ตอนที่แล้วบทที่ 29 : กลุ่มพ่อค้าวาณิชย์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 31: ตัวตนที่แท้จริงของยูนิคอร์นตัวนั้น

บทที่ 30: ไม่สามารถทำเท่ต่อได้จริงๆ


เอลฟ์ตระกูลแบล็คลีฟมีนามสกุลที่แตกต่างกันออกไป

มีเพียงราชวงศ์เท่านั้นที่จะสามารถใช้นามสกุลแบล็คลีฟที่ตั้งตามชื่อป่าแบล็คลีฟได้

อีกอย่าง นามสกุลก็เปลี่ยนหลังจากเอลฟ์แบล็คลีฟย้ายเข้ามาในป่าแล้ว

ย้อนไปก่อนหน้านี้ตอนที่ทวีปทั้งหลายยังไม่แยกตัวออกจากกัน นามสกุลของเหล่าเอลฟ์เชื้อพระวงศ์คือ ‘ดอว์น’ ซึ่งเป็นคำๆ เดียวกับพลังการต่อสู้แรกที่วิลเลียมฝึกฝน

ทำไมราชาแห่งเอลฟ์ถึงเลือกที่จะเปลี่ยนนามสกุลของเขานั้น มันมีข่าวลือมากมาย…

บ้างก็ว่ามันเกี่ยวข้องกับความลับบางอย่างในป่าแบล็คลีฟ บ้างก็คิดถึงขั้นที่ว่าป่าแบล็คลีฟนั้นครอบครองต้นอ่อนของต้นไม้แห่งชีวิตเอาไว้…

อย่างไรก็ตาม ถ้าถามเอลฟ์แบล็คลีฟพวกเขาก็จะตอบว่าราชาแห่งเอลฟ์ต้องการให้ผู้สืบสายเลือดจดจำความน่าอับอายจากการต้องย้ายออกจากทวีปและจดจำว่าตอนนี้พวกเขาจะอยู่ได้แค่ในป่าเท่านั้น เพื่อจดจำความอัปยศอดสูที่ไม่สามารถปรากฏบนทวีปได้อีก

ไม่ว่าพวกเขาจะเคยคิดถึงการกลับมาปกครองทวีปอีกครั้งหรือไม่ ต่างคนก็ต่างมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันไป

แต่ไม่ว่าอย่างไร มนุษย์ก็ไม่อาจกล้าที่จะโจมตีผืนป่าที่มีเอลฟ์อาศัยอยู่ นอกจากการต่อสู้กันเองของมนุษย์เพื่อแย่งอาณาเขต พวกออร์คและพวกปีศาจก็นำปัญหามาให้พวกเขาเช่นกัน

ในทางกลับกัน ภายใต้กฎของราชวงศ์ ตอนนี้เอลฟ์แบล็คลีฟก็แทบจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้ามนุษย์อีกแล้ว นามสกุลของเอลฟ์ราชวงศ์เป็นแค่ตำนานสำหรับใครหลายๆ คนเพราะมีน้อยคนนักที่รู้เกี่ยวกับมัน

สำหรับข้อเท็จจริงที่ว่าเอลฟ์อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบทนั้น มันก็ได้กลายเป็นเรื่องเล่าขานเรื่องหนึ่งไปแล้ว

มีราชอาณาจักรเอลฟ์อยู่สามแห่งบนทวีปรีเจนดารีแห่งนี้

ที่ป่าแบล็คลีฟทางตอนใต้ของทวีปเป็นเอลฟ์แบล็คลีฟ

ที่เกาะกลางของทวีป เอลฟ์มูนไลท์อาศัยอยู่ในป่าแสงจันทร์

ที่ป่าน้ำแข็งทางตอนเหนือของทวีปเป็นเอลฟ์สโนว์

มีราชอาณาจักรสามแห่ง, เอลฟ์ราชวงศ์สามตระกูล และแต่ละราชอาณาจักรมีเอลฟ์หลายล้านตนอาศัยอยู่

เอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์เหล่านี้เป็นเพียงเอลฟ์ที่เหลืออยู่บนทวีปรีเจนดารี มันเทียบกับอาณาจักรมนุษย์และจักรวรรดิทั้งหลายที่มีจำนวนประชากรเป็นร้อยเป็นพันล้านไม่ได้เลย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เหล่าเอลฟ์ยังคงอยู่อย่างเร้นลับ

การที่เคอรี่รู้จักนามสกุลของราชวงศ์เอลฟ์ก็หมายความว่าเขาเคยติดต่อกับเอลฟ์มาก่อนและรู้ถึงความลับบางอย่างของพวกเขา

สิ่งที่เขาคิดเป็นเช่นนี้

วิลเลียมยิ้มน้อยๆ และปล่อยให้เคอรี่เดินข้างๆเขาก่อนจะพูดตรงๆว่า “ถ้าสิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริง เราอยากรู้ว่าเจ้ามีความสามารถในการหาซื้อข้าทาสหรือไม่?”

“ทาส?” เคอรี่เบิกตากว้าง ไม่สามารถหยุดตนเองจากการจ้องมองวิลเลียมได้เพียงนิด เขาไม่เคยรู้เลยว่าเอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์สนใจที่จะซื้อทาสด้วยเช่นกัน

นั่นเป็นเพราะพวกเอลฟ์นั้นรักความเป็นอิสระที่สุด พวกเขาไม่ค่อยจำกัดเสรีภาพของเผ่าพันธุ์อื่นเท่าใดนักและไม่เคยซื้อทาสมาก่อน

วิลเลียมยักไหล่ของเขาเล็กน้อย น้ำเสียงของเขาเจือด้วยความโศกเศร้า “ที่เราจะซื้อทาสเพียงเพราะต้องการให้พวกเขากลับไปเป็นชาวไร่ชาวนาอีกครั้ง เราอยากพัฒนาอาณาเขตแห่งนี้ ดังนั้นเราจึงต้องการกำลังคน”

“หากเจ้าช่วยซื้อทาสมาให้เราได้ เราจะให้พวกเขาเป็นเกษตรกรในทันที เราเพียงต้องการให้พวกเขาสร้างอาณาเขตเท่านั้น หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้สนใจว่าพวกเขาจะอยู่หรือไป”

เคอรี่เข้าใจสถานการณ์ในทันทีและพยักหน้าอย่างเร่งรีบ “ท่านช่างมีจิตใจที่เมตตา ขอให้พระเจ้าสถิตอยู่กับท่านเสมอ”

ในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็กล่าวอย่างมั่นใจว่า “ข้าสามารถหาทาสได้อย่างแน่นอน ไม่ทราบว่าท่านต้องการทาสแบบไหนหรือ?”

เขาสร้างความประทับใจว่าเขาสามารถหาซื้อทาสได้ทุกประเภทตามที่วิลเลียมต้องการได้

ด้วยเหตุนี้วิลเลียมจึงมั่นใจว่ากลุ่มวาณิชย์เหล่านี้ที่ตระเวนไปทั่วทวีปรีเจนดารีนั้นมีฝีมืออยู่บ้าง บางที บางคนในนั้นอาจเป็นชนชั้นสูงก็ได้

ท้ายที่สุดแล้วนี่ก็เป็นวิธีฝึกฝนรูปแบบหนึ่ง มีขุนนางหลายคนที่ไม่ต้องการส่งลูกหลานของพวกเขาไปเป็นทหารรับจ้างหรือเสี่ยงชีวิตด้วยการเข้าร่วมกลุ่มนักผจญภัย ดังนั้นพวกเขาจึงโยนเหล่าลูกหลานเข้าสู่กลุ่มวาณิชย์ ผู้ที่สามารถมีชีวิตอยู่รอดกลับมายังครอบครัวเมื่อผ่านไปแล้วหลายปีได้ล้วนเป็นผู้ที่มีความสามารถ…

……….

แน่นอนว่าคนที่ถูกโยนออกไปมักไม่ใช่สมาชิกหลักของครอบครัว แต่เป็นคนที่ถูกครอบครัวดูหมิ่น

การพบกับเคอรี่ ผู้ที่อาจเป็นหนึ่งในชนชั้นสูงและรู้ถึงตัวตนของเขานั้น วิลเลียมไม่คิดที่จะลำพองใจเพื่อขู่ให้เขากลัว “ผู้ที่มีความสามารถ!”

“...” เคอรี่คิดอยู่สองวิก่อนจะตอบกลับ “ได้ครับ ท่านต้องการเป็นจำนวนเท่าไหร่?”

วิลเลียมคิดอีกสองวิ “พวกเขาอยู่ในระดับใด?”

มันชัดเจนมาก

วิลเลียมยังคงอยากที่จะแสดงต่อไป

“มันขึ้นอยู่กับอายุ, เผ่าพันธุ์, เพศ และอาชีพ อย่างไรก็ตามพวกเขาส่วนใหญ่เป็นหนุ่มสาวมืออาชีพที่เพิ่งเข้าสู่ระดับเริ่มต้น…”

“แน่นอนว่ามันไม่มีเอลฟ์หรือครึ่งเอลฟ์อยู่ สำหรับเผ่าพันธุ์ที่สง่างามและแข็งแกร่งอย่างเอลฟ์ พวกเขาจะไม่ไปเป็นทาสอย่างแน่นอน พวกเขาเกิดมาเพื่อเป็นชนชั้นสูง”

เคอรี่เป็นคนที่มีประสบการณ์อย่างมากกับเรื่องนี้ตั้งแต่ที่เขาทำการค้ามนุษย์มาหลายต่อหลายครั้ง สำหรับคำอธิบายช่วงหลังของเขานั้น วิลเลียมขี้เกียจเกินกว่าจะตั้งใจฟัง

เคอรี่ไม่มีทาสที่เป็นเอลฟ์จริงๆ น่ะหรอ?

เขาไม่มีจริงๆ…

ที่สุดแล้ว เขาก็มาจากประเทศเล็กๆ แห่งหนึ่ง วาณิชค้าทาสในประเทศนั้นไม่อาจกล้าพอที่จะจับเอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์ ถ้าไม่อย่างนั้น เมื่อเรื่องไปถึงหูเหล่าเอลฟ์แบล็คลีฟเมื่อไหร่ มันก็จะไม่ง่ายๆอย่างการแก้แค้นแน่นอน

พวกเขาจะล้างบางประเทศแห่งนั้นออกไปทันที!

เพราะเอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์นั้นอยู่อย่างซ่อนเร้นในป่ามาเป็นเวลายาวนานมากแล้ว พวกมนุษย์คิดเองเออเองไปว่าเหล่าเอลฟ์อ่อนแอลง ดังนั้นพวกเขาจึงอยากที่จะรังแกเหล่าเอลฟ์

นั่นเป็นเหตุผลที่เอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์หายตัวไปอย่างกระทันหัน พวกเขาถูกจับตัวไปโดยพวกคนค้ามนุษย์และถูกขายให้กับเหล่าขุนนางชนชั้นสูง ในกลุ่มเหล่านี้เอลฟ์สาวนั้นน่าสงสารเป็นที่สุด…

มันไม่ใช่ว่าราชวงศ์เอลฟ์จากป่าแบล็คลีฟจะไม่แก้แค้น เมื่อไหร่ก็ตามที่เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น แน่นอนที่สุดว่าพวกเขาเลือกที่จะคิดบัญชีอย่างสาสม และเป็นบ่อยครั้งที่เหล่าขุนนางพวกนั้นจะตายอย่างศพไม่สวย

อย่างไรก็ตาม คำเตือนประเภทนี้ไม่มีผลอะไรกับเหล่าขุนนาง มันจะมีพวกชนชั้นสูงที่สั่งการคนให้ไปทำการซื้อขายอมนุษย์อย่างลับๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่เป็นประจำ

ด้วยเหตุนี้แล้วเอลฟ์เป็นหมื่นจึงถูกทรมานอย่างเหี้ยมโหด และเอลฟ์จากป่าแบล็คลีฟจึงไม่อาจทนรับได้อีกต่อไปและระเบิดออกมาในที่สุด

เอลฟ์ระดับรีเจนดารีสิบสามตนทำการล้างบางเจ็ดประเทศของมนุษย์, สามราชอาณาจักรมนุษย์ และอีกหนึ่งจักรวรรดิมนุษย์ภายในเวลาสามวัน

ในวันนั้น จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็นหลักล้าน

มันยังเป็นเพราะวันนั้นที่ทำให้แทบไม่มีใครที่อาจกล้าไปหาเรื่องที่ป่าแบล็คลีฟอีกครั้ง…

แล้วฝั่งมนุษย์ได้เอาคืนรึเปล่านั้น?

น้อยคนมากๆ ที่รู้…

เอลฟ์ระดับรีเจนดารีเหล่านั้นหกตนได้เสียชีวิตตามกันไป พวกเขาถูกฝังไว้ใต้ต้นไม้ดำในเมืองดาร์คไนท์ หลุมศพของพวกเขาถูกปกคลุมไปด้วยดอกไม้ ความสำเร็จจากการกระทำที่กล้าหาญของพวกเขาถูกขับร้องและยกย่องโดยเหล่าเอลฟ์… มีชีวิตตราบนานเท่าที่โลกนี้ยังคงอยู่

เรื่องพรรค์นี้ไม่ใช้ทั้งการเรียกร้องความยุติธรรมหรือความเมตตา นี่คือสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์

สำหรับเอลฟ์แบล็คลีฟ การกระทำของเหล่าเอลฟ์ทั้งสิบสามตนนี้คือความกล้าหาญอย่างวีรบุรุษ

แต่สำหรับมนุษย์ที่ตายไปอย่างบริสุทธิ์ พวกเขาเป็นปีศาจร้าย

วิลเลียมดูเหมือนจะจำอะไรได้และเคอรี่ที่กำลังกลืนน้ำลายของเขาลงคอไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมาอีกแม้แต่คำเดียว เขาอยากจะตบหน้าตัวเองตอนนี้แรงๆ ด้วยโกรธตัวเองที่พูดเรื่องโง่ๆ ออกไป

เพราะเขารู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์อันดำมืดที่บ้าคลั่งและรุนแรง

สำหรับลูกครึ่งเอลฟ์ที่เป็นทาส?

แน่นอนว่ามันมีเอลฟ์ลูกครึ่งผู้โชคร้ายที่ถูกจับตัวไปเป็นทาส

วิลเลียมถอนหายใจหนักๆ “เราต้องการนักรบ 500 คนที่มีอายุน้อยกว่า 25 ปี”

“มืออาชีพในการผลิต: ช่างเหล็ก, ช่างตัดเสื้อ, ช่างเจียระไน, วิศวกร และสถาปนิกอย่างละ 100 คน”

“เราต้องการทาสทั้งผู้ชายและผู้หญิงไม่ต้องมีฝีมืออายุตั้งแต่ 15 ถึง 20 ปีทั้งหมด 3,000 คน!”

“โดยปกติแล้วนักรบนั้นมีราคาคนละ 50 เหรียญทอง แต่เมื่อท่านใจป้ำถึงเพียงนี้ พวกเขาจะมีราคาคนละ 30 เหรียญทองแทน”

“สำหรับช่างฝีมือทั้ง 500 คน แต่ละคนราคาต่างกัน แต่ข้าพร้อมจะให้ราคาที่คนละ 20 เหรียญทอง”

“ส่วนทาสธรรมดา 3,000 คน เพราะพวกเขายังมีอายุน้อยมาก ราคาต่ำสุดจะเหลือเพียงคนละ 5 เหรียญทองเท่านั้น”

“รวมทั้งหมด 40,000 เหรียญทอง ถ้าท่านต้องการพวกเขาจริงๆ ท่านจ่ายข้าเพียง 38,000 เหรียญทองก็ได้ นี่คือราคาที่ต่ำที่สุดที่ข้าสามารถให้ได้!”

เคอรี่ค่อนข้างมีประสบการณ์กับการซื้อขายทาส ในจังหวะที่วิลเลียมพูดจบ เขาก็คิดราคาทุกอย่างจบพอดี เขาเชี่ยวชาญเรื่องนี้มากขนาดที่ทำให้หัวใจของวิลเลียมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บปวดแทนเหล่าทาสพวกนี้…

ท่านลอร์ดยกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น เคอรี่ไม่ได้อธิบายมากนัก แต่นี่เป็นราคาต่ำสุดจริงๆ ถ้าเขาจะกดราคาให้ต่ำกว่านี้ เคอรี่ต้องขาดทุนเป็นแน่…

สำหรับนักเวทย์น่ะหรอ?

พวกเขาทั้งคู่มีไหวพริบพอที่จะไม่พูดถึงนักเวทย์ ถ้าพวกเขาพูดถึงมัน มันจะไม่เป็นการซื้อขายทาสอีกต่อไป จะกลายเป็นว่าพวกเขากำลังซื้อขาย ‘พ่อแม่’ อยู่ (พ่อแม่ในที่นี้หมายถึงนักเวทย์ เพราะนักเวทย์นั้นสำคัญและทรงพลังมากๆ เหมือนกับพ่อแม่คนนึง)

อย่างไรก็ตาม วิลเลียมไม่ได้พูดอะไรมาก ทำเพียงแค่ตบไหล่ของเคอรี่ “ถ้าเจ้านำเหล่าทาสมาให้ข้าได้ภายในเจ็ดวัน เจ้าสามารถนำกล่องเหรียญทองทั้งหลายกลับไปได้เลย”

แม้ว่าเคอรี่จะไม่ได้รายรับเท่าที่เขาต้องการ แต่เขาก็จ้องไปที่ดวงตาของวิลเลียมและโค้งให้ ก่อนจะพูด “เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับท่าน ฝ่าบาท”

เมื่อได้ยินคำเรียก วิลเลียมไม่อธิบายอะไร เขาเผยยิ้มบางๆ ก่อนที่เขาจะหันหลังและเดินจากไป

เคอรี่สังเกตทุกอย่าง

หินหนักๆ ในอกของเขาในที่สุดก็กลับเข้าที่ของมัน เขาถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ เขาเดิมพันถูกต้อง ผู้ชายคนตรงหน้าเขาเป็นเจ้าชายเอลฟ์คนหนึ่งอย่างแน่นอน!

ดังนั้น ปัญหาเรื่องเงิน…

มันจะยังเป็นปัญหาอยู่อีกรึไง?

“เงิน… เป็นปัญหาใหญ่เลยล่ะ” วิลเลียมกอดอก ตาของเขาพร่ามัวไปหมด

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด