ตอนที่แล้วบทที่ 281 หลุมศพว่างเปล่า
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 283 คำตอบ

บทที่ 282 ยังมีชีวิตอยู่?


สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ : แปลได้แล้ว

“ขุดหรือไม่ขุด?”

เจียงอี้ลังเล การขุดหลุมฝังศพเป็นการดูหมิ่นคนตายอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนี่คือหลุมฝังศพของแม่ของเขา

แต่หลิงอีก็ยืนยันหนักแน่นว่าภายในนั้นไม่มีศพอยู่จริงๆ อีกทั้งยังกล้าพูดด้วยว่าหากไม่เป็นเหมือนที่เขาพูด เขายินดีที่จะยอมรับความตายเพื่อชดใช้

ดวงตาของเจียงหยุนไฮ่สั่นเครือ หลิงอีอยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจินกังและครอบครองสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ซึ่งสามารถช่วยให้เขารับรู้ทุกสิ่งรอบตัวราวกับใช้ตามอง

หากที่เขาพูดเป็นความจริง นั่นก็หมายความว่าร่างของอีเพียวเพียวได้หายไปแล้ว!

หรือหลิงอีจะโกหก?

หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นานในที่สุดเจียงอี้ก็ตัดสินใจได้

“ขุด!”

เขาไม่ขอให้ผู้อื่นช่วยแต่เลือกที่จะขุดหลุมศพของมารดาด้วยตัวเอง เมื่อขุดลงไปลึกระดับหนึ่ง เขาก็พบกับกลไกลเหมือนที่เจียงหยุนไฮ่ว่าไว้ซึ่งทำให้เขารู้สึกประหลาดใจมิใช่น้อย

เจียงอี้ไม่ได้ใช้แก่นแท้พลังเข้าช่วยและใช้เพียงแค่มือสองข้าง ด้วยระดับบ่มเพาะพลังปัจจุบัน การกำจัดเศษหินและดินหาใช่ปัญหาแต่อย่างใด

หลังจากที่ใช้เวลาไปหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดหลุมศพก็ถูกขุดจนเห็นโลงศพสีดำที่ทำจากไม้มะเกลือซึ่งถูกฝังอยู่ด้านล่าง เห็นได้ชัดว่าเป็นโลงศพสำหรับชนชั้นสูง มันยังคงไร้ซึ่งรอยตำหนิแม้ว่าจะผ่านไปนานหลายปี

“ท่านแม่ หากว่าร่างของท่านอยู่ข้างในนั้น โปรดให้อภัยในความหยาบคายของลูกด้วย!”

ตึง!

เจียงอี้พึมพำกับตัวเองก่อนที่จะใช้มือแง้มฝาโรงขึ้นอย่างแรง วินาทีต่อมาดวงตาของเขาก็เผยให้เห็นความตกใจ จากนั้นก็หันไปมองเจียงหยุนไฮ่ผู้ซึ่งกำลังสั่นสะท้านไปทั่วร่างกาย

“นี่…”

ไม่ใช่แค่นั้น แม้กระทั่งดวงตาของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดจากจักรวรรดิมังกรเวหาต่างก็เบิกกว้างด้วยความตกตะลึง พวกเขาทุกคนต่างก็ไม่อาจสงบใจกับภาพตรงหน้าได้

เพราะในโลงศพ… มันว่างเปล่า!

ภายในนั้นว่างเปล่าอย่างสมบูรณ์และไร้ซึ่งกลิ่นเหม็นสาบของศพซึ่งควรจะมี มันราวกับว่าภายในโลงนี้ไม่เคยบรรจุศพคนตายไว้ตั้งแต่แรก!

“มะ มันเป็นไปได้ยังไง… นายหญิง ศพของนายหญิงหายไปไหน?!”

เจียงหยุนไฮ่แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง เขามองลงไปในโลงศพและพึมพำกับตัวเองด้วยท่าทีที่คล้ายกับถูกผีหลอกกลางวันแสกๆ

“หายไปได้ยังไง?”

ทันใดนั้นเองความเป็นไปได้บางอย่างก็แวบผ่านเข้ามาในหัวของเจียงอี้ แต่ไม่นานนักเขาก็สลัดมันทิ้งไปอย่างรวดเร็ว

เขาเผลอคิดไปว่ามันอาจจะเป็นฝีมือของเจียงเปี๋ยหลี แต่ก็มานึกได้ทีหลังว่าบิดาผู้น่ารังเกียจคนนั้นเพิ่งรู้ว่าเขามีตัวตนในโลกเมื่อไม่นานมานี้และอาจจะไม่รู้มาก่อนด้วยซ้ำว่าอดีตภรรยาของเขาได้ตายไปแล้ว ดังนั้นมันคงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเป็นผู้เคลื่อนย้ายศพของนาง

โจรปล้นสุสาน?

เจียงอี้คิดว่าอาจจะเป็นฝีมือของพวกโจรปล้นสุสาน แต่เมื่อคิดว่ากลไกลของเจียงหยุนไฮ่ยังคงอยู่ดี เขาก็ทิ้งความคิดนี้ไป

หรือจะเป็นศัตรูที่มีความแค้นเคืองกับมารดาของเขามาก่อน?

แต่ก็คงเป็นไปไม่ได้ หากเป็นศัตรูของอีเพียวเพียวจริง พวกเขาก็คงไม่มีทางปล่อยให้หลุมศพของนางมีสภาพดีเช่นนี้แน่ และไม่มีความจำเป็นเลยที่พวกเขาจะฝังโลงศพกลับไปเช่นเดิม

ดังนั้น มันจึงเหลือความเป็นไปได้เดียวเท่านั้น!

“อึก!”

จู่ๆ ขนบนร่างของเจียงอี้ก็ลุกชันขึ้น จากนั้นเขาก็เหลือบไปมองเจียงหยุนไฮ่และลอบกลืนน้ำลาย ในเวลาเดียวกันเขาก็หันไปส่งสัญญาณมือให้พวกหลิงอีถอยออกไป

เมื่อเจียงอี้มั่นใจแล้วว่าไม่มีผู้ใดอยู่รอบๆ เขาก็เอ่ยถามเจียงหยุนไฮ่ด้วยเสียงอันสั่นเครือ “ท่านปู่… ท่านแน่ใจหรือไม่ว่า… แม่ของข้าตายไปแล้วจริงๆ?”

คิ้วของเจียงหยุนไฮ่ขมวดเข้าหากันขณะที่เงยหน้ามองเจียงอี้ด้วยความสับสน

“ใต้เท้าน้อย ท่านหมายความว่ายังไง? ในตอนที่นายหญิงจากโลกนี้ไป ข้าเองก็อยู่ที่นั่นด้วย อีกทั้งข้ายังเป็นผู้ที่ฝังร่างของนางด้วยมือข้าเอง”

“ท่านปู่ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าไม่ได้กำลังสงสัยท่าน!”

เจียงอี้รีบแก้ตัวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็อธิบายต่อ “ที่ข้าหมายถึง… มันจะเป็นไปได้ไหมที่แม่ของข้าจะแกล้งตาย?”

“แกล้งตาย?”

เจียงหยุนไฮ่ผงะไปชั่วครู่ จากนั้นเขาก็ส่ายหัวอย่างหนักแน่น

“เป็นไปไม่ได้ ในตอนนั้น ร่างกายของนายหญิงอ่อนแอมาก หลังจากที่นางถูกเจียงเปี๋ยหลีทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นางก็เพิ่งทราบว่าตัวเองนั้นตั้งครรภ์ นั่นจึงเป็นเหตุที่ทำให้นางไม่กล้าใช้เม็ดยารักษาใดๆเพราะกลัวว่าจะส่งผลต่อท่านที่อยู่ในท้อง”

“หลังจากที่นายหญิงให้กำเนิดท่านออกมา นางก็พบว่าบาดแผลของตัวเองนั้นเกินเยียวยาแล้ว”

“ในช่วงนั้น ข้ามักจะเห็นนายหญิงอุ้มใต้เท้าน้อยไว้ในอ้อมแขนและร่ำไห้ตั้งแต่เที่ยงคืนจนถึงรุ่งเช้า นางไม่เคยยิ้มอีกเลยหลังจากที่ออกจากเมืองเจียงอี”

“ข้ายังจำได้ดีถึงภาพของนางก่อนจะสิ้นลม นางกระเสือกกระสนที่จะลุกขึ้นมาจากเตียงเพื่อเฝ้ามองท่านเป็นครั้งสุดท้าย… แล้วมันจะเป็นไปได้ยังไงที่นางจะแกล้งตาย? อีกอย่าง นายหญิงผู้ที่รักใต้เท้าน้อยสุดหัวใจจะยอมปล่อยให้ท่านเผชิญกับโลกอันแสนโหดร้ายเพียงลำพังได้อย่างไร?”

“เอ่อ…”

เจียงอี้เองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาคาดเดาไว้ว่าอีเพียวเพียวอาจแกล้งตายและใช้ศาสตร์แปรผันดวงจิตเพื่อหลบหนีจากสายตาของเจียงหยุนไฮ่

มันอาจจะเป็นเพราะว่านางต้องการที่จะเจอกับเจียงเปี๋ยหลีเพื่อสะสางเรื่องราวเป็นครั้งสุดท้าย นอกจากนี้นางยังเป็นนักสู้ที่ทรงพลัง นางจะล้มป่วยจนถึงขั้นจากโลกไปได้ยังไง?

แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่เจียงหยุนไฮ่กล่าว ภายในใจของเขาก็เกิดความลังเลขึ้นมาอีกครั้ง

“แม่ของข้าตายไปแล้วจริงๆหรือ? แต่ถ้าหากว่านางยังมีชีวิตอยู่ แล้วนางอยู่ที่ไหน?”

จิตใจของเจียงอี้ในตอนนี้เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายเพราะไม่รู้ว่าจะค้นหาความจริงเรื่องนี้ได้อย่างไรในเมื่อมันผ่านมานานนับสิบปี

“จูเก๋อชิงหยุน! สุ่ยโย่วหลาน!”

ทันใดนั้น ชื่อของยอดฝีมือทั้งสองก็แวบเข้ามาในหัวของเขาซึ่งทำให้ดวงตาของเขาเบิกกว้างทันที ในเมื่อยอดฝีมือทั้งสองท่านคุ้นเคยกับอีเพียวเพียวเป็นอย่างดี ทำไมถึงไม่ลองไปถามพวกเขาเสียล่ะ?

“ท่านปู่! บางทีจูเก๋อชิงหยุนกับสุ่ยโย่วหลานอาจจะให้คำตอบพวกเราได้! พวกเรารีบกลับไปยังสำนักจิตอสูรกันเถิด นอกจากนี้ เสี่ยวนู๋อาจจะฟื้นแล้วก็ได้!”

“ดี!” เจียงหยุนไฮ่พยักหน้ารับด้วยความยินดี แต่ไม่นานนักรอยยิ้มของเขาก็หายไปก่อนที่จะถูกแทนที่ด้วยความกังวล

“แต่ใต้เท้าน้อย บ่าวชราผู้นี้จะเข้าสำนักพร้อมกับท่านได้หรือ?”

เมื่อได้ยินคำถามนั้น เจียงอี้ก็ยิ้มออกมาและกล่าวอย่างผ่อนคลาย

“ท่านปู่ไม่ต้องเป็นกังวลไป ข้านั้นไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว เอาเป็นว่าสำนักคงจะไม่ตำหนิข้าหรอกที่จะนำคนอื่นเข้าไป”

“เห้อออ…”

ถึงจะได้ยินแบบนั้น แต่สีหน้าของเจียงหยุนไฮ่ก็ยังไม่ดีขึ้น เขากล่าวต่อ

“ใต้เท้าน้อย ทำไมไม่ทิ้งข้าไว้ในเมืองเล็กๆสักเมืองหนึ่งล่ะ? เวลานี้ บ่าวชราผู้นี้ได้กลายเป็นคนพิการไปแล้วและคงเป็นเพียงแค่ภาระของท่านเท่านั้น ข้าหวังเพียงแค่ว่าก่อนข้าจะตาย ท่านจะมาเยี่ยมเยียนข้าสักครั้งหนึ่ง…”

“ท่านกำลังพูดอะไรอยู่น่ะ?!”

สีหน้าของเจียงอี้เผยให้เห็นความโกรธขณะที่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอันจริงจัง

“ท่านปู่ ข้าไม่อนุญาตให้ท่านพูดแบบนี้อีกในอนาคต ข้าขอพูดไว้เลยว่าไม่ว่าข้าจะไปที่ไหน ท่านก็จะต้องตามไปด้วย ท่านเป็นปู่ของข้าและข้าเป็นหลานของท่าน ท่านเข้าใจหรือไม่?”

“นี่…”

เจียงหยุนไฮ่ถึงกับพูดไม่ออก แต่น้ำตาที่หลั่งไหลออกมานั้นได้กลายเป็นตัวแทนคำตอบของเขาไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นว่าใต้เท้าน้อยที่เขาเฝ้าดูแลมาตั้งแต่เล็กได้เติบโตเป็นบุรุษอย่างเต็มตัว เขาก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมาอีก

เวลาต่อมา กลุ่มของเจียงอี้ก็ออกเดินทางอีกครั้งและมีเป้าหมายอยู่ที่สำนักจิตอสูร เวลานี้สภาพร่างกายของเจียงหยุนไฮ่ฟื้นตัวเกือบสมบูรณ์แล้ว

หลังจากที่เดินทางติดต่อกันเป็นเวลาหกวัน ในที่สุดภาพของสำนักจิตอสูรก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าแล้ว

“ไปกันเถอะ!”

เมื่อกลุ่มของพวกเขาโผล่ออกมาจากผิวดิน เจียงอี้ก็เก็บเถาอู้กลับเข้าไปในเครื่องรางสัตว์วิญญาณ จากนั้นเขาก็สั่งให้หลิงอีแบกเจียงหยุนไฮ่เข้าไปในสำนัก

“นั่นใคร?”

แม้ว่าภัยพิบัติจากการก่อจลาจลของสัตว์อสูรจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่หน่วยลาดตระเวนของสำนักจิตอสูรก็ยังคงหนาแน่นเช่นเดิม

เมื่อพวกเขาเห็นเจียงอี้ที่มาพร้อมกับผู้เชี่ยวชาญหลายคนซึ่งปลดปล่อยกลิ่นอายอันทรงพลังออกมาโดยไม่ตั้งใจ พวกเขาต่างก็รู้สึกหวาดกลัวจนเกือบจะยิงสัญญาณไฟขึ้นฟ้าเพื่อขอความช่วยเหลือเสียแล้ว

“ข้าเองเจียงอี้!”

เจียงอี้ตะโกนพลางปล่อยกลิ่นอายของเจตจำนงสังหารออกมาบางๆเพื่อยืนยันตัว

“เจียงอี้?”

กลุ่มของหน่วยลาดตระเวนหยุดชะงัก ครั้งก่อนที่เจียงอี้ขี่สัตว์อสูรระดับสามเข้ามาในสำนักก็นับว่าน่าตกตะตึงมากแล้ว แต่คราวนี้เขากลับมาพร้อมกับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวนับสิบคน แบบนี้จะไม่ให้พวกเขาตกใจกลัวได้ยังไง?

เจียงอี้ไม่ได้สนใจสายตาของคนเหล่านั้นและรีบตรงเข้าสำนักอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อมาถึงที่หน้าประตูทางทิศใต้ของสำนัก ร่างของเขาก็หยุดกะทันหัน ในขณะเดียวกันเขาก็สัมผัสได้ถึงน้ำอุ่นๆที่กำลังคลออยู่ในดวงตา

ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะว่าที่บันไดทางเข้าประตูนั้น มีร่างของสาวงามผู้หนึ่งซึ่งดูบอบบางและงดงามกำลังนั่งอยู่ นางใช้มือข้างหนึ่งพยุงตัวเองเอาไว้ขณะที่มองไปยังที่ห่างไกลด้วยสายตาอันว้าวุ่น

หากไม่ใช่เจียงเสี่ยวนู๋ผู้ที่เจียงอี้ห่วงหาอาทรมากที่สุด… แล้วนางจะเป็นใครไปได้อีก?!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด