ตอนที่แล้วบทที่ 9 รุ่นพี่มหาวิทยาลัยหนิงไห่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 11 การเข้างานแทนอันแสนซับซ้อน

บทที่ 10 อยากชวนไปกินข้าวจริงๆ นะ


แค่มองตาของชายหน้าขาวซีดคนนี้ก็รู้ทันทีว่าไม่ยอมปล่อยเขาไปแน่  ถึงแม้ตัวเย่โม่จะไม่กลัวใครหน้าไหน… แต่การโดนแค้นเคืองโดยไร้เหตุผลเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก  มองก็รู้ว่าคนแบบนี้ไม่ใช่คนดีอะไร  หลังจากเหตุการณ์นี้หากชายตรงหน้าปล่อยเขาไปล่ะก็  ประสบการณ์ 10 กว่าปีของเขาในโลกของจอมยุทธ์ก็ถือว่าสูญเปล่าแล้ว

เย่โม่มองหญิงงามข้างกายด้วยสายตาไร้อารมณ์แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร  ถึงแม้เขาจะไม่ชอบการกระทำอันไร้ความรับผิดชอบแบบนี้โดยไม่คำนึงแม้แต่น้อยว่าการทำแบบนี้จะส่งผลกระทบต่อใครบ้าง  ทว่าเขาเองก็ไม่ชอบดวงตาราวกับปลาตายของชายหนุ่มหน้าขาวซีดนี้เช่นกัน  หากหลังจากนี้มันกล้ามาหาเรื่องเขาล่ะก็  เขาก็ไม่ว่าอะไรถ้าจะต้องสั่งสอนให้มันจำไปจนตาย

“นี่เพื่อน!  ไม่เลวเลย  ขนาดซูเหมยแห่งมหาลัยหนิงไห่ยังมองนาย  มารู้จักกันหน่อยดีกว่า  ฉันชื่อเจิ้งเหวินเฉียว  รู้สึกคุ้นหน้านายมากเลย… ฉันน่าจะรู้จักนายนะ”  เจิ้งเหวินเฉียวเดินมาตรงหน้าเย่โม่แล้วพูดขึ้นเบาๆ มีแววดูถูกเหยียดหยามและความมุ่งร้ายพาดผ่านดวงตา  มีกระทั่งความเวทนาแผ่ออกมาด้วย  ราวกับว่ามองเห็นภาพเย่โม่กำลังคุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตาอยู่

“ไสหัวไป!”  เย่โม่ไม่ให้ค่าเจิ้งเหวินเฉียวแม้แต่น้อย  จากประสบการณ์การต่อสู้ฆ่าฟันในโลกจอมยุทธ์แล้ว  แค่มองสายตาของเจิ้งเหวินเฉียวเย่โม่ก็รู้แล้วว่าเขาคิดอะไรอยู่  หากมายุ่งวุ่นวายกับเขาล่ะก็  เขาก็ไม่ลังเลที่จะฆ่าชายคนนี้  ถึงเย่โม่จะเข้าใจดีว่าสังคมที่นี่มีกฏหมาย  ล้วนต้องฆ่าในที่ลับตา  หากฆ่าในที่แจ้งผลที่ตามมาย่อมร้ายแรง  แต่นิสัยดั้งเดิมก็ใช่ว่าจะเปลี่ยนกันได้ง่ายๆ เขาคือจอมยุทธ์คนหนึ่งเฉกเช่นกับตอนที่อยู่ในป่าเขาลึก

“แก!  ดี!  กล้าดีนี่หว่า....”  หากเจิ้งเหวินเฉียวลงมือเมื่อไหร่เย่โม่ก็พร้อมจะสั่งสอนเขาสักหน่อย  คาดไม่ถึงว่าเจิ้งเหวินเฉียวแค่พูด 2-3 คำแล้วเดินจากไปด้วยใบหน้าถมึงทึง

เย่โม่รู้ว่าเจิ้งเหวินเฉียวคงจะเห็นร่างกายกำยำแข็งแรงของเขาจึงกลัวจะเสียเปรียบไม่กล้าลงมือ  คาดว่าคงไปรวบรวมกำลังคนแล้ว  แต่เขาก็ไม่เก็บเอามาใส่ใจ

“เย่โม่… นายรู้ไหมเนี่ยว่าเขาเป็นใคร?”  ซูเหมยเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าเย่โม่จะเข้มแข็งดุดันขนาดนี้  ขนาดคุณชายอันดับ 1 แห่งมหาวิทยาลัยหนิงไห่ยังไม่อยู่ในสายตา  พ่อของเจิ้งเหวินเฉียวเป็นถึงรองนายกเทศมนตรีของหนิงไห่ ทั้งแม่ของเขายังมาจากตระกูลชิวผู้เป็นเจ้าของธุรกิจที่ติดอันดับ 1 ใน 100 ของประเทศจีนอีกด้วย  ในมหาวิทยาลัยหนิงไห่ไม่ควรจะมีใครที่ไม่รู้จัก

แต่คุณชายใหญ่แบบเขากลับถูกเย่โม่บอกให้ไสหัวไป  สมองของเย่โม่คนนึ้น่าจะมีปัญหาแล้ว  แต่เธอกลับรู้สึกชอบการกระทำของเขามาก

ซูเหมยได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว  แต่ในใจยังคงชื่นชมเย่โม่อยู่  เขาช่วยเธอไล่แมลงวันตัวนั้นไป  อีกทั้งยังเป็นตัวที่เธอเกลียดมากเสียด้วย  เธอจึงหัวเราะเสียงใสขึ้นมา  “เย่โม่  ได้ยินชื่อเสียงของนายมานาน  ไม่คิดว่าแม้แต่เจิ้งเหวินเฉียวนายยังกล้าไล่… เรื่องวันนี้ขอบคุณนายมาก  จะว่ายังไงถ้าฉันจะชวนไปกินข้าวด้วยกัน”

ที่ซูเหมยพูดไปนั้นเธอเองคิดว่าการชวนครั้งนี้ถือว่าให้เกียรติเย่โม่มากแล้ว  ใครกันจะสามารถทำให้ซูเหมยออกปากชวนด้วยตัวเองได้  จำนวนคนที่ชวนเธอนั้นต่อแถวยาวเลยออกนอกหนิงไห่ไปแล้ว  ตามความเห็นของเธอเย่โม่ควรจะดีใจตกปากรับคำเธอ  จากนั้นก็เดินตามหลังเธอต้อยๆ ด้วยความยินดีพร้อมกล่าวขอบคุณเธอไม่หยุด

ทว่าสิ่งที่ทำให้เธอต้องแปลกใจอีกครั้งก็คือเย่โม่กลับมองเธอด้วยสายตารังเกียจแวบหนึ่ง  จากนั้นจึงเดินเข้าห้องสมุดไปโดยไม่ได้ตอบกลับแม้แต่น้อย  ราวกับเธอเป็นเพียงอากาศธาตุ  ทิ้งให้ซูเหมยยืนนิ่งอยู่ข้างนอก

หลังจากเย่โม่เดินเข้าห้องสมุดไปได้สักพัก  ซูเหมยก็ได้สติขึ้นมา  แต่ไหนแต่ไรมาตัวเธอซูเหมยไม่เคยได้รับการปฏิบัติอย่างเย็นชาแบบนี้  นี่ยังไม่นับว่าเธอชวนด้วยตัวเองอีก  เมื่อถูกคนที่เป็นดั่งขยะเช่นเขาเมินแบบนี้ในใจเธอรู้สึกแย่ราวกับกินแมลงเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น  สีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีด

ไม่มีทาง! ไม่ว่ายังไงเธอก็ไม่ยอมเสียหน้าแบบนี้แน่  ซูเหมยไม่เชื่อว่าเธอจะชวนเขาไม่ได้  พอคิดถึงตรงนี้ซูเหมยก็เดินเข้าไปในห้องสมุดเช่นกัน  ถึงแม้จะเป็นวันเสาร์  แต่ภายในห้องสมุดมหาวิทยาลัยหนิงไห่กลับมีคนเยอะมากจนไม่มีที่นั่งเหลือเลย  พอซูเหมยเข้ามาในห้องสมุดก็พบเย่โม่  เขายืนอยู่ตรงหน้าชั้นวางหนังสือสมุนไพร  ในมือพลิกอ่านหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง

ซูเหมยยิ้มเยาะเย่โม่ที่กำลังแสร้งอ่านหนังสือการแพทย์  แม้แต่ที่นั่งก็หาไม่ได้  ในใจเธอรู้สึกดูถูกชายคนนี้ขึ้นมา

เมื่อซูเหมยเดินเข้ามาในห้องสมุดก็มีหนุ่มหล่อมากหน้าเข้ามาเชิญไปนั่งด้วยทันที  การมีซูเหมยผู้เป็นถึงหญิงงามอันดับ 1 แห่งมหาวิทยาลัยหนิงไห่นั่งอยู่ข้างๆ ถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างหนึ่งของพวกเขา

คนอื่นเข้ามาหาที่นั่งไม่ได้  แต่ซูเหมยกลับเลือกได้ด้วยซ้ำว่าจะนั่งตรงไหน  เธอเลือกนั่งตรงจุดที่สามารถมองเห็นเย่โม่ได้พอดี  เพียงรอยยิ้มน้อยๆ ของเธอเพียงครั้งเดียวถึงกับทำให้หนุ่มหล่อมึนงงไปครึ่งวัน  ซูเหมยหยิบหนังสือขึ้นมาแบบสุ่มๆ  ทั้งที่จริงแล้วกำลังมองเย่โม่อยู่  จากความเห็นของเธอที่เย่โม่มาที่นี่ก็เพื่อ  เสแสร้งโอ้อวดคนอื่นก็เท่านั้น…ไม่มีทางที่เขาจะทนทำได้ถึงครึ่งชั่วโมงหรอก  เดี๋ยวเดียวก็ออกไปแล้ว

ทว่าซู่เหมยกลับรู้สึกประหลาดใจเมื่อ ‘ครึ่งชั่วโมง’ ที่เธอคิดผ่านไปแล้วถึง 2-3 ครั้ง  เย่โม่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะออกไปเลยสักนิด  ไม่มีแม้กระทั่งความคิดที่จะหาที่นั่งเลยด้วยซ้ำ

ความเร็วในการอ่านของเขาถือได้ว่ารวดเร็วมาก  เขายืนอยู่ตรงหน้าชั้นหนังสือสมุนไพร 1 ชั่วโมงอย่างน้อยก็เปลี่ยนหนังสือในมือไป 3-4 เล่มเป็นอย่างต่ำ  อีกทั้งซูเหมยยังเห็นอย่างชัดเจนว่าเขาอ่านด้วยความรวดเร็วตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่พลาดแม้แต่หน้าเดียว  เพียงแต่ความเร็วในการพลิกหนังสือถือว่าเร็วเกินไปแล้ว

เสแสร้ง!  เขาแค่เสแสร้งเท่านั้น  ความเร็วในการพลิกขนาดนี้  อย่าว่าแต่อ่านเนื้อหาหรือทำความเข้าใจเลย  แค่จะอ่านหัวข้อยังยากเกินไปด้วยซ้ำ

เย่โม่ได้เข้าไปในโลกของหนังสือสมุนไพรเหล่านี้ไปเรียบร้อยแล้ว  คณะแพทย์ของมหาวิทยาลัย  หนิงไห่จัดว่าค่อนข้างมีชื่อเสียง  ดังนั้นหนังสือทางการแพทย์ของที่นี่จึงมีครบครัน  แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เย่โม่ผิดหวังก็คือถึงแม้จะมีจุดแปลกใหม่อยู่บ้าง… แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นคิดนอกกรอบ

ไม่ว่าจะเป็นแพทย์แผนจีนหรือแพทย์แผนตะวันตกก็เหมือนๆ กัน  แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงอ่านและจดจำเนื้อหาทุกๆ เรื่อง  แต่ไหนแต่ไรมาความทรงจำของเขาก็ดีอยู่แล้ว  อีกทั้งตอนนี้อยู่ด่านรวบรวมลมปราณระดับ 1 แล้ว  สามารถเข้าถึงจิตวิญญาณได้บางส่วน  ฉะนั้นอ่านหนังสือเหล่านี้โดยพื้นฐานแล้วจึงไม่เสียเวลามากนัก

หนังสือเหล่านี้เมื่อเทียบกับสิ่งที่เขาฝึกฝนมานั้นยังถือว่าห่างชั้นกันอยู่มาก  หากเขาอยู่ด่านรวบรวมปราณก็ต้องใช้เวลาถึง 5 ชั่วโมงในการอ่านหนังสือแพทย์พวกนี้ทั้งชั้น  หากเขาอยู่ด่านก่อปราณจะใช้เวลา 3 ชั่วโมงในการอ่านหนังสือทั้งห้องสมุด  หากไปถึงด่านตัวอ่อนปราณล่ะก็เขาไม่จำเป็นจะต้องเข้ามาในห้องสมุดนี้ด้วยซ้ำ  เพียงแค่สำรวจในจิตวิญญาณเรื่องพวกนี้ย่อมไม่อาจหลุดรอดไปได้

หนังสือสุดท้ายก็แค่หนังสือ  ยังห่างชั้นกับคัมภีร์ล้ำค่ามากนัก  แต่ตัวเขาเองไหนเลยจะสามารถไปถึงระดับตัวอ่อนปราณได้  ในชาติก่อนเขายังไปถึงแค่ด่านก่อปราณเท่านั้น

ซูเหมยยิ่งรอนานก็ยิ่งกระวนกระวาย  ตอนนี้ก็ปาเข้าไปบ่าย 3 โมงกว่าแล้วเขายังอ่านหนังสืออยู่เลย  ขนาดข้าวกลางวันก็ไม่ไปกิน  เพราะเธออยากจับตาดูเขาเลยได้แต่นั่งท้องร้องรอ

เธอก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงอยากให้เขาตอบรับคำชวนไปกินข้าว 1 มื้อของเธอนัก  แต่การที่เขามาปฏิเสธเธอแบบนี้… ทำให้ในใจเธอรู้สึกอึดอัดคับข้องขึ้นมา

ขณะที่ซูเหมยกำลังจะทนรอไม่ไหวนั้นเอง  ในที่สุดเย่โม่ก็วางหนังสือในมือลงแล้วเดินออกจากห้องสมุดไป  ซูเหมยเห็นดังนั้นจึงรีบตามออกไปทันที

“เธอยังมีเรื่องอะไรอีก?”  น้ำเสียงของเย่โม่เย็นชามาก  เห็นได้ชัดว่าเขารู้แต่แรกแล้วว่าซูเหมยตามเขาอยู่

“อ่ะ!...”  ซูเหมยถูกคำถามที่มาอย่างกะทันหันของเย่โม่ทำให้เธอสับสนไปชั่วขณะ  ทว่าไม่นานก็ได้สติกลับมาแล้วพูดอย่างเร่งรีบว่า  “คืออย่างนี้นะ... เพราะตอนสายๆ นายช่วยฉันไว้  ฉันอยากจะชวนนายไปกินข้าวด้วยจริงๆ  ฉันไม่อยากติดค้างนาย  ไม่งั้นฉันก็จะ...”

เย่โม่จ้องมองซูเหมยด้วยสายตาเย็นชา  เขาได้แต่แอบถอนใจ  มีแต่ผู้หญิงที่คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงเท่านั้นถึงจะมองตัวเองยิ่งใหญ่แบบนี้ได้  เธอคงจะไม่เคยคิดเลยว่าการกระทำของตัวเองจะส่งผลกระทบต่อคนอื่นหรือเปล่า  คงจะคำนึงถึงแต่ความรู้สึกอันสูงส่งของตัวเองเท่านั้น

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด