ตอนที่แล้วตอนที่ 5 ความยุติธรรม
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 7 ติดค้าง

ตอนที่ 6 โอกาส


ตอนที่ 6 โอกาส

พายุฝนหยุดลงแล้ว ผู้คนส่วนมากในเมืองฉางหลิงต่างพากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก อากาศแจ่มใส และแสงอาทิตย์ส่องที่พวกเขาเบื่อหน่ายนักหนากลับกลายเป็นที่น่าพอใจ

ขบวนพ่อค้ารีบจัดการสินค้าของตน ทว่าในฉับพลัน เพิ่งจะเป็นเวลาเที่ยงวัน ท้องฟ้ากลับมืดมิดลงอีกครั้ง จากนั้นพายุฝนอีกลูกก็เข้าปกคลุมเมืองฉางหลิง

พายุฝนลูกนี้ไม่รุนแรงเท่าลูกเมื่อคืน ทว่าอยู่นานกว่า และไม่มีทีท่าจะหยุดลงในเร็ว ๆ นี้แม้แต่น้อย นั่นทำให้พื้นถนนมองลำบากเพราะถูกกลุ่มควันและหยาดฝนปกคลุมอีกครั้งหนึ่ง

ทางตอนใต้ของเมืองฉางหลิง มีสิ่งปลูกสร้างหนึ่ง มีรูปร่างเหมือนวัดเต๋า ขนาดกว้างหลายสิบหมู่ (1)

ราชวงศ์ฉินตกรางวัลให้กับผู้ที่สามารถกำชัยชนะไว้ได้ ผู้ใดสังหารหัวหน้าศัตรูได้หนึ่งคน ผู้นั้นจะได้รับตำแหน่งขุนนางหนึ่งขั้นและที่ดินเก้าหมู่ ผู้ใดสังหารศัตรูสองพันคน ผู้นั้นจะได้รับภาษีจากสามร้อยครัวเรือน

ด้วยเหตุนี้ บ้านเรือนในเมืองฉางหลิงและบ้านเรือนของเหล่าทหารส่วนมากจึงมีขนาดใหญ่ผิดปกติ เมืองฉางหลิงขยายพื้นที่ออกไปเรื่อย ๆ หากเทียบกันแล้ว โครงสร้างบ้านเรือนในเมืองฉางหลิงตอนใต้นั้นไม่ใหญ่โตเท่า

ทว่านอกจากคนไม่กี่คนในวังแล้ว ชนชั้นสูงในราชวงศ์ฉินต่างก็เกรงกลัวและคอยระมัดระวังสถานที่นี้เป็นอย่างมาก

นั่นเป็นเพราะสถานที่นี้เป็นสถานที่ที่กรมเซียนตั้งอยู่

การสืบสวนสอบสวนในราชวงศ์ฉินส่วนมากต้องพึ่งสำนักดาราศาสตร์ สำนักแห่งนี้มีสมาชิกหลายพันคนอยู่ในทุกท้องที่ เจ้าหน้าที่แต่ละคนมีลูกน้องจำนวนมาก พวกเขาไม่จำเป็นต้องรายงานคดีที่ทำต่อกรมหรือสำนักอื่น เพราะพวกเขาสามารถรายงานไปยังฮ่องเต้ได้โดยตรง เพราะฉะนั้น อำนาจของสำนักดาราศาสตร์จึงมีมากกว่ากรมอื่นอยู่เล็กน้อย

ทว่ากรมเซียนนั้นนับเป็นเรื่องไม่ปกติ กรมเซียนมีเจ้าหน้าที่เพียงไม่กี่ร้อยคน ไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนของคนจากสำนักดาราศาสตร์ด้วยซ้ำ พวกเขามักทำการสืบสวนและเฝ้าสังเกต ทว่าคนที่พวกเขาสืบสวนและเฝ้าสังเกตนั้น คือเหล่าเจ้าหน้าที่และผู้ฝึกตนทั้งหลาย รวมถึงผู้ที่อาจกลายเป็นผู้ฝึกตนด้วย

หรือก็คือ กรมเซียนนั้นเป็นหน่วยลับที่ฮ่องเต้และเสนาบดีทั้งสองใช้ในการสืบข้อมูลจากเจ้าหน้าที่และผู้ฝึกตนทั้งหลาย

อีกอย่าง เจ้าหน้าที่จากกรมเซียนทั้งหมดเป็น “เด็กกำพร้าจากสงคราม” พวกเขาเป็นลูกของทหารหรือแม่ทัพที่เสียชีวิตในสงคราม คนพวกนี้มีสายสัมพันธ์ไม่มาก ไม่มีคนที่สามารถนำมาข่มขู่ได้ พวกเขาจึงเย็นชาและไร้อารมณ์มากกว่าคนปกติ

ในสายตาของเจ้าหน้าที่และผู้ฝึกตนส่วนมาก กรมเซียนนั้นน่ากลัวกว่าสำนักดาราศาสตร์เสียอีก

โม่ชิงกงนั่งอยู่ในห้องทำงานห้องหนึ่งในกรมเซียน ร่างท้วมเล็กน้อยของเขามีกลิ่นฉุนของเลือดแผ่ออกมาไม่เหมือนกับวันอื่น บนใบหน้าไร้ซึ่งรอยยิ้ม มีแต่ร่องรอยความโหดเหี้ยมที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

ร่องรอยความโหดเหี้ยมนั้น ทำเอากระทั่งแมลงต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่สวนโดยรอบพากันหนีหาย

ต้นเหตุแห่งความอารมณ์เสียของเขา มาจากเจ้าสำนักดาราศาสตร์เย่

เมื่อคืนก่อน เจ้าสำนักเย่สังหารศิษย์ลำดับที่เจ็ดของสำนักดาบ จ้าวจั่น ในดาบเดียว นางถอนหนามที่ยอกอกราชวงศ์ฉินออก ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนควรจะภูมิใจ ทว่ามีหลักฐานว่าเจ้าหน้าที่กรมเซียนคนหนึ่งนามว่า มู่หรงเฉิน ไม่ได้ถูกจ้าวจั่นสังหาร แต่เป็นนางสังหาร

เจ้าหน้าที่จากกรมเซียนรับหน้าที่สืบสวนเจ้าหน้าที่ยามปฏิบัติงาน มู่หรงเฉินเป็นผู้ฝึกตนอนาคตไกล หลังจากสังหารเขาแล้ว เจ้าสำนักเย่และนักปราชญ์คนอื่น ๆ จากสำนักดาราศาสตร์ไม่คิดจะปกปิดบาดแผลบนศพมู่หรงเฉินด้วยซ้ำ

แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่พยายามปกปิดเรื่องนี้แม้แต่น้อย

เป็นเพราะเจ้าสำนักเย่นั้นเย่อหยิ่งเกินควร!

สิ่งที่ทำให้เขาโมโหหนักกว่าเก่าคือเรื่องที่กรมเซียนเป็นฝ่ายพบร่องรอยของจ้าวจั่นก่อน พอจ้าวจั่นตายก็ยังมีศิษย์สำนักดาบแคว้นจ้าวอีกสามคนที่ยังเหลือรอด ยังมีผู้รอดชีวิตแคว้นจ้าวอยู่อีกมาก ตามเดิมแล้ว แผนของกรมเซียนคือ หลังจากสังหารจ้าวจั่นได้แล้ว พวกเขาจะนำศพไปไว้ที่ตลาดเพื่อล่อผู้รอดชีวิตจากแคว้นจ้าวที่เหลืออยู่ออกมา ทว่าเย่เช่อเหลิ่งกลับตัดสินใจฝังจ้าวจั่นอย่างสมเกียรติ แถมยังได้รับคำอนุญาตจากฮ่องเต้จากการที่พระองค์ไม่คัดค้านอะไรอีกด้วย เรื่องนี้ทำให้แผนและความพยายามทั้งหมดของกรมเซียนสูญเปล่า

ในตอนนั้นเอง หลังจากเสียงเคาะเป็นจังหวะดังขึ้น ฉินหวายชูเดินเข้ามาในห้อง ตรงมายังหน้าโต๊ะทำงานของโม่ชิงกง

“ได้เรื่องหรือยัง?”

โม่ชิงกงเงยหน้าขึ้น กดความโกรธของตนไว้ แล้วถามเสียงต่ำ

ฉินหวายชูพยักหน้าอย่างสุขุม ก่อนตอบว่า “จวนท่านโหวฟางได้ให้คำตอบอย่างชัดเจนมาแล้วครับ เด็กหนุ่มร้านเหล้าคนนั้นมีความสามารถ ทว่ามีร่างกายที่หาได้ยาก คือร่างกายมีหยางมากเกินไปขอรับ”

โม่ชิงกงขมวดคิ้ว “ร่ายกายมีหยางมากเป็นอย่างไร?”

“เป็นร่างกายที่มีพลังหยางมากเกินไป” ฉินหวายชูอธิบายโดยละเอียด “ร่างกายแบบนี้จะมีพลังในอวัยวะมากกว่าคนทั่วไป เหมือนเปลวไฟที่โหมหนักเกินควร คนทั่วไปที่มีร่างกายเช่นนี้ ร่างกายมักเสื่อมโทรมในช่วงวัยหนุ่มขอรับ”

สีหน้าโม่ชิงกงไม่น่ามองเล็กน้อย “หรือก็คือ ไฟในร่างแรงเกินไปจนเลือดเหือดแห้งสินะ?”

“คล้าย ๆ กันขอรับ หากมีไฟมากเกินไปยังพอใช้ยารักษาได้ แต่ร่างกายเช่นนี้ กระทั่งฟางเสี้ยวมู่ก็ยังไม่สามารถจัดการได้ หรือแท้จริงแล้วอาจมีวิธี แต่ถึงเขาจะมียาวิเศษและสมบัติล้ำค่า นั่นก็อาจไม่คุ้มที่จะมาเสียไปกับเด็กหนุ่มคนนี้” ฉินหวายชูพยักหน้า นัยน์ตาเต็มไปด้วยความสงสารและเห็นใจ เขารู้ดีว่าการที่คนผู้หนึ่งที่มีชาติกำเนิดธรรมดาสามัญจะมีโอกาสอยู่ในสายตาบุคคลสำคัญได้นั้น เป็นเรื่องที่หาได้ยากขนาดไหน

เด็กหนุ่มจากอู๋ถงคนนั้น มองจากมุมหนึ่งแล้ว มีความสามารถที่จะก้าวสู้ชั้นสวรรค์อยู่ขั้นหนึ่ง แต่เพราะร่างกาย จึงถูกโชคชะตากำหนดให้ต้องมีชีวิตอยู่ในตรอกยากจนแห่งนั้นต่อไป

โม่ชิงกงอยู่ในตำแหน่งมีเกียรติมานานหลายปี จึงไม่รู้สึกเห็นใจคนเท่ากับฉินหวายชูที่ยังพยายามไต่ชั้นยศอยู่

ในเมื่อเด็กหนุ่มคนนี้ไม่สามารถเป็นผู้ฝึกตนได้ ก็ไม่ใช่คนที่มีประโยชน์ต่อกรมเซียน เขาส่ายหัวเล็กน้อย แล้วโยนม้วนบันทึกของเด็กหนุ่มลงในเตาไฟที่มีไว้สำหรับเผาม้วนบันทึกคดีโดยเฉพาะ

เปลวเพลิงสีแดงโหมขึ้นมาจากขอบเตาไฟ โม่ชิงกงเงียบไปนาน ทว่าฉินหวายชูยังไม่จากไปดังที่เขาคาดไว้ เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองฉินหวายชูอีกครั้ง

“ใต้เท้า มีปัญหาเรื่องมู่หรงเฉินครับ” ฉินหวายชูพูดต่อด้วยน้ำเสียงแผ่วต่ำ หากไม่ตั้งใจฟังให้ดีก็คงไม่อาจได้ยินคำพูดนี้ของเขา

โม่ชิงกงหรี่ตา ก่อนจะถามขึ้นด้วยความสงสัย “เราไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับมู่หรงเฉิน แต่ข้าก็รู้จักพื้นเพบ้านเกิดและตระกูลเขาดี มีปัญหาอะไร?”

ฉินหวายชูเอ่ยขึ้น “ไม่ใช่ปัญหาเรื่องบ้านเกิดหรอกครับ แต่เขาได้ตกลงจะแต่งเข้าจวนท่านโหวสวี่ หากไม่มีอะไรผิดพลาด ฤดูหนาวปีนี้เขาก็จะแต่งเข้าจวนท่านโหวสวี่แล้วขอรับ”

“แต่งเข้าจวนท่านโหวสวี่งั้นหรือ?”

ม่านตาโม่ชิงกงหดตัวลง รู้สึกเย็นวาบไปทั่วร่าง

ในราชวงศ์ฉิน หนทางเดียวแห่งการได้รับยศขุนนางคือการเป็นทหาร

ผู้ที่ได้รับภาษีจากหนึ่งหมื่นครัวเรือน มีที่ดินหลายพันหมู่ คือผู้ดำรงตำแหน่งโหว

การที่จะมีครัวเรือนอยู่ในครอบครองสามร้อยครัวเรือนได้นั้น ต้องสังหารศัตรูสองพันคน แล้วหนึ่งหมื่นครัวเรือนเล่า? กระทั่งผู้ที่นับเลขไม่เป็นยังสามารถนึกภาพตัวเลขอันน่าสะพรึงกลัวออกมาได้

ด้วยเหตุนี้ ในราชวงศ์ฉินจึงมีท่านโหวเพียงสิบสามคน

เสนาบดีสองคน หัวหน้ากรมสองคน สิบสามโหว ท่านโหวสิบสามคนและหัวหน้ากรมสองคน รวมทั้งเสนาบดีลึกลับสองคน คือผู้ที่อยู่บนจุดสูงสุดในราชวงศ์อันทรงอำนาจนี้

รอยแสยะปรากฏขึ้นที่มุมปากโม่ชิงกง

เป็นอีกครั้งที่เขาคว้าม้วนบันทึกขึ้น ก่อนจะโยนลงไปในเตาไฟข้างตัว

ไม่ว่าผู้ที่มีอำนาจสุงสุดในกรมเซียน ผู้ที่นั่งอยู่ในห้องชั้นในสุดอย่างเจ้ากรมเฉิน จะรู้ว่ามู่หรงเฉินแต่งเข้าจวนท่านโหวเสวี่ยหรือไม่ และไม่ว่าเจ้ากรมเฉินจะเป็นผู้จัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองหรือไม่ก็ตาม แต่ในเมื่อเรื่องถึงหูเจ้ากรมเฉิน และจวนท่านโหวเสวี่ยเรียบร้อยแล้ว ความโกรธเกรี้ยวไม่พอใจที่มีต่อเย่เช่อเหลิ่งของเขา มันก็ไม่มีความหมายอันใดอีกต่อไป

……

ฝนยังคงโปรยลงมา

แขกจำนวนไม่มากในร้านเหล่าต่างพากันเดินออกจากร้านไปหลังช่วงมื้อเที่ยง ติงหนิงลากเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวหนึ่งมานั่งอยู่ที่ชายคาหน้าประตูร้าน จากนั้นนั่งกินก๋วยเตี๋ยว พร้อมกับมองดูฝนไปพลาง

ก๋วยเตี๋ยวชามนี้มีปลาเนื้อขาวผสมกับกะหล่ำดอง เนื้อปลาชิ้นบูดเบี้ยว ดูไม่น่ากิน ทว่ากะหล่ำดองนั้นกลับมากและมีรสเยี่ยม น้ำซุปข้นมีชั้นน้ำมันลอยอยู่ มองดูแล้วอาหารมื้อนี้คงน่าอร่อยไม่น้อย

ติงหนิงกินก๋วยเตี๋ยวจนหมดอย่างรวดเร็ว หลังจากซดน้ำแกงไปครึ่งชาม เขาก็เก็บชามไปล้าง พร้อมกับร้องบอกจางซุนเฉียนเสว่ที่อยู่สวนหลังบ้าน ก่อนจะใส่รองเท้าหญ้าสานเก่า ๆ คู่หนึ่ง กางร่มออก และเดินออกไปท่ามกลางสายฝน

ที่ทางเข้าตรอกอู๋ถง ขบวนพ่อค้าขบวนหนึ่งเคลื่อนผ่านหน้าเขาไป คนบังคับรถม้าพึมพำสาปส่งท้องฟ้าอยู่เนือง ๆ บนตัวสวมชุดฟางหญ้ากันฝน

ติงหนิงยิ้มน้อย ๆ

การเดินทางบนถนนที่เต็มไปด้วยขี้ไก่และกลิ่นอื่น ๆ ไม่ใช่เรื่องน่าอภิรมย์อย่างแน่นอน ฝนที่ตกลงมาโดยฉับพลันนี้ถือเป็นโชคของเขา สายฝนสามารถกั้นสายตาและสัมผัสผู้คนได้ สามารถชะล้างร่องรอยต่าง ๆ ได้ แถมยังทำให้โอกาสที่เขารอมาเนิ่นนานยิ่งออกมาสมบูรณ์แบบมากขึ้นไปอีก

ด้วยเหตุนี้ ถึงรองเท้าหญ้าของเขาจะชุ่มแฉะและใส่ไม่สบายก็ตาม เขาก็ยังอารมณ์ดีอยู่

เขามุ่งหน้าไปยังตลาดปลาที่อยู่ทางตะวันออกของเมืองฉางหลิงอย่างอารมณ์ดี

แม่น้ำเว่ยสายยาว ไหลผ่านเขตแดนราชวงศ์ฉิน ก่อนจะไหลลงสู่ทะเลตะวันออก แม่น้ำสายใหญ่นี้ไม่เพียงแต่ช่วยหล่อเลี้ยงแปลงพืชต่าง ๆ ในราชวงศ์ แต่ยังทำให้เรือของราชวงศ์ฉินสามารถล่องไปจนค้นพบประเทศหมู่เกาะจนสามารถทำให้ผู้ฝึกตนบางคนเสาะหาสมบัติหายากจากต่างแดนมาไว้ในครอบครองได้

เมื่อแม่น้ำเว่ยไหลมายังเมืองฉางหลิง มันก็แตกแขนงออกเป็นหลายสาย ต้นน้ำนั้น สามารถลากไปไกลถึงขอบชายแดนราชวงศ์ฉินเลยทีเดียว และนั่นคือหุบเขาปา

ตลาดปลาของเมืองฉางหลิง ตั้งอยู่บนสองฝั่งของแม่น้ำสาขาเส้นที่เล็กที่สุดของแม่น้ำเว่ย แม่น้ำฉิงตะวันออก

แม่น้ำสายเล็ก ขนาดกว้างเพียงไม่กี่สิบเมตรแห่งนี้ ถูกสร้างเขื่อนทับไว้เนื่องจากต้องใช้น้ำในการเพาะปลูก พื้นที่บางส่วนถูกทำเป็นบ่อเลี้ยงปลา แถมยังมีบางคนสร้างตลาดบนแม่น้ำอีกด้วย

ตลาดเหล่านี้ ถือเป็นตลาดสำหรับเรือที่ไม่สามารถขึ้นฝั่งได้ เมื่อเวลาผ่านไป กระท่อมนับไม่ถ้วนก็ถูกสร้างขึ้นบนฝั่งแม่น้ำ หลังคาและป้ายต่าง ๆ ของกระท่อมเหล่านี้บดบังท้องฟ้าและช่วยปิดบังทางเดินนับไม่ถ้วนภายในเอาไว้ บนพื้นน้ำและพื้นโคลนมีทางข้ามเล็ก ๆ อยู่หลายทาง แผ่นไม้หยาบถูกใช้สร้างเป็นสะพานทางข้าม เรือลำเล็กหรือกระทั่งรถเข็นไม้ขนาดใหญ่กลายเป็นเครื่องมือสำหรับลำเลียงสินค้าในตลาด ยิ่งทำให้สถานที่นี้ดูซับซ้อนยิ่งขึ้นไปอีก

ด้วยแสงสลัวภายในพื้นที่ เมื่อมองลงมาจากหอสูงใจกลางตลาดแล้ว ตลาดด้านล่างนั้นราวกับเมืองผี เต็มไปด้วยลูกไฟและเงามือในหุบเหว

ตลาดที่ซึ่งไร้ที่สิ้นสุดแห่งนี้คือตลาดปลา คนธรรมดาหรือกระทั่งผู้ฝึกตนส่วนมาก พวกเขาเหล่านั้นสามารถสรรหาของเกือบทุกอย่างได้จากที่นี่ ยกเว้นปลา

เชิงอรถถ

(1) หมู่ (亩) หน่วยวัดพื้นที่ของจีน เท่ากับประมาณ 166.5 ตารางวา