ตอนที่แล้วเคียวที่ 39 : เคียวส่งท้าย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเคียวพิเศษ (Part 2)

เคียวพิเศษ (Part 1)


         23:00 น. ไลน์! ไลน์! ไลน์!

เสียงข้อความดังแจ้งเตือนขึ้นมาจากโทรศัพท์มือถือถี่ยิบ ทำให้ผมละสายตาจากจอแล็ปท็อปขณะกำลังดูซีรีย์ชื่อดังเรื่องหนึ่งอยู่ หันมาหยิบมือถือของตัวเองที่วางอยู่ข้างตัวมาเปิดดู ปรากฏว่าเป็นข้อความในกรุปไลน์นั่นเอง

Shabu : พวกมึง กูอยากไปเที่ยวก่อนเปิดเทอมอะ

It : เที่ยวไหนวะ

Shabu : เชียงใหม่ดีปะ

It : โห ไม่เอาอะ นั่นบ้านกูนะ เที่ยวจนเบื่อละ

อ่านมาถึงปัจจุบันก็พบว่าชาบูมันชวนไปเที่ยวนั่นเอง แต่ก็จริงของอิฐ ปีก่อนพวกผมก็ไปเชียงใหม่ ไปเที่ยวบ้านอิฐนี่แหละ ยิ่งเจ้าตัวเป็นคนในพื้นที่อยู่แล้วคงไม่อยากไปเที่ยวแถวบ้านตัวเองซ้ำ ๆ หลายรอบหรอก ผมเลยเสนอไปอีกที่ซึ่งผมไม่ได้ไปมาหลายปีแล้ว

Keyboard : งื้ม งั้นเชียงราย 5555

ผมเลือกทางเลือกที่ดีกว่าให้หน่อยมั้ง ทำไงได้ ช่วงนี้มันฤดูหนาว ร่างกายต้องการสัมผัสความเย็นนี่นา อย่างที่พวกเรารู้ ๆ กันอยู่ ประเทศเราแทบจะมีแต่ฤดูร้อนตลอดทั้งปีอยู่แล้ว

It : TT TT กูไม่รู้สึกถึงความต่างเลย โซนเดียวกันเลย

Shabu : ช่วงนี้มันหน้าหนาวนี่หว่า ไม่ขึ้นเหนือมึงจะลงใต้เหรอ

It : ตามใจเพื่อนเลยครับ (สติ๊กเกอร์เด็กผู้ชายร้องไห้)

Keyboard : กูพาฟองไปด้วยนะ

ผมจิ้มจอมือถือพิมพ์ออกไป จะได้ถือโอกาสพาฟองไปเที่ยวด้วย เพราะพอนึกดูดี ๆ จะว่าไป นอกจากตอนรับน้อง กับค่ายอาสา พวกเราสองคนก็แทบไม่เคยไปเที่ยวต่างจังหวัดที่ไหนด้วยกันเลย

Shabu : เอาดิ ไหมจะได้มีเพื่อนผู้หญิงด้วย เวลาชวนจะได้ยอมไป อยากทำคะแนนใจจะขาด กูกะจะพากี้ไปด้วยเนี่ย

It : หูย แบบนี้อยากไปไหนจัดเต็มเลยครับเพื่อน กูอะไรก็ได้

Shabu : หรา

Keyboard : งั้นเดี๋ยวเอารถพ่อกูไปนะ จะได้นั่งกันครบหกคนพอดี เคปะ ไปเสาร์ อาทิตย์นี้

It : โอเคตามนั้น

Shabu : เค ๆ ฝันดีครับเพื่อน ๆ

เป็นการตกลงและสรุปกันได้อย่างรวดเร็วมาก กลุ่มของพวกผมก็แบบนี้แหละครับ นึกอยากทำอะไรก็ทำ อยากไปไหนก็ไปกัน สุดท้ายเราก็มีทริปไปเที่ยวเชียงรายที่เกิดขึ้นมากันแบบกะทันหัน ส่วนโปรแกรมว่าจะไปที่ไหนอย่างไรค่อยว่ากันอีกที ขณะที่คิดว่าน่าจะคุยกันเสร็จแล้ว กะจะเงยหน้าขึ้นไปมองจอแล็ปท็อปต่อ เสียงแจ้งเตือนในโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมาอีกรอบ

Shabu sent a video

ผมกดเล่นวิดีโอที่ชาบูส่งให้มาเพื่อดู

พอเล่นได้ไม่ถึงนาทีเท่านั้นแหละ อื้มหืม … ทั้งเสียง ทั้งภาพ จัดเต็มแบบเฮชดี

คืนนี้ไม่ต้องดูซีรีย์ต่อละมั้ง …

แต่เดี๋ยว … ผมกดหยุดวีดีโอที่ชาบูส่งให้แล้วเหลือบมองชื่อกรุป แล้วอารมณ์ทั้งหมดทั้งมวลมันก็กลายเป็นขำในทันที นิ้วผมจิ้มลงไปบนจอมือถืออย่างเร่งรีบกะจะให้ไอ้ชารีบลบ แต่ดูท่าจะไม่ทันเสียแล้ว เพราะคำว่า Read มันขึ้นจากสองกลายเป็นสามคนไปแล้ว

Keyboard : ไอ้ชา! ผิดกรุป! (สติ๊กเกอร์คนช๊อก)

Yaimai : ไอ้พวกหื่น!

นั่นไง … วงแตกทันที

คืองี้ครับ พวกผมจะมีกรุปไลน์ไว้สองกรุป กรุปแรกคือจะมีผม ชาบู อิฐ และใยไหม ส่วนกรุปที่สองจะเป็นกรุปที่ไม่มีใยไหมอยู่ พวกเราจะเอาไว้คุยกันเฉพาะเรื่องของผู้ชายและเรื่องต่าง ๆ ที่ไม่อยากให้ไหมรู้ แล้วทีนี้ไอ้ชามันคงพลาดมั้ง เวรกรรม ไม่รู้ผมจะขำหรือสงสารดี ภาพลักษณ์มันยิ่งไม่ค่อยจะมีอยู่แล้ว ช่วงนี้กำลังทำคะแนนให้ไหมเห็นถึงความดีอยู่ด้วย จะได้อัปเกรดจากความเป็นเพื่อนบ้าง อะไรบ้าง ป่านนี้ในสายตาไหมมันคงกลายเป็นไอ้ตี๋หื่นกามไปแล้ว

Shabu : เฮ้ย ! ไหม มันไม่ใช่แบบนั้นนะเว้ย คือไอ้อิฐมันขออะ

It left the group …

แล้วผมจะอยู่รออะไรล่ะครับ

Keybord left the group …

ผมและอิฐออกจากบ้านกันประมาณเกือบห้าทุ่มของเย็นวันศุกร์ กว่าจะแวะไปรับแต่ละคนที่บ้านกันครบ เวลาก็ล่วงเลยไปจนเกือบเที่ยงคืนพอดี แถมยังกินเวลามากตรงไปรอไอ้พี่เต้กำชับนักกำชับหนาว่าให้ดูแลน้องเขาดี ๆ นี่แหละ นี่ก็เกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ผมกับอิฐวางแผนว่าจะไปถึงเชียงรายกันตอนเช้าแล้วแวะเที่ยวแต่ละที่เลย โดยมีผมกับอิฐสลับกันขับเผื่อว่าใครจะง่วงระหว่างทาง

ระหว่างทางไปก็ไม่มีอะไรมากมายครับ ทุกคนหลับกันยาวเลย มีแต่ผมกับอิฐที่สลับกันคุยเป็นพัก ๆ พอขับไปได้สามสี่ชั่วโมงผมก็แวะจอดพักรถที่ปั๊มน้ำมันเพื่อเปลี่ยนตัวคนขับกับอิฐ

พวกเรามาถึงเชียงรายกันประมาณแปดโมงเช้า สถานที่แรกที่ใครมาเชียงรายก็ต้องแวะและพลาดไม่ได้เลยก็คือวัดร่องขุ่น บรรยากาศตอนเช้า ๆ ของที่นี่ยังไม่ค่อยมีคนมากนัก แต่ถ้าสายกว่านี้คงจะมีทัวร์มาลงจนแทบไม่มีที่ถ่ายรูปแน่ ๆ พวกเราเดินลงไปชมความงามของตัววัดกันประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง โดยมีอิฐเป็นช่างภาพที่คอยช่วยถ่ายรูปให้เรื่อย ๆ เป็นระยะ

“เฮ้ย ! อิฐ ถ่ายรูปคู่ให้กูบ้าง” ผมเรียกอิฐ ขณะที่เจ้าตัวถือกล้องถ่ายรูปคู่ใจถ่ายบริเวณของตัววัดอยู่ อิฐหันมาก่อนเดินเข้ามากับกี้เพื่อถ่ายรูปให้ผมกับฟอง

“ไหนดูดิ … หูย โคตรเจ๋งอะ แสงสวยด้วย อิฐน่าจะไปเรียนนิเทศมากกว่าวิศวะนะเนี่ย” ฟองพูดขณะก้มหน้าลงไปดูรูปในกล้องของอิฐแล้วเอ่ยชม

“แหะ ๆ ไม่ขนาดนั้นหรอกครับพี่ฟอง ผมก็ศึกษาเทคนิคนู่นนี่นั่นตามยูทูปแล้วก็ถามคนอื่นไปเรื่อยน่ะครับ” อิฐพูด

“เฮียอิฐถ่ายรูปเก่งจัง วันหลังสอนกี้ถ่ายบ้างนะ” สุกี้ที่ดูรูปผมกับฟองก็พูดขึ้นบ้าง

“ไว้เดี๋ยวเฮียสอนนะ”

“ชา ! ถ่ายบ้าไรของแกเนี่ย หน้าบานขนาดนี้ ขาใหญ่เว่อร์มาก” เสียงโวยวายดังมาจากอีกมุมหนึ่ง เป็นใยไหมที่หลังจากโพสต์ท่าถ่ายเป็นนางแบบเสร็จก็กำลังก้มหน้าดูรูปในจอมือถือที่ชาบูถ่ายให้นั่นเอง

“หูยไหม นี่ฉันก็แทบจะนอนถ่ายให้เธอแล้วนะเนี่ย มุมนี้ก็ไม่ได้ มุมนั้นก็ไม่เอา สวยแล้วเชื่อเถอะ สวยจนไม่รู้จะสวยยังไงแล้วค้าบ” ชาบูพูดขึ้น ทำหน้างอ

“งั้นให้อิฐถ่ายให้ดีกว่า” ไหมหันมาพูดกับทางพวกผม ทำท่าจะเรียกอิฐให้ไปช่วยถ่ายรูปให้

“เฮ้ย ๆ ไม่เอา นี่ก็ถ่ายสวยไม่แพ้ไอ้อิฐน่า”

หลังจากเดินชมวัดถ่ายรูปกันจนหนำใจ พวกเราก็แวะทำธุระส่วนตัวและทานอาหารเช้ากันที่นั่น โชคดีที่พอหลังจากพวกเราออกมา รถทัวร์อีกหลายคันก็เข้ามาพอดี อย่างน้อยก็ได้ถ่ายรูปสวย ๆ ที่ไม่ติดคนมากจนเกินไปไว้ได้หลายรูปเลย พอทานอาหารเช้ากันเสร็จ ผมก็ขับรถกันมาต่อที่วัดร่องเสือเต้น สำหรับคนที่ยังไม่เคยมา ถ้าเปรียบเทียบกับวัดร่องขุ่นที่เป็นสีขาวเกือบทั้งวัดแล้ว วัดร่องเสือเต้นจะเป็นวัดสีน้ำเงินเข้มเกือบทั้งวัดครับ สวยไม่ต่างกัน แต่จะคนละแบบ

อีกที่หนึ่งที่เราแวะคือวัดห้วยปลากั้ง วัดนี้มีจุดชมวิวที่สวยมากครับ ที่วัดจะมีเจดีย์รูปทรงคล้าย ๆ ศิลปะทางจีนอยู่ และมีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่มากอยู่ทางด้านหน้าเลย ถัดไปหน่อยมีการจำลองกำแพงเมืองจีนด้วย แต่ที่ป้ายติดไว้ว่ากำแพงเมืองไทยแทน ผมเห็นแล้วก็ขำ แต่เขาก็ทำออกมาได้เจ๋งมาก ๆ พวกเรามีที่ถ่ายรูปเยอะเลย

พอเสร็จจากที่วัดห้วยปลากั้ง ผมกับอิฐที่เป็นคนวางแผนเที่ยวก็ตกลงกันว่าจะขับไปต่อที่ไร่ชา ซึ่งน่าจะแวะหาอะไรกินกันตอนกลางวันที่นั่นเลย เพราะตอนนี้เวลาก็เกือบเที่ยงแล้ว เพื่อนก็เริ่มบ่นว่าหิวกันอีกแล้วด้วย คนบ่นมากก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ไอ้คนชวนไปเที่ยวที่ไม่ได้ช่วยวางแผนเที่ยวเลยแม้แต่น้อยนั่นเอง

พวกเรามาถึงไร่ชากันเกือบเที่ยงครึ่ง ไร่ชาฉุยฟง เป็นไร่ชาขนาดใหญ่ ปลูกชาวนไปตามภูเขามีลักษณะเป็นขั้นบันไดอย่างสวยงาม นับเป็นอีกหนึ่งสถานที่ ที่พวกเราเก็บภาพไปได้เยอะมากทีเดียว บริเวณรอบ ๆ ก็สามารถถ่ายรูปวิวแบบธรรมชาติได้อย่าง 360 องศาเลย

“ชาที่นี่อร่อยเนอะ” ใยไหมพูดขึ้นมาระหว่างที่พวกเรากำลังนั่งเล่น ทานอาหารกลางวันกันชิว ๆ อยู่ที่ร้านอาหารภายในไร่ชา

“ชาตรงหน้าก็อร่อยนะ หอมด้วย … ถ้าได้ลองจะติดใจ” ชาบูที่นั่งตรงข้ามกับใยไหมพูดขึ้นมา ผมเพิ่งเคยเห็นมันไม่กวนตีน เริ่มหยอดไหมบ้างก็คราวนี้แหละ

“กูว่าเหม็นเขียวมากกว่า เมื่อคืนไม่ได้อาบน้ำใช่ไหมมึง” อิฐพูดแซว เล่นเอาฮาครืนกันทั้งวง

“โห ไอ้อิฐ พูดแบบนี้ไปนั่งไกล ๆ น้องกูเลยนะ” ชาบูพูดขึ้นมา พร้อมเอามือดันหัวอิฐที่นั่งข้าง ๆ สุกี้ให้ออกห่าง

“หูย พูดเล่นครับพี่ชา พี่ชาหอมจะตาย สมัยอยู่หอด้วยกัน อาบน้ำวันละสามรอบแน่ะ” อิฐพูดพลางหัวเราะ

ไอ้นี่ก็พูดเกินจริงจนน่าหมั่นไส้ครับ …

ถัดจากไร่ชา แผนที่วางไว้คือเราจะไปพักค้างคืนกันที่ดอยสะโง้ ซึ่งอยู่ใกล้กับบริเวณสามเหลี่ยมทองคำครับ เราเลยแวะเที่ยวสามเหลี่ยมทองคำกันก่อน สามเหลี่ยมทองคำเป็นพื้นที่รอยต่อระหว่างสามประเทศคือ ไทย ลาว และพม่า มีลักษณะเป็นสามเหลี่ยมชนกัน โดยมีแม่น้ำโขงไหลตัดผ่านแต่ละพื้นที่ ที่นั่นก็จะมีจุดชมวิว และร้านขายของที่ระลึกมากมายให้นักท่องเที่ยวได้เลือกชมอยู่

“ซื้อหมวกไหมคีย์” ฟองทักผมขึ้นมาระหว่างที่เรากำลังเดินเล่นซื้อของกันหลังจากชมวิวสามเหลี่ยมทองคำเสร็จ

“เออจริงดิ เอา ๆ คีย์ลืมเอามาเหมือนกัน บนดอยน่าจะหนาว” ผมบอกฟองไป

ฟองหยิบหมวกไหมพรมสีดำอันหนึ่งส่งให้ผมสวมดู

“เป็นไง อันนี้โอเคปะ” ผมพูดขึ้นหลังจากใส่หมวก หันหน้าไปโชว์ฟอง

“อื้ม เอาสีน้ำตาลดีกว่า เหมาะกับคีย์มากกว่า” ฟองพูด จ้องไปมาซ้ายขวาสักพักก่อนหยิบหมวกไหมพรมอีกสีหนึ่งยื่นให้ผมลองใหม่อีกครั้ง

“โอเคยั้ง หล่อปะ”

“จ้า หล่อแล้วจ้า” ฟองพูดขึ้นมาอย่างประชดประชัน ทำเอาผมมันเขี้ยวอดยกมือไปโยกหัวเจ้าตัวเล่นไม่ได้

เวลาเกือบห้าโมงเย็นของวัน ผมก็ขับรถขึ้นไปฝากบริเวณทางขึ้นของดอยสะโง้เพราะไม่สามารถเอารถขึ้นไปบนดอยได้เนื่องจากทางขึ้นเป็นทางลูกรังและค่อนข้างจะแคบมาก ทางดอยจะมีรถรับส่งคอยบริการให้กับพวกเรา ดอยสะโง้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ผมคิดว่าค่อนข้างใหม่ เพิ่งเปิดมาเมื่อไม่กี่ปี แต่นักท่องเที่ยวก็ทยอยเข้ามาเที่ยวกันเยอะมากแล้ว ชาวบ้านส่วนใหญ่ที่นี่เป็นชาวเขาเชื้อสายอาข่าและไทลื้อ ซึ่งช่วยกันพัฒนาพื้นที่บริเวณนั้นให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเพิ่มรายได้ให้กับชุมชน

พอขึ้นมาถึงก็รู้สึกว่าคิดไม่ผิดที่เลือกมาที่นี่ บรรยากาศบนนี้ดีมาก ๆ ครับ สามารถชมวิวธรรมชาติกันได้อย่าง 360 องศาเลย ผมจองที่พักไว้ที่บ้านพักของดอยโดยตรง ซึ่งที่พักเป็นลักษณะกระท่อมไม้ไผ่เป็นหลัง ๆ ทางด้านหน้าบ้านก็มีระเบียงเอาไว้ชมวิวดูพระอาทิตย์ขึ้นได้เลย พอเลยบริเวณที่พักมาหน่อยก็จะเป็นสะพานไม้ไผ่ให้เราได้เดินไปชมวิวดูทะเลหมอกกันในตอนเช้า นอกจากจะเป็นบ้านพักแล้ว ที่นี่ยังมีสถานที่ให้กางเต็นท์นอนอีกด้วย ซึ่งบริเวณที่กางเต็นท์นอนก็จะอยู่ห่างออกจากตัวที่พักไประยะหนึ่ง ขึ้นมาบนนี้ก็ไม่ต้องกลัวลำบากครับ เพราะมีของกินให้เลือกซื้อเยอะมาก แถมบริเวณที่พักยังมีมินิบาร์เปิดให้บริการอีกด้วย

บ้านพักของพวกเราผมจองไว้นอนรวมกันหกคนพอดี มีห้องน้ำในตัวอยู่บริเวณด้านนอกห้อง พอเข้าไปถึงในที่พักก็ได้บรรยากาศการนอนเหมือนมาฮันนีมูนไปอีก ภาพที่เห็นคือมุ้งสีชมพูสามอันที่กางอยู่แต่ละมุมของห้อง ภายในมีหมอนและผ้าห่มผืนหนาวางคู่กันในแต่ละมุ้งเหมือนให้นอนกันเป็นคู่ ๆ

“นอนกันยังไงดี” ผมถามเพื่อน ๆ

“ไหน ๆ ก็มาเป็นคู่แล้วอ่า ก็นอนคู่ใครคู่มันไปเลย” อิฐพูด

“ไม่เอา ! น้องกูเป็นผู้หญิง มึงมันไม่น่าไว้ใจด้วยไอ้อิฐ” ชาบูพูดขึ้นมาบ้าง มึงนั่นแหละ ตัวไม่น่าไว้ใจเลยไอ้ชา …

“งั้นเอางี้ ไอ้อิฐมึงนอนกับกู ไหมกับฟอง ส่วนชามึงนอนกับน้องมึงไป เคปะ” ผมพูดออกไปแบบสรุป คิดว่าแบบนี้น่าจะลงตัวที่สุด

“โอเค”

เมื่อได้ข้อสรุปตามนั้นเสร็จ พวกเราก็เก็บของล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น ก่อนจะออกไปเดินเล่นชมวิวถ่ายรูปกันก่อนพระอาทิตย์ตอนเย็นจะตก อุณหภูมิในตอนนี้ก็เริ่มต่ำลงขึ้นเรื่อย ๆ แล้วครับ บริเวณโดยรอบนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวเหมือนพวกเราก็มีเยอะพอสมควร แต่ก็ไม่ได้เยอะเสียจนแน่นไปหมด ยังเหลือพื้นที่และวิวสวย ๆ ให้ถ่ายกันไปอีกเยอะ ที่นี่มีชุดอาข่าให้เช่าถ่ายรูปด้วยนะครับ เพื่อให้มันเข้ากับบรรยากาศ

เดินเล่นกันไปสักระยะก็จะเจอชิงช้าไม้ขนาดใหญ่ให้พวกเราขึ้นไปยื่นแกว่งกันเล่น ดูเหมือนฟองจะชอบเป็นพิเศษให้ผมถ่ายรูปตรงนั้นให้อยู่หลายรูปเลย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด