ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 2 ไม่ยอมแพ้ (1)

บทที่ 1 ตาบอด  


บทที่ 1 ตาบอด

เกล็ดหิมะลอยข้ามฟากฟ้ามาพร้อมกับความเย็นเยือกของฤดูหนาว น้ำค้างแข็งสีขาวปกคลุมไปทั่วเมืองหลินเป่ย

ฤดูหนาวมาเยือนอีกครั้ง

ในช่วงเวลานี้ของปี มีนักท่องเที่ยวเพียงไม่กี่คนที่เดินอยู่ตามถนน ทำให้ท้องถนนว่างเปล่า ไม่มีใครเต็มใจออกจากบ้านของพวกเขาในช่วงฤดูหนาวที่เย็นเสียจนทุกอย่างกลายเป็นสีขาวของเดือนที่สิบสองตามจันทรคตินี้

ภายในเมือง มีฉากที่อบอุ่นและผ่อนคลายอยู่ในห้องเรียนห้องหนึ่งของสถาบันลั่ว หินหยางอุ่นๆ ที่วางอยู่มุมห้องของสถาบัน ทำให้อากาศโดยอบอุ่นและสว่างขึ้น ห้องเรียนที่กลับมาอบอุ่นชวนให้นึกถึงฤดูใบไม้ผลิ

กลุ่มเด็กอายุ 11-12 ปี กำลังนั่งฟังการของอาจารย์อยู่ในห้องเรียน

“จักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์คือจักรพรรดิเหยา ผู้ซึ่งขึ้นครองราชย์มานานหกร้อยปี จักรพรรดิองค์นี้หัวรุนแรง ไร้ความสามารถและโหดร้าย ใช้จ่ายถลุงเงินเล่นราวกับน้ำ ในระหว่างการครองราชย์ของเขา เขาได้สร้างพระราชวังใหม่ถึง 124 แห่ง เขาคัดเลือกผู้หญิงจากทั่วประเทศ 32 ครั้ง นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่าเขาสนุกกับการลงมือฆ่าด้วยตัวเอง ได้มีการกล่าวไว้ว่ามีเจ้าหน้าที่มากกว่า 3,000 คนที่ถูกฆ่าโดยคำสั่งของเขา และยังมีผู้คนมากมายที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ...”

อาจารย์กล่าวบรรยายอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดเจนว่าเด็ก ๆ ไม่ได้สนใจมันเลย หรือแม้แต่เด็ก ๆ ที่พยายามตั้งใจฟัง พวกเขาต่างก็พากันย่อมแพ้และเริ่มรู้สึกง่วงนอนจากเสียงบรรยายที่ช่วยขับกล่อม

เมื่ออาจารย์ผู้สอนเห็นดวงตาของเหล่าเด็กน้อยเริ่มปรือลง เขาไม่ได้กล่าวว่าอะไรออกมา แต่กลับม้วนหนังสือในมือของเขาอย่างช้า ๆ และฟาดมันลงกับโต๊ะของเขา

เสียงตบโต๊ะที่ดังชัด ทำให้เหล่าเด็กน้อยสะดุ้งตกใจตื่นขึ้นเต็มตา พวกเขาพยายามมองไปที่อาจารย์ด้วยสายตาที่ยังคงเบลออยู่

อาจารย์กล่าวขึ้นด้วยความโกรธและหมดหนทาง "อะไร? พวกเจ้าเรียนทั้งหมดนี้เข้าใจแล้วใช่ไหม?”

เหล่าเด็ก ๆ พากันก้มศีรษะลง พวกเขาจ้องมองไปที่พื้นด้วยท่าทางไม่สบายใจ

ธรรมชาติที่รักสนุกของเด็ก ๆ ทำให้พวกเขาไม่สนใจเรียนบทเรียนที่ดูน่าเบื่อนี้มากนัก

อาจารย์ผู้สอนหงุดหงิดเล็กน้อยและชี้ไปที่เด็กคนหนึ่ง “เหอซือเหนียนยืนขึ้นแล้วบอกข้ามาสิว่า กบฏวิญญาณลิขิตเกิดขึ้นได้อย่างไร?”

เด็กคนหนึ่งที่มีจมูกนกอินทรีที่ทำตัวโดดเด่นจากคนอื่น ลุกขึ้นและพยายามตอบคำถามของอาจารย์ แต่หลังจากพูดติดอ่างอยู่ได้สักพัก เขาก็ยังไม่สามารถหาคำตอบมาตอบออกไปได้

“ถ้าเจ้าไม่รู้ก็ยืนต่อไป เยว่หยาง เจ้าสนใจที่จะให้คำตอบที่กระจ่างแก่ชั้นเรียนหรือไม่?” อาจารย์ผู้สอนชี้ไปที่เด็กอีกคน

เห็นได้ชัดว่าเด็กคนที่ชื่อว่าเยว่หยางก็ไม่รู้คำตอบที่เช่นกัน รอยยิ้มที่ทำอะไรไม่ถูกปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา เขาทำได้เพียงยืนต่อไปร่วมกับเหอซือเหนียนที่ยังคงยืนอยู่

อาจารย์ผู้สอนเดินผ่านเด็กอีกสองสามคน แต่ก็ยังไม่มีใครตอบคำถามของเขาได้เลย อาจารย์ตบโต๊ะด้วยความรำคาญอีกครั้ง “เลวร้าย! นี่มันช่างเลวร้ายจริง ๆ! ข้าพึ่งจะบรรยายเรื่องนี้ไป! ซู่เฉิน เจ้าสามารถตอบคำถามนี้ได้ไหม?”

ขณะที่อาจารย์ผู้สอนพูดชื่อนี้ขึ้น อารมณ์ของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นความพึงพอใจอย่างชัดเจน

เด็กหนุ่มที่มีใบหน้ากระจ่างใสยืนขึ้น เขาตอบคำถามของอาจารย์ผู้สอนด้วยน้ำเสียงฟังชัดและมั่นใจ

“ยุคดาราใหม่ในปี 23000 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงโยธาธิการ เฉิงฮวย กราบทูลไปยังองค์จักรพรรดิว่าคลังว่างเปล่าและขอให้ทรงเลื่อนกำหนดการก่อสร้างบ้านพักทั้งสี่หลังขององค์จักรพรรดิออกไปก่อน จักรพรรดิเหยาทรงพิโรธมากและลงมือประหารชีวิตรัฐมนตรีผู้ยิ่งใหญ่กลางท้องพระโรง”

“เรื่องนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งราชสำนักจนถึงเหล่าสามัญชนคนธรรมดา พวกเขาทุกคนเริ่มรู้สึกว่าตัวเองตกอยู่ในความเสี่ยง ในที่สุดขุนนางผู้ยิ่งใหญ่เจ็ดคนรวมตัวกัน เพื่อจัดการกับจักรพรรดิเหยาและล้มล้างราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์”

“ในช่วงเวลาที่ลงมือสังหารจักรพรรดิเหยา นักฆ่าจั่วเฉิงชูได้แสร้งทำตัวเป็นวิญญาณลิขิต บันทึกประวัติศาสตร์จึงเรียกชื่อเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า กบฏวิญญาณลิขิต หลังจากนั้นราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์ก็ถูกทำลายลง และกลุ่มขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ดก็แบ่งแยกประเทศออก นี่คือที่มาของอาณาจักรทั้งเจ็ดของเราในปัจจุบัน”

"พูดได้ดี!" อาจารย์ผู้สอนปรบมืออย่างมีความสุข "ฟังไว้ซะ ฟังไว้ นี่คือความหมายในการเข้าชั้นเรียน ถ้าซู่เฉินไม่ได้อยู่ที่นี่ ข้าคงจะไม่มาอยู่ที่นี่เพื่อสอนเจ้าวายร้ายตัวเล็ก ๆ แบบพวกเจ้า! อย่างที่คาดไว้ เขาได้รับการอบรมมาอย่างไร้ที่ติ เด็ก ๆ ที่ผลิตโดยตระกูลใหญ่นั้นช่างโดดเด่นอย่างแท้จริง ... ”

บทสวดสรรเสริญและยกยอปอปั้นตามกันออกมาจากปากของอาจารย์ผู้สอนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด คำต่อคำตามความกระตือรือร้นของเขา

ตระกูลซู่เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ในเมืองหลินเป่ย พวกเขามีสถานะที่ทรงเกียรติภายในเมืองแห่งนี้ ซู่เฉินเป็นหนึ่งในเด็กรุ่นที่สามของตระกูลซู่

แม้จะอายุเพียงแค่สิบสองปี แต่ซู่เฉินนั้นดูโตและฉลาดกว่าเพื่อนร่วมชั้นวัยเดียวกันของเขา ความขยันหมั่นเพียรและความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ ทำให้เขาเป็นที่ชื่นชอบของอาจารย์ได้อย่างง่ายดาย

แม้คำยกย่องจากอาจารย์จะเพิ่มขึ้นอย่างเรื่อย ๆ ซู่เฉินก็ยังคงสงบนิ่ง

ในสายตาของอาจารย์ผู้สอน ความสงบนี้ถูกมองว่าเป็นการแสดงออกถึงความสง่างามของนายพล และบ่งบอกถึงจิตใจที่มีความสามารถในการคิดสลับซับซ้อน ส่วนในสายตาของเด็กคนอื่น ๆ เห็นได้ชัดว่าพวกเขามองว่านี่คือ “การเสแสร้ง”

“ชิ มีอะไรที่น่าชมกัน? มาเปรียบเทียบการฝึกกายกันดีกว่า” จมูกยาว ๆ เหมือนจงอยนกอินทรีของเหอซือเหนียนขยับขณะที่เขาบ่นพึมพำ

“ซือเหนียน เมื่อวานนี้ซู่เฉินฝึกกายผ่านถึงขั้นที่ 4 ไปแล้ว” เยว่หยางกระซิบบอกกับเขา

ใบหน้าผอมเพรียวของเหอซือเหนียน เปลี่ยนไปเป็นน่าเกลียดในทันที

เห็นได้ชัดว่าบุคคลที่เหอซือเหนียนคิดว่าเป็นคู่แข่งของเขา ไม่เพียงโดดเด่นด้านวิชาการ แม้กระทั่งด้านศิลปะการฝึกตนก็ยังเร็วกว่าเขา

ขั้นที่ 4 ของการฝึกฝนกาย หมายความว่าซู่เฉินมีความแข็งแกร่งของม้าถึงสี่ตัวแล้ว แม้ว่าระดับของพลังนี้จะเป็นเพียงพลังเล็กน้อยเมื่อเทียบกับผู้ใหญ่ส่วนมาก แต่ก็อยู่ในจุดที่เขาสามารถเอาชนะเหอซือเหนียนได้

ความต้องการสู้ของเหอซือเหนียนหายไปอย่างรวดเร็วราวกับไฟที่มอดดับ ปากของเขากระตุกขณะที่เขาพูดคำต่อมา "แล้วยังไงล่ะ สุดท้ายเขาก็เป็นเพียงผู้สืบเชื้อสายมาจากพวกเลือดผสม”

ตอนนี้ด้วยการโจมตีทางคำพูดของเหอซือเหนียน ในที่สุดเขาก็ได้กลายเป็นจุดสนใจ

โลกนี้เป็นที่รู้จักในฐานะโลกต้นกำเนิด ในโลกนี้ผู้คนสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งด้วยการฝึกฝนพลังงานจากแหล่งกำเนิดได้ ว่ากันว่าแหล่งที่มาของความสามารถอันน่าเหลือเชื่อเหล่านี้คือรากฐานจุดต้นกำเนิดของโลก ดังนั้นพลังงานเหล่านี้จึงส่งผลกระทบ แพร่กระจาย และควบคุมสิ่งมีชีวิตทั้งหมด

สมมติฐานนี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและกลายเป็นหนึ่งในหลักการที่อธิบายพลังงานต้นกำเนิด และหากมีผู้ใดที่สามารถใช้พลังงานต้นกำเนิดนี้ได้อย่างเชี่ยวชาญ พวกเขาจะถูกเรียกว่า ผู้เชี่ยวชาญพลังวิญญาณ

อย่างไรก็ตามพลังจากต้นกำเนิดพลังงานไม่ใช่สิ่งที่จะทำความเข้าใจกันได้ง่าย ๆ ตั้งแต่เมื่อก่อนนานมาแล้ว มนุษย์ไม่เคยเข้าใจในความลึกลับทั้งหมดที่อยู่เบื้องหลังแหล่งพลังงานต้นกำเนิดเหล่านี้ได้เลย สิ่งมีชีวิตเดียวที่สามารถใช้พลังงานนี้ได้อย่างอิสระคือเหล่าสัตว์ปีศาจ ในเวลานั้นมนุษย์ไม่มีค่าอะไรมากไปกว่าอาหารสำหรับพวกมัน

หลังจากการพัฒนามาหลายพันปี โลกต้นกำเนิดก็ค่อย ๆ เผยให้เห็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลง เมื่อพวกเขาเริ่มเข้าใจความลึกลับของแหล่งพลังงาน พวกเขาก็ค่อย ๆ ก้าวออกมาจากสถานะที่ไม่รู้อะไรเลย จนในที่สุดมนุษยชาติก็ได้พัฒนาดินแดนผู้เชี่ยวชาญพลังงานต้นกำเนิดทั้งเจ็ดแห่งขึ้นมาและสร้างมันเป็นสวรรค์ให้กับตัวพวกเขาเอง

กุญแจที่ทำให้มนุษยชาติสามารถใช้พลังงานต้นกำเนิดได้ก็คือสายเลือด

ได้มีการกล่าวกันว่าเพื่อให้สามารถนำเอาพลังงานจากแหล่งกำเนิดมาใช้ มนุษย์จึงได้คิดค้นเครื่องมือสกัดเลือด สัตว์ปีศาจเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงหนึ่งเดียวที่ในโลกต้นกำเนิดที่มีความสามารถในการใช้พลังงานต้นกำเนิดอย่างอิสระ ในที่สุดมนุษยชาติก็สามารถใช้พลังนี้ได้ด้วยตนเอง ผู้ที่สร้างเครื่องมือในการสกัดสายเลือดนี้ได้สร้างยุคแห่งความรุ่งโรจน์ของมนุษยชาติ และได้กลายมาเป็นราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์

อย่างไรก็ตามในช่วงหลายปีผ่านที่ไป ประเทศมนุษย์ที่รุ่งเรืองแห่งนี้ก็ได้สูญสิ้นไปเพราะความเลวทรามของพวกเขาเอง มีการกล่าวว่าในช่วงยุคของความวุ่นวายนั้น เครื่องมือสกัดสายเลือดถูกทำลายลงไปท่ามกลางไฟแห่งความโกลาหลของสงคราม นับแต่ช่วงเวลานั้นมามนุษย์จึงสูญเสียพลังในการสกัดสายเลือดไป

โชคดีที่สายเลือดยังคงสามารถสืบทอดต่อไปได้ ดังนั้นระบบกลุ่มขุนนางสายเลือดจึงถือกำเนิดขึ้นในประเทศทั้งเจ็ดของมนุษย์

แม้ว่าตระกูลซู่เป็นหนึ่งในตระกูลที่ยิ่งใหญ่ของเมืองหลินเป่ย แต่ก็ถือว่าเป็นตระกูลรุ่นน้องเนื่องจากพวกเขาไม่มีมรดกสายเลือดของตัวเอง พวกเขาจะสามารถได้รับพลังวิญญาณมาจากทางสายเลือดเท่านั้น ยาวิญญาณเลือดเป็นเครื่องมือเลียนแบบการสกัดเลือด ถึงกระนั้นความแตกต่างในเรื่องของประสิทธิภาพเมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องมือสกัดสายเลือดแท้ มันเปรียบเสมือนช่องว่างระหว่างสวรรค์กับโลก ผู้ที่ได้รับสายเลือดจากยาวิญญาณเลือดเป็นที่รู้จักกันในชื่อเลือดผสม

ซึ่งนั่นก็หมายความว่าพวกเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะได้เป็นขุนนาง ไม่เพียงแค่ศักยภาพของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างมีขีดจำกัดเท่านั้น สายเลือดของพวกเขาก็ไม่สามารถถูกสืบทอดต่อได้อีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้นยังคงมีคนนับไม่ถ้วนที่พยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะบรรลุระดับที่สูงกว่า

ผลคือเหล่าผู้ที่ไม่มีสายเลือดของตัวเอง แม้ว่าพวกเขาจะมีความสามารถที่ยอดเยี่ยมและฝึกฝนอย่างขยันขันแข็งก็ตาม เป้าหมายของพวกเขาก็มีขีดจำกัด เช่นซู่เฉิน

สถานการณ์ของเหอซือเหนียนเองก็ไม่ได้ดีอะไรมากนัก ราชวงศ์เลือด เผ่าอสูรโลหิตชั้นสูง และตระกูลเลือดผสม เห็นได้อย่างชัดเจนจากชื่อของระบบคัดแยกสายเลือดที่เรียกกันว่า “สี่ตระกูลใหญ่” คือกลุ่มเลือดผสม หมายความว่าไม่มีใครในนั้นที่ได้รับสายเลือดที่สืบทอดมาอยู่เลย อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ไม่ได้หยุดเหอซือเหนียน จากการดูถูกคู่แข่งของเขา หากเส้นชัยของพวกเขาเหมือนกัน แม้ซู่เฉินจะไปถึงที่นั่นได้เร็วกว่าแต่เขาก็จะนำอยู่ข้างหน้าได้เพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น

เด็กหนุ่มจมูกอินทรีปลอบโยนตนเองด้วยทฤษฎีที่ไม่เหมือนใครนี้

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ในที่สุดเวลาสำหรับการเรียนก็จบลง

เด็ก ๆ พากันวิ่งออกจากสถาบันด้วยความดีใจ กลุ่มคนรับใช้ของพวกเขาต่างรออยู่ข้างนอกแล้ว

ซู่เฉินเป็นคนสุดท้ายที่ออกจากสถาบัน ในขณะที่เขาเดินออกมาหนุ่มรับใช้คนหนึ่งก็วิ่งเข้าไปและสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาวให้ซู่เฉิน "อา นายน้อยสี่ข้างนอกสถาบันอากาศหนาวจัด เดี๋ยวจะไม่สบายเอานะขอรับ”

“เจี้ยนซิน ไม่ใช่ว่าข้าพูดไปแล้วอย่างนั้นเหรอ? ข้าบรรลุถึงขั้นที่สี่ของการฝึกกายแล้ว สภาพอากาศแบบนี้ไม่ทำให้ข้าป่วยหรอก” ซู่เฉินพูดขึ้นขณะที่เขาเดินไปยังรถม้า

“นายน้อย มันไม่ใช่เรื่องความสามารถ หากแต่มันเป็นเรื่องของภาพลักษณ์ แน่นอนพวกบ่าวรู้ดีว่านายน้อยได้บรรลุถึงขั้นที่สี่ของการฝึกกายแล้ว แต่หากคนรับใช้คนอื่น ๆ ที่ไม่ทราบถึงความสามารถของท่าน เห็นว่านายน้อยไม่ได้สวมเสื้อคลุมและกำลังทำให้ตนเองเย็นลงด้วยน้ำค้างแข็งกับหิมะ ข้าเกรงว่าจะท่านจะขายหน้าพวกเขา ถึงเวลานั้นก็น่ากลัวว่าพวกเขาคงจะไม่ตั้งใจรับใช้นายน้อยอย่างจริงจังเอานะขอรับ” เจี้ยนซินกล่าวขณะที่เขาตามหลังซู่เฉินไป

เมื่อได้ยินเช่นนั้นซู่เฉินก็ยิ้มออกมา “มีเพียงเจ้าเท่านั้นแหละที่พูดเช่นนี้ จะมีใครมาสนใจข้าอย่างจริงจังกัน? นอกจากนี้หากข้าต้องการสิ่งใด ก็ยังมีเจ้าอยู่นี้”

เสียงร้องคร่ำครวญของเจี้ยนซินดังก้องออกมาจากรถม้า

คนขับรถม้าเหวี่ยงแส้ของเขา แล้วรถม้าก็เริ่มเคลื่อนตัวไปข้างหน้าทิ้งรอยเท้าที่ชัดเจนไว้ด้านหลัง

เนื่องจากไม่มีสิ่งใดให้ทำในระหว่างนั่งรถม้า ซู่เฉินจึงหยิบหนังสือประวัติศาสตร์ออกมาอ่าน หนุ่มรับใช้เจี้ยนซินที่ด้านข้างรู้สึกเบื่อและพูดขึ้น “นายน้อย หนังสือประวัติศาสตร์เล่มนั้นดีหรือขอรับ? เมื่อข้าอ่านมัน มันไม่เห็นมีสิ่งใดน่าสนใจเลย และยังทำให้ข้าง่วงนอนอีกด้วย”

ซู่เฉินกล่าวโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้น “นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่เห็นเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ในหนังสือน่ะสิ”

“มีเรื่องราวอะไรซ่อนอยู่ในหนังสือเล่มนี้หรือขอรับ?” เจี้ยนซินประหลาดใจและมองดูหนังสือด้วยสายตาที่อยากรู้อยากเห็นอย่างมาก มีเรื่องราวซ่อนเอาไว้ในหนังสือเล่มนี้จริง ๆ งั้นเหรอ?

ซู่เฉินเหลือบมองไปที่อีกฝ่าย “มันไม่ได้ซ่อนอยู่ในหนังสือ มันอยู่ในเรื่องราว ... อ่า แม้ว่าข้าจะบอกไป เข้าก็อาจจะไม่เข้าใจ”

ซู่เฉินกางหนังสือลงตรงหน้าเจี้ยนซิน "ดูที่ย่อหน้านี้"

เจี้ยนซินติดตามซู่เฉินมาหลายปีแล้วและสามารถอ่านได้บ้างเล็กน้อย เขาอ่านมันออกมา “การลอบสังหารจักรพรรดิเหยา ความปั่นป่วนวุ่นวายของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ เครื่องมือสกัดเลือดถูกทำลายลงกลางความโกลาหลของสงคราม วิธีการสกัดเลือดสูญหายไป ปัจจุบัน มนุษย์สามารถเลียนแบบวิธีการบางส่วนของเครื่องมือสกัดเลือด และสร้างยาวิญญาณเลือดขึ้นมา แต่ก็ไม่สามารถสกัดสายเลือดที่มีคุณภาพสูงได้เหมือนในอดีต ... แล้วหัวข้อมันทำไมรึขอรับ?”

เจี้ยนซินไม่เข้าใจ

ซู่เฉินหยิบหนังสือเล่มนั้นกลับมาและพูดว่า “ไม่คิดว่ามันแปลกบ้างหรือ? เนื่องจากเครื่องมือในการสกัดสายเลือดนั้นเป็นสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ แล้วทำไมพวกเขาถึงไม่สร้างมันขึ้นมาใหม่หลังจากที่มันถูกทำลายไปแล้ว?”

เจี้ยนซินตอบกลับว่า “ไม่ใช่ว่าหนังสือเล่มนี้พูดรึขอรับ? วิธีการสร้างของมันสูญหายไปแล้ว?”

“แล้วทำไมมันถึงได้สูญหายไป? นี่เป็นเรื่องสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการเพิ่มขึ้นและลดลงของเผ่าพันธุ์มนุษย์ มันจะหายไปง่าย ๆ ได้อย่างไรกัน?” ซู่เฉินถามกลับ

เจี้ยนซินไร้ซึ่งคำตอบ

ซู่เฉินก็พูดว่า “เอาล่ะ ปล่อยให้เรื่องที่มันสูญหายไปก่อนมันอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ จากหนังสือเล่มนี้เครื่องมือการสกัดสายเลือดสามารถสกัดสายเลือดได้สิบครั้งต่อปีเท่านั้น แล้วเพราะเหตุใดพวกเขาจึงไม่สร้างมันขึ้นมาเพิ่มอีกในเมื่อมันมีเพียงแค่เครื่องเดียว? แม้ว่าเราจะไม่ได้กล่างถึงมันเมื่อครู่ และยอมรับว่าวิธีการสร้างเครื่องมือสายเลือดได้สูญหายไป เช่นนั้นเหตุใดมนุษย์จึงไม่สามารถค้นพบวิธีสร้างนี้ได้อีก? ในเมื่อเราเคยสร้างมันขึ้นมาได้แล้วทำไมตอนนี้เราถึงทำไม่ได้กัน?”

การโจมตีของคำถามเหล่านี้ทำให้เจี้ยนซินพูดไม่ออก

ซู่เฉินตบหนังสือพร้อมรอยยิ้ม “นี่คือเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ในหนังสือ ดังนั้นเจ้าไม่สามารถอ่านหนังสือโดยใช้ดวงตาเพียงอย่างเดียวได้ เจ้าจำเป็นจะต้องใช้ความคิดของเจ้าด้วย”

ซู่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างภูมิใจ คำพูดที่เขาพึ่งบอกออกไปนั้นพ่อเขาเป็นผู้สอนมันให้เขา ตอนนี้ซู่เฉินใช้ประโยคนี้มาสอนหนุ่มรับใช้ของเขา

เจี้ยนซินยังคงสับสน เขามองดูซู่เฉินด้วยความชื่นชม “แล้วนายน้อยจึงคิดว่าเหตุใดมันเป็นเช่นนั้น?”

ในท้ายที่สุดซู่เฉินยังคงเป็นแค่เด็กอยู่ดี เขามีความสุขไปกับการชื่นชมของเจี้ยนซินอย่างเป็นธรรมชาติ

ซู่เฉินกล่าวว่า “ข้ามีคำตอบอยู่ในใจ อย่างไรก็ตามเจ้าจะต้องสัญญาว่าจะไม่พูดเรื่องนี้ออกไป”

เจี้ยนซินตบหน้าอกของเขาและให้คำมั่น “นายน้อยโปรดวางใจ ข้าจะไม่พูดถึงมันอย่างแน่นอน”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นซู่เฉินก็สบายใจ

แม้ว่าซู่เฉินจะฉลาดแต่ยังไงเขาก็อายุเพียง 12 ปี และเขาก็ไม่สามารถเข้าใจได้อย่างแท้จริงว่าผู้คนที่รักษาคำพูดของพวกเขามีค่าและหายากขนาดไหน

ดังนั้นซู่เฉินจึงลดเสียงของเขาและพูดขึ้นว่า “ข้าเชื่อว่าเครื่องมือสกัดเลือดโดยพื้นฐานแล้ว มันไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์”

"อะไรนะ?" เจี้ยนซินตกใจ “เช่นนั้นแล้ว ... มันเป็นของใครล่ะ?”

ซู่เฉินแบมือออก “ข้าจะรู้ได้อย่างไร? สาเหตุที่มนุษย์ไม่สามารถสร้างเครื่องมือสกัดเลือดแต่กลับมีมันไว้ในครอบครองได้ นั่นถือเป็นคำอธิบายเดียวที่สมเหตุสมผลสำหรับข้า อย่างไรก็ตามเจ้าห้ามบอกเล่าสิ่งเหล่านี้ออกไปอย่างเด็ดขาด”

ในยุคที่ผู้คนไม่สามารถเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน การตั้งคำถามถึงความถูกต้องในประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ย่อมจะทำให้ซู่เฉินเกิดปัญหาอย่างแน่นอน

ทันใดนั้นเอง เสียงหัวเราะเบา ๆ ก็ดังก้องขึ้นมาราวกับว่ามีใครบางคนกำลังกระซิบอยู่ข้างหูของซู่เฉิน

ดวงตาของซู่เฉินเบิกกว้าง

“หยุดรถม้า!” ซู่เฉินตะโกนเสียงดัง

รถม้าหยุดลงในทันที

ซู่เฉินกระโดดออกจากรถและมองไปรอบ ๆ ทั่วถนน สิ่งที่เขาเห็นได้มีเพยงเกล็ดหิมะที่กำลังตกลงมาเท่านั้น

ถนนขนาดใหญ่มีคนเดินอยู่เพียงไม่กี่คน ซู่เฉินไม่เห็นใครที่ดูเหมือนคนที่หัวเราะข้างหูของเขาเลย

“นายน้อย มีอะไรหรือขอรับ?” เจี้ยนซินเหยียดหัวออกจากรถม้าและกล่าวถาม

ซู่เฉินส่ายหัวแล้วตอบว่า “ไม่มีอะไรหรอก กลับกันเถิด”

ซู่เฉินหันกลับมาปีนกลับเข้าไปในรถม้า

ทันใดนั้นเขาได้ยินเสียงของชายชราคนหนึ่งจากข้างหลังของเขา “นายน้อยได้โปรดสงสาร สงสารคนขอทานคนนี้และให้อาหารร้อน ๆ แก่เขาทีเถิด”

เมื่อมองย้อนกลับไปซู่เฉินขอทานแก่ตัวสั่นเทาพร้อมกับกลิ่นเหม็นเดินเข้ามาหา อีกฝ่ายถือชามแตก ๆ อยู่ในมือของเขา

ชายชราคนนั้นยืนห่างจากซู่เฉินไม่ไกลพร้อมยื่นชามแตก ๆ ไปทางซู่เฉิน รูปร่างหน้าตาของเขาช่างดูน่าสมเพช ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความว่างเปล่าและความสิ้นหวัง

หลังจากสำรวจดูชายชราแล้วซู่เฉินก็พูดว่า  “ข้าไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร แต่ข้ารู้ว่าท่านไม่ใช่ขอทาน”

ชายชรามองอย่างสับสน “นายน้อย ท่านหมายถึงอะไรกัน?”

ซู่เฉินพูดด้วยน้ำเสียงชัดเจน “ในตอนนี้หิมะกำลังตกหนัก ขอทานที่แท้จริงจะรู้ว่าหากอากาศหนาวเกินไป คนที่ออกมาเดินบนถนนคงจะมีอยู่ไม่มากนัก แม้ว่าท่านจะโชคดีเจอคนเดินเท้า แต่ใครจะหยุดเดินทางกลางคันในช่วงหนาวเหน็บเพื่อให้ทานกัน?”

“การมาขอทานในเวลานี้นอกจากจะทำให้ท่านแข็งตายแล้วก็คงจะไม่มีเหตุอื่น นี่เป็นการขอทานที่ผิดเวลาเกินไป นอกจากนี้ที่นี่คือถนนฮันซู ถนนสายหลักของเมือง เพื่อป้องกันการกีดขวางการจราจร เมื่อมีคนมาขอทานเจ้าหน้าที่จะหรือจับพวกเขาไม่ก็ไล่พวกเขาออกไปในทันที ไม่มีทางที่คนขอทานจะมาปรากฏตัวในที่แห่งนี้”

“นอกจากนี้ท่าน... แม้ว่าเสื้อผ้าของท่านจะขาดและสกปรก แต่รอยขาดรอยยับบนเสื้อผ้าของท่านนั้นดูเรียบสะอาดมาก นี่แสดงให้เห็นว่าเสื้อผ้าของท่านไม่ได้รับความเสียหายเพราะการสวมใส่มาเป็นเวลานาน และกลิ่นเหม็นจากร่างกายของท่านก็ไม่ถูกต้องเช่นกัน กลิ่นของขอทานจริง ๆ กลิ่นเหม็นอับที่เกิดจากการหมักหมมและสะสมมานาน มันแตกต่างจากกลิ่นของคุณซึ่งเหมือนกลิ่นของท่อระบายน้ำ และที่สำคัญคือมือของท่าน แม้ว่าร่างกายของท่านจะสกปรก แต่เล็บของท่านกลับสะอาดมาก ซึ่งมันผิดปกติ!”

หลังจากซู่เฉินพูดจบแล้วเขาก็มองไปที่ชายชรา “ดังนั้น แม้ว่าข้าไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร แต่ข้าก็มั่นใจว่าท่านไม่ใช่คนขอทาน!”

หลังจากชายชราได้ฟังมันแล้ว เขาก็เงยหน้าและหัวเราะขึ้นฟ้า "ฮ่า ๆ ๆ ๆ! เจ้าหนูช่างน่าประทับใจ! เจ้ามีดวงตาที่ช่างสังเกตเป็นพิเศษ มีจิตใจที่เก่งในการวิเคราะห์ มันน่าเสียดายที่อายุของเจ้ายังน้อยเกินไป เจ้านั้นขาดประสบการณ์อีกมากและเจ้าก็ยังคงไร้เดียงสา เจ้าไม่เข้าใจว่าวิธีการซ่อนจุดอ่อนหรือคุณค่าที่แท้จริงของตัวเจ้าเองให้เหมือนพวกที่ไม่โดดเด่นนั้นควรทำอย่างไร”

“แต่มันไม่สำคัญอีกต่อไปเพราะเจ้าเจอข้าแล้ว ในเมื่อเจ้าเจอข้า เจ้าจะได้เรียนรู้ทั้งหมดนั้นจากเรื่องนี้ การได้พบข้าเป็นความโชคร้ายของเจ้า เพราะข้าจะทำให้เจ้าต้องทุกข์ทรมานแต่การได้พบข้าก็ถือเป็นโชคชะตาของเจ้าด้วยเช่นกัน เพราะข้าจะมอบอนาคตที่ไร้ขีดจำกัดแก่เจ้า ... ตอนนี้ให้ข้าได้เปลี่ยนแปลงสายตาของเจ้า พวกมันจะช่วยให้เจ้าได้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของโลกใบนี้มากขึ้น!”

เมื่อพูดจบชายชราก็ยกมือของเขาขึ้น

ก่อนที่ซู่เฉินจะทันได้กระพริบตา หนามแหลมสัมผัสเย็นเฉียบ 2 แท่งก็ได้ตรงเข้าสู่ดวงตาของเขาแล้ว