ตอนที่แล้วคาถาที่ 1 : ผมชื่อชาบู
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปคาถาที่ 3 : ความฝัน

คาถาที่ 2 : หนังสือประหลาด


หลังจากทานบิงซูกับไหมเสร็จ

ผมก็ขอติดรถไหมกลับมาที่บ้านของตัวเอง เพราะเจ้าตัวบอกว่าวันนี้จะกลับไปบ้านอยู่พอดี และบ้านผมก็เป็นทางผ่านด้วย เลยไม่น่าจะลำบากอะไรไหมมากมาย คือจริง ๆ แล้ว ก่อนหน้านี้ผมขี้เกียจเอารถมาใช้น่ะครับ เพราะปกติเวลาไปไหนมาไหนก็ไปกับไอ้คีย์อยู่แล้ว แถมไอ้อิฐก็ยังมีมอเตอร์ไซค์อีกคัน ผมก็ช่วยพวกมันหารค่าน้ำมันตลอด เอามาใช้เยอะแยะนอกจากเปลืองน้ำมันแล้วยังทำโลกร้อนอีกต่างหาก แต่ที่กลับไปบ้านวันนี้ก็กะจะกลับไปเอารถมาใช้นี่แหละครับ เพราะช่วงนี้ไอ้คีย์มันตัวติดกับพี่ฟองเหลือเกิน ผมเลยไม่ค่อยอยากไปรบกวนมันเท่าไร เผื่อมันมีธุระอะไรส่วนตัวด้วย

“ขอบใจนะไหม อยู่ทานข้าวเย็นกันก่อนปะ” ผมถามไหมที่เปิดกระจกรถออกมาคุยด้วย

“ฉันยังอิ่มบิงซูอยู่เลยอะชา ไว้วันหลังดีกว่า ฝากสวัสดีป๊ากับม๊าแกด้วยนะ ขอบใจที่เลี้ยงบิงซู”

“ค้าบ แล้วเจอกัน ขับรถดี ๆ ล่ะ” ผมบอกกับไหมก่อนเดินเข้ามาในบริเวณหน้าบ้านของตัวเอง

บ้านของผมเป็นตึกแถวใจกลางเมืองย่านธุรกิจ คนค่อนข้างพลุกพล่านเลยแหละ ชั้นล่างป๊ากับม๊าเปิดร้านชาบูปิ้งย่างเอาไว้ ม๊าเล่าให้ฟังว่าตอนผมเกิด ป๊ากับม๊าช่วยกันเปิดกิจการมีแค่คูหาเดียว แต่เดี๋ยวนี้ร้านขยายไปถึง 4 คูหาแล้ว เพราะเมื่อก่อนร้านอาหารแบบนี้ยังไม่ค่อยบูมเท่าไร แต่เมื่อมีกระแสเกิดขึ้นมา บวกกับทำเลของร้านป๊ากับม๊าผมอยู่ใจกลางเมืองพอดี กิจการของป๊ากับม๊าจึงไปได้ด้วยดี

“อ้าวเฮีย นึกไงกลับบ้านอะ ยังไม่เสาร์อาทิตย์เลยนี่” เสียงทักดังขึ้นมาหลังจากผมเดินเข้ามาภายในร้านได้ไม่นาน คนทักเป็นเด็กผู้หญิงตัวสูงเท่าหน้าอกผม หน้าตาแทบจะถอดแบบกันมา แต่เจ้าตัวหน้าหวานกว่า แถมไว้ผมยาวอีก เธอชื่อ สุกี้ ครับ เป็นน้องสาวของผมเอง

“เฮียกะจะกลับมาเอารถไปใช้อ่ะ” ผมพูดกับน้องตัวเองพร้อมเอามือไปแกล้งยีหัวเจ้าตัวเล่น คนโดนแกล้งทำหน้างอดึงมือผมออกแล้วร้องโวยวาย ทำไงได้ล่ะ เห็นแล้วมันน่ามันเขี้ยวนี่ครับ แกล้งมาตั้งแต่เด็ก ๆ จนเดี๋ยวนี้โตเป็นสาวแล้วก็ยังน่าแกล้งเหมือนเดิม

“วันนี้คนแน่นร้านเลยแฮะ ป๊ากับม๊าอยู่ข้างบนเหรอ” ผมถามกี้ พลางมองไปรอบร้านเมื่อไม่เห็นป๊ากับม๊า

“ใช่เฮีย แล้วเฮียมาเอารถแล้วจะกลับเลยปะ หรือคืนนี้นอนนี่” กี้ถามผมกลับ

ถ้าจะขับรถกลับมหาวิทยาลัยไปนอนที่หอก็เกือบครึ่งชั่วโมงพอดี ไม่เอาล่ะ ผมขี้เกียจ นอนอยู่บ้านดีกว่า

“นอนนี่แหละ ขี้เกียจขับกลับแล้ว พรุ่งนี้ค่อยไป เฮียมีเรียนบ่าย เราไม่ไปเรียนพิเศษเหรอวันนี้” ผมพูด

“ไปซิเฮีย กี้รอเพื่อนมารับ”

“เพื่อนผู้หญิงผู้ชาย” ผมถามกี้เสียงเข้ม อดเป็นห่วงไม่ได้ ต้องถามกันเอาไว้ก่อน เอาเป็นว่าผมไม่ไว้ใจผู้ชายหน้าไหนทั้งนั้นแหละ

“ผู้หญิงค่า” เจ้าตัวตอบ

“ดีมาก ตั้งใจเรียนด้วยล่ะ” ผมบอกกี้

“ค่ะ”

พอคุยกับกี้เสร็จ ผมก็เดินขึ้นไปบนชั้นสองของร้านซึ่งเป็นบริเวณของบ้านตัวเองที่แท้จริง ทักทายสวัสดีป๊ากับม๊าที่นั่งดูทีวีกันอยู่เสร็จ ผมก็เดินขึ้นไปยังชั้นสามซึ่งเป็นห้องของตัวผมเอง เปิดประตูเข้าไปก็จะเห็นห้องสีขาวดูสะอาดตา ตรงกลางห้องมีเตียงขนาดห้าฟุต แถวริมหน้าต่างมีโต๊ะหนังสือและชั้นหนังสือวางอยู่ถัดไป อย่าได้คิดว่าเป็นหนังสือเรียนเชียว มันเต็มไปด้วยหนังสือสยองขวัญที่ผมชอบอ่านและเก็บสะสมไว้ตั้งแต่มัธยมต่างหาก

ห้องของผมกลับมาทีไรก็สะอาดเอี่ยมทุกที คงเป็นเพราะม๊าให้คนมาทำความสะอาดให้ทุกอาทิตย์ล่ะมั้ง บางทีผมก็คิดนะ ว่าตัวเองนิสัยเสียมากไปหรือเปล่า ที่ทำให้ห้องสกปรกและต้องมีคนคอยมาเก็บกวาดให้ตลอด ตอนไปอยู่ที่หอกับไอ้คีย์และไอ้อิฐก็โดนพวกมันบ่นนับวันได้ แต่แล้วไงอะ ห้องผู้ชายรึเปล่า ไม่รู้ว่าพวกมันจะเนี้ยบไปมากมายทำไม

เห็นเตียงแล้วมันก็เหมือนมีแรงดึงดูดมหาศาลให้ผมต้องล้มตัวลงไปนอน เวลานี้ก็จะสี่โมงเย็นล่ะด้วย แต่ของีบสักแป๊บนึงละกัน เมื่อคืนเหมือนจะนอนไม่พอ แถมวันนี้ต้องไปเรียนแต่เช้าอีก ผมหยิบรีโมตแอร์ที่วางอยู่ที่โต๊ะโคมไฟข้างเตียงมาเปิด ก่อนค่อย ๆ หลับตา

ไม่นานผมก็เข้าสู่ห้วงนิทรา …

ยุโรปยุคกลาง

ลานกว้างใจกลางเมือง เป็นทั้งสถานที่ที่ถูกใช้เพื่อแจ้งข่าวสาร ประชุม และลงโทษบุคคลที่ทำผิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม แต่โชคร้ายที่คราวนี้สถานที่นี้มันถูกใช้ในจุดประสงค์อย่างหลัง เวลานี้ผู้คนต่างพากันมายืนล้อมรอบบริเวณนั้นตามคำสั่งของผู้นำของพวกเขา เสียงพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจดังไปทั่วบริเวณกำลังพูดคุยถึงการเรียกรวมตัวในครั้งนี้ สาเหตุคงไม่ต่างอะไรไปจากคราวที่แล้ว หลังจากเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นภายในเมือง เด็กสาวหลายคนมีอาการผิดปกติ อาทิเช่น พูดจาลบหลู่ดูหมิ่นศาสนาอย่างไร้สติ กรีดร้องอย่างทรมานเวลากลางคืน ไม่สบายอย่างหาสาเหตุไม่ได้ รวมถึงตามเนื้อตัวหลังจากตื่นขึ้นมาเต็มไปด้วยร่องรอยจากการถูกกัดของสัตว์ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นทำให้เกิดความหวาดกลัวแผ่ขยายไปทั่วเมือง ทุกคนต่างเรียกร้องหาคนทำผิด และเชื่อว่าเป็นมนต์ดำจากแม่มดที่จ้องจะทำร้ายพวกเขา

ทำให้การล่าแม่มดเกิดขึ้น …

หญิงสาวคนหนึ่งถูกจับตัวมัดติดไว้กับเสาไม้ บริเวณใต้เท้ามีทั้งกองฟางและเศษไม้น้อยใหญ่ที่วางรวมกันอยู่ ใบหน้าที่เคยสะสวยจนเป็นที่ประทับใจของชายทั้งเมืองเต็มไปด้วยร่องรอยจากการถูกทรมาน เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยช้ำและรอยขีดข่วน เล็บมือเล็บเท้าทุกนิ้วถูกถอดจนหมด เห็นเนื้อสีชมพูปนเลือดที่ยังคงไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง อาหารเน่าและก้อนหินถูกปามาใส่ร่างที่ไร้ทางสู้ไม่หยุด

ตุ้บ ! ก้อนหินก้อนหนึ่งถูกปามาโดนบริเวณหัวของหญิงสาว มันเจ็บเจียนตายแต่เจ้าตัวไม่มีแรงแม้แต่จะส่งเสียงร้องออกมา เนื่องจากการถูกทรมานมาหลายวันให้รับสารภาพว่าเป็นแม่มด ร่างกายแทบจะแหลกสลาย เลือดสีแดงไหลย้อยลงมาที่บริเวณใบหน้า น้ำตาไหลออกมาเป็นทาง ดูน่าสงสารจับใจ แต่ผู้คนที่จ้องมองเธอกลับส่งเสียงร้องตะโกนด่าทอด้วยความโกรธแค้นไร้ความปราณี

“พอก่อน” เสียงทุ้มห้าวดังออกมาจากปากของผู้ชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นำของเมืองนี้ ร่างนั้นเดินมาพร้อมกับแท่งไม้ที่เปลวไฟลุกโชนบริเวณสุดปลายด้าม เจ้าตัวหันมองรอบ ๆ บริเวณ ก่อนพูดต่อด้วยเสียงดังกังวาน

“ผู้หญิงคนนี้มันคือแม่มด ข้าตรวจสอบแล้ว มันมีปานแดงบริเวณต้นขาด้านขวา มันคือสัญลักษณ์ที่ซาตานทำตำหนิไว้ ผู้หญิงชั่วคนนี้มันขายวิญญาณให้ซาตาน และคนของข้าก็ได้ตรวจสอบภายในบ้านของมัน มีทั้งเครื่องรางและสมุนไพรต่างๆ  เพื่อประกอบพิธีมนต์ดำ”

“ความผิดของนังแม่มดคนนี้ ข้าจะเผามันทั้งเป็น” สิ้นคำพูดของชายวัยกลางคน เสียงร้องตะโกนเชียร์ก็ดังขึ้นรอบด้าน

“เผาเลย เผาเลย เผาเลย !”

ไม่ช้าท่อนไม้ที่มีเปลวไฟลุกโชนก็ถูกโยนเข้าบริเวณเท้าของหญิงสาวที่มีทั้งกองฟางและเศษไม้น้อยใหญ่วางเป็นเชื้อไฟรออยู่ เปลวไฟลุกลามไปอย่างรวดเร็วจนท่วมตัวของหญิงสาว เสียงกรีดร้องอย่างทรมานดังขึ้นอย่างชัดเจนคราวนี้ มันเป็นความเจ็บปวดที่คงไม่มีใครสามารถทนได้ กลิ่นเหม็นไหม้ของเนื้อคลุ้งชวนอาเจียนไปทั่วบริเวณ บางคนเบือนหน้าหนี บางคนต่างมองด้วยความสะใจที่ในที่สุดแม่มดก็ถูกกำจัดสักที

ในที่สุดเสียงร้องก็สงบลง เหลือเพียงร่างไร้ลมหายใจที่ดำเป็นตอตะโก ผู้คนรอบบริเวณเริ่มเดินออกมา แยกย้ายจากบริเวณนั้น ทิ้งไว้เพียงภาพที่น่าอนาถใจไว้เป็นหลักฐานว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับแม่มดผู้ใช้มนต์ดำ และเป็นตัวอย่างให้กับคนอื่นภายในเมืองจะไม่ได้ทำเรื่องชั่วช้าแบบนี้อีก

ท่ามกลางผู้คนมากมายที่เดินออกมา หญิงสาวคนหนึ่งภายใต้ผ้าคลุมสีดำกำลังแสยะยิ้มยืนมองร่างที่กลายเป็นเถ้าถ่านอย่างสะใจ เมื่อยืนมองจนพอใจแล้ว เจ้าตัวก็หันหลังกลับเดินออกมา ผ่านร้านขายของใช้ผู้หญิงแถวนั้นที่มีกระจกบานใหญ่ตั้งอยู่ ให้ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาได้ส่องดู แวบหนึ่งที่หญิงสาวภายใต้ผ้าคลุมสีดำเดินผ่านไป ภาพในกระจกก็สะท้อนใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นตามหน้าที่ของมัน

มันจะไม่มีอะไรแปลกเลย …

ถ้าใบหน้าที่อยู่ในกระจกไม่ได้อยู่ในสภาพอัปลักษณ์ ผิวหนังเหี่ยวย่นเหมือนคนแก่อายุร่วมร้อยปี ดวงตาปูดโปน บริเวณแก้มซ้ายเป็นรูเหมือนรังผึ้งเห็นเนื้อสีแดงภายใน ดูน่าขยะแขยงและสยดสยองในเวลาเดียวกัน

“ชา ! ชา ! ไปกินข้าวเย็นลูก”

เสียงเรียกพร้อมกับเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นอยู่หลายครั้งทำให้ผมสะดุ้งตื่นจากความฝัน เหงื่อท่วมตัวทั้ง ๆ ที่เปิดแอร์เย็นเฉียบ เผลอหลับไปแป๊บเดียวผมฝันเป็นตุเป็นตะได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย บ้าบอ แถมฝันว่าตัวเองเป็นผู้หญิงยุคกลางถูกเผาทั้งเป็นท่ามกลางฝรั่งซะด้วย สงสัยเมื่อคืนก่อนเขียนเรื่องเล่าในเพจเรื่องผีสี่ห้าบรรทัดเกี่ยวกับเรื่องวิญญาณคนตายจากการล่าแม่มดยุคกลาง มันเลยทำให้หลอนมาถึงตอนนี้

“ครับม๊า เดี๋ยวผมลงไป” ผมตะโกนบอกม๊า ลุกขึ้นจากเตียงบิดขี้เกียจ ก่อนเดินไปที่ประตูเพื่อออกไปทานข้าวเย็นกับป๊าและม๊า

ระหว่างทางออกจากห้อง สายตาผมเหลือบไปเห็นหนังสือเล่มหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือของผมพอดี ทำให้ผมเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ นี่มันหนังสือเล่มที่ผมเก็บได้เมื่อสองสามวันก่อนนี่นา มาอยู่ตรงนี้ได้ไง จำได้ว่าเอาใส่ท้ายรถไว้ไม่ได้เอาขึ้นมา หนังสือก็ประหลาด ดูหลอน ๆ พิกล ผมเปิดดูเป็นภาษาอะไรก็ไม่รู้อ่านไม่ออก แถมมีภาพประกอบเหมือนพิธีกรรมอะไรสักอย่างในนั้น เหมือนตำราพวกแม่มด หมอผีของฝรั่ง อะไรทำนองนั้นเลยครับ ผมเลยได้แรงบันดาลใจไปหาข้อมูลแล้วเขียนเล่าเรื่องในเพจให้คนอ่านสนุก ๆ จนเก็บเอามาฝันแบบนี้ไง

“ม๊าเอาหนังสือออกมาจากรถเหรอครับ” ผมถามม๊าขณะตักข้าวใส่ปากอย่างอารมณ์ดี วันนี้มีแต่อาหารโปรดของผมทั้งนั้นเลย สงสัยจะกินได้อีกหลายจาน

“หนังสืออะไรเหรอลูก” ม๊าผมถามกลับ ทำหน้าไม่เข้าใจ

“ก็ไอ้หนังสือเก่า ๆ ที่เขียนด้วยภาษาอะไรแปลก ๆ ไว้ด้านในอะ”

“เปล่านะ ม๊าไม่รู้เรื่อง” ม๊าตอบผม อ้าว แล้วมันไปอยู่ในห้องผมได้ไงอะ หรือว่าจะเป็นป๊าที่เอาไปวางไว้ ผมเลยหันไปมองป๊าเป็นเชิงถาม

“ป๊าไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับรถแกเลย”

ยังไงเนี่ย หนังสือมันเดินเองได้เหรอ ม๊าก็ไม่ได้เอาไปวางไว้ ป๊าก็ไม่รู้เรื่อง อ่อ ผมเพิ่งนึกขึ้นมาได้ ยังมีอีกคน วันนั้นผมไปรับกี้กลับมาจากที่เรียนพิเศษ สงสัยจะเป็นกี้ล่ะมั้งที่เอาขึ้นไปไว้ในห้องผม เดี๋ยวกลับมาถามกี้ดีกว่า

ภายในความมืดของห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัส บนโต๊ะหนังสือ หนังสือเก่า ๆ ถูกเปิดออกมายังหน้าหน้าหนึ่งด้วยตัวของมันเอง ในหน้าที่มีรูปสัญลักษณ์ดาวห้าแฉกและมีปีศาจบาโพเมทซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของซาตานปรากฏอยู่ตรงใจกลาง ควันไอสีดำค่อย ๆ ลอยออกมาจากลายเส้นของสัญลักษณ์คล้ายกับสิ่งที่ถูกขังอยู่ในนั้นกำลังจะได้ออกมา

มันกำลังจะได้เป็นอิสระ …

อีกไม่นาน …

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด