออกว่าเขาไม่ใช่หมอชุย  จึงรีบถามด้วยความร้อนรน

“อ้อ... เขาเพิ่งไปน่ะ ผมมาเข้ากะแทน...”  เย่โม่ยังพูดไม่ทันจบว่าเขามาเข้ากะแทนโจวหยุน  พยาบาลคนนี้ก็ตัดบทเขาเสียก่อน

“ถ้างั้นนายก็รีบมาช่วยตรวจคุณปู่คนนี้หน่อย  เขาปวดไปทั่วร่างกายจนพูดอะไรไม่ได้แล้ว...”  พยาบาลช่วยประคองชายแก่ที่ตอนนี้ใบหน้าเขียวเล็กน้อยไปบนเตียง  เมื่อพูดกับเย่โม่จบเธอก็รีบเตรียมพร้อมช่วยเย่โม่ลงมือรักษาทันที

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด