ตอนที่แล้วเคียวที่ 27 : ชมรมขนหัวลุก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเคียวที่ 29 : ค่ายอาสา

เคียวที่ 28 : เด็กชายท้องฟ้า


รถสองแถวสองคันพร้อมกับนักศึกษาราว ๆ 30 ชีวิต ออกเดินทางจากมหาวิทยาลัยตั้งแต่เช้ามืด

จนบัดนี้ เวลาล่วงเลยมาจนเกือบเที่ยงวันแล้ว ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะถึงจุดหมายปลายทางสักที ... นั่นก็เป็นเพราะว่าคนขับหลงทางนั่นเอง ผมและเพื่อน ๆ ใช้เวลาอยู่บนรถกันเกือบหกชั่วโมง ฟังเพลงจนหมดอัลบัมก็แล้ว นอนไปหลายตื่นก็แล้ว ก็ยังไม่ถึงสักที โชคยังดีที่ทางรุ่นพี่ได้เตรียมข้าวกล่องเอาไว้ให้พวกเราได้รับประทานอาหารกันบนรถด้วย ไม่อย่างงั้นคงจะได้หิวตายกันพอดี พอทานกันเสร็จ ทุกคนก็เข้าสู่ห้วงนิทรากันอีกครั้งเพื่อฆ่าเวลาแก้เบื่อ

สำหรับคนอื่นมันอาจจะน่าเบื่อ ที่ต้องนั่งอยู่แต่ในรถ แต่สำหรับผม มันมีบางอย่างที่ทำให้ผมยังไม่เบื่อเท่าไรนักจากการเดินทางในครั้งนี้ คงเป็นเพราะว่าร่างของฟองที่นั่งอยู่ทางด้านซ้ายมือของผม กำลังเอนตัวมาซบไหล่ผมอยู่ล่ะมั้ง เจ้าตัวยังคงกำลังหลับตาพริ้ม เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนหล่นลงมาปิดพวงแก้มขาว ๆ ของเธอ ทำให้ผมยกมือขึ้นไปหยิบมันออก ไม่ให้บดบังใบหน้านั้นไว้

คนอะไร ... ทำไมน่ารักจัง

ขณะที่ผมกำลังฟินกับการจ้องหน้าฟองอยู่นั้น ผมก็รู้สึกขนลุกแปลก ๆ เหมือนมีใครบางคนกำลังจ้องมองผมอยู่ ผมสัมผัสได้ถึงพลังงานอะไรบางอย่าง พอละสายตาจากใบหน้าฟอง เงยหน้าขึ้นไปมองที่ที่นั่งด้านฝั่งตรงข้ามก็ถึงเข้าใจถึงที่มาของพลังงานอันนั้นทันที

... พี่เต้กำลังจ้องเขม็งมาที่ผม โอ๊ย ! ผมยังไม่ได้ทำอะไรน้องสาวพี่เลยนะครับ ไม่ต้องทำหน้าโหดขนาดนั้นก็ได้

ในที่สุดรถสองแถวสองคันก็เคลื่อนที่เข้าถนนสายเล็ก ๆ ภายในหมู่บ้านในเวลาบ่ายโมง บ้านเรือนแถวนี้ส่วนใหญ่เป็นบ้านไม้ตลอดสองฝั่งข้างทาง ถนนยังคงเป็นทางลูกรังที่พอขับรถผ่านแล้วเหมือนได้ย้อมสีผมเป็นสีน้ำตาลแดงกันเลยทีเดียว หลังจากเข้ามาลึกพอสมควร พวกเราก็เห็นโรงเรียนที่พวกเรามาเพื่อบริจาคสิ่งของและบูรณะโรงเรียนให้กับพวกเด็ก ๆ

โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนเล็ก ๆ ตัวอาคารเรียนถูกสร้างเป็นลักษณะครึ่งปูนครึ่งไม้ มีด้วยกันสองชั้น หลังจากสอบถามพวกพี่ ๆ ก็พบว่า โรงเรียนนี้มีแค่ชั้นอนุบาลและประถมเท่านั้นเอง ห้องเรียนมีอยู่เพียงไม่กี่ห้อง จำนวนเด็ก ๆ ที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนนี้ก็มีอยู่เพียง 60 กว่าคน

ผมและเพื่อน ๆ ช่วยกันขนของลงจากรถไปที่ลานกิจกรรมของโรงเรียน พื้นที่บริเวณนั้นไม่ได้กว้างขวางอะไรนัก ดูเหมือนเอาไว้ทำกิจกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ภายในโรงเรียนมากกว่า

“กี้ พี่ช่วยถือปะ” อิฐพูดขึ้นมา พร้อมเอื้อมมือไปหยิบของในมือสุกี้ ผมลืมบอกไปครับ ค่ายอาสาครั้งนี้อนุญาตให้คนนอกเข้ามาร่วมกิจกรรมในชมรมได้ เนื่องจากขาดคน สุกี้น้องสาวชาบูที่อยากมาทำกิจกรรมแบบนี้เลยอาสาตามมาด้วย

“ของไม่ได้หนัก น้องกูถือได้ไอ้อิฐ” ชาบูพูดขึ้นมาก่อนรีบดึงของในมืออิฐส่งคืนสุกี้

“เป็นไรของมึงเนี่ย กูแค่อยากช่วยน้อง”

“อยากช่วยเหรอ งั้นถือของกูไป” พูดจบเจ้าตัวก็โยนกระเป๋าสะพายตัวเองส่งให้คนถาม จนอิฐรับแทบไม่ทัน

“อะไรของเฮียชาเนี่ย เฮียอิฐแค่จะช่วยถือเอง” สุกี้พูดขึ้นมาอย่างงง ๆ

“กี้อยู่ห่าง ๆ มันไว้เลยนะ เฮียให้มาด้วยแล้วก็ต้องเชื่อฟังเฮีย เข้าใจปะ” ชาบูพูดจบก็รีบดันน้องตัวเองให้เดินไปพร้อมกัน เหลือแค่ผม อิฐ และใยไหม ยืนขำอยู่ด้านหลัง

ภาพบรรยากาศเดิม ๆ ตอนสมัยมัธยมปลายเริ่มกลับมา ชาบูยังคงกันท่าน้องตัวเองกับอิฐเหมือนเดิม ดีนะ ที่พี่เต้ไม่หวงน้องขนาดไอ้ชา ถ้าเป็นอย่างนั้นละก็ผมคงซวยน่าดู

“ฟองมา ผมช่วยถือ” ผมหันไปยิ้มให้ฟองที่เดินตามหลังมา ก่อนยื่นมือไปหยิบกระเป๋าและกล่องใส่ลังหนังสือมาช่วยถือไว้

“ขอบใจนะคีย์”

“งั้นพี่ฝากด้วยคนนะครับคีย์” พี่เต้พูดขึ้นมา เจ้าตัวโผล่มาจากไหนไม่รู้ พร้อมกับหนังสือเล่มหนา ๆ ประมาณสิบเล่มถูกวางลงด้านบนของกล่องอย่างรวดเร็ว

... หนักครับพี่ แต่ก็ต้องตอบไปว่า

“ได้ครับพี่”

ว่าแล้วไอ้พี่เต้ก็เดินจูงมือฟองออกไปตัวเปล่า ขอถอนคำพูดที่บอกว่าไอ้พี่เต้ไม่หวงน้องสาวเท่าชาบูนะครับ ไม่เข้าใจความรู้สึกของคนมีน้องสาวเลยจริง ๆ หวงอะไรเบอร์นั้น ถ้าไปเจอพ่อจะขนาดไหนเนี่ย

ทางโรงเรียนได้ออกมาต้อนรับพวกเรานิดหน่อยที่ลานกิจกรรม หลังจากนั้นพวกเราก็แบ่งหน้าที่กัน เพื่อไปซ่อมแซมปรับปรุงโรงเรียนในส่วนต่าง ๆ ทางฝ่ายสาว ๆ ได้รับหน้าที่ไปจัดการในส่วนของห้องสมุด จัดการกับหนังสือที่ได้รับบริจาคมาและทำความสะอาดบริเวณต่าง ๆ รวมถึงการเตรียมอาหารเย็นด้วย ส่วนผู้ชายอย่างเรานั้น ก็ทำหน้าที่ทาสี ขนของ ใช้แรงงาน ซ่อมแซมอะไรบางอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่นักศึกษาอย่างพวกเราพอจะทำได้

ผม อิฐ ชาบู และพี่เต้ หลังจากช่วยกันซ่อมแซมอาคารเรียนบางส่วนที่พอจะซ่อมได้เสร็จ พวกเราก็มาช่วยกันทาสีบริเวณสนามบาสของโรงเรียนที่เคยถูกลากเส้นไว้ด้วยสีขาว แต่ตอนนี้สีมันซีดจนเส้นกั้นหายไปหมดแล้ว จึงต้องมาทาทับอีกที

“มึงจะไปไหนไอ้อิฐ” ชาบูพูดขึ้นมาเมื่อเห็นอิฐวางแปรงทาสีลง และกำลังจะเดินออกไป

“ไปฉี่ ทำไม มึงจะไปช่วยกูถือเหรอ ไม่ต้องระแวงกูขนาดนั้นก็ได้มั้งไอ้ชา” อิฐพูดขึ้นมาขำ ๆ

“มึงมันไว้ใจไม่ได้ ห้ามเข้าใกล้น้องกูเกิน 10 เมตรเด็ดขาด”

พูดขึ้นมาด้วยความจริงจัง พร้อมจ้องไปที่ใบหน้าของเพื่อนรักตัวเองอย่างซีเรียส

“โห กูเพื่อนมึงนะ”

“ไม่รู้โว้ย กูหวงน้อง”

เป็นไงบ้างครับ เห็นความหวงน้องแบบสุด ๆ ของชาบูหรือยัง ยิ่งเห็น ผมยิ่งทั้งสงสารทั้งขำไอ้อิฐ หวงขนาดนี้ ไม่รู้ปล่อยกี้ไปแลกเปลี่ยนต่างประเทศได้ยังไง

“เดี๋ยวกูไปเป็นเพื่อนมันก็ได้ไอ้ชา ฮ่าฮ่า กูจะจับตาดูมันอย่างดีเลย” ผมบอกออกไป ก่อนเดินคู่ไปกับไอ้อิฐ ว่าแล้วก็ขอวาปไปหาฟองสักหน่อยจะดีกว่า

“พี่ไปด้วย อยากเข้าห้องน้ำเหมือนกัน” เสียงทุ้มห้าวดังขึ้นข้างหลังผม ก่อนเจ้าตัวจะเดินตามมา ... มันคงเป็นใครไม่ได้แล้วล่ะ

ผมลืมไป ค่ายนี้มันมีคนบ้าหวงน้องเหมือนกันถึงสองคน

เวลาประมาณเกือบบ่ายสามโมงเย็น พวกเราก็มีกิจกรรมให้กับเด็ก ๆ ในโรงเรียนแห่งนี้ทำก่อนกลับบ้าน พวกเราแบ่งเป็นฐานในแต่ละห้องเรียน และให้น้อง ๆ เข้ามาร่วมทำกิจกรรมด้วยกันโดยมีของรางวัลแจก

ฐานของผมกับเพื่อน ๆ เป็นฐานวิชาภาษาอังกฤษ ก็คือสอนคำศัพท์ให้กับเด็ก ๆ แล้วให้ตอบคำถาม เด็กที่นี่น่ารักครับ ทุกคนดูเข้ากับคนแปลกหน้าได้ดี ไม่ดื้อ ไม่ซนด้วย สอนอะไรก็เข้าใจหมด ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

“คีย์ ของรางวัลหมดอะ ช่วยไปเอาเพิ่มให้หน่อยดิ” ใยไหมหันมาบอกผม ระหว่างที่พวกเรากำลังทำกิจกรรมกับเด็ก ๆ อยู่

“โอเค รอแปบหนึ่งนะ” ผมตอบไหมไป ก่อนลุกเดินออกจากห้องเรียน

ระหว่างทางขณะที่ผมกำลังเดินไปเอาของรางวัลซึ่งเป็นขนมที่บริเวณลานกิจกรรมของโรงเรียน ก็สังเกตเห็นน้องผู้ชายคนหนึ่ง น่าจะอยู่ชั้นประถมต้น กำลังนั่งอยู่คนเดียวที่บริเวณทางขึ้นอาคาร แต่เดี๋ยวก่อน จะพูดว่านั่งอยู่คนเดียวก็ไม่ได้ เพราะสิ่งที่ผมเห็นคือดวงวิญญาณของชายหนุ่มอายุราวสามสิบต้น ๆ ก็กำลังนั่งอยู่ข้างน้องด้วย ผมจึงเดินเข้าไปหาน้องคนนั้น

“สวัสดีครับ ชื่ออะไรครับเนี่ย พี่ชื่อคีย์นะ” ผมทักแล้วยิ้มให้น้อง ก่อนย่อตัวลงนั่งบนบันไดข้าง ๆ น้องไม่ตอบผม ทำท่าจะร้องไห้ เฮ้ย ๆ พี่ไม่ได้น่าตาน่ากลัวขนาดนั้นนะครับน้อง หรือหน้าผมมันยังนิ่งไป ต้องฉีกยิ้มอีกใช่ไหมเนี่ย ผมเหลือบตาไปมองดวงวิญญาณดวงนั้น เขาก็มองผมกลับเช่นกัน

“คุณเห็นผมด้วยเหรอ” ผมพยักหน้าให้เขา แต่ไม่ได้พูดอะไรออกไปเพราะน้องนั่งอยู่ด้วย

“ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้คนเดียวครับ มาเล่นกับพี่ ๆ ดีไหม” ผมพยายามชวนน้องคุย น้องดูท่าทางไม่สนุกสนานเหมือนกับเด็กวัยเดียวกันที่กำลังทำกิจกรรมอยู่ในห้องเลย

“ไม่อยากไป”

“ทำไมล่ะครับ พวกพี่มีของแจกด้วยนะ” ผมพูด พยายามเอาของเข้าล่อ คิดว่าน้องน่าจะชอบ

“ไม่เอาครับ”

แป่ว ...

“อืม งั้นพี่นั่งเป็นเพื่อนนะ บอกพี่ไม่ได้เหรอ ทำไมไม่ไปเล่นกับเพื่อน ๆ” ผมถามไปอีกครั้ง น้องไม่ตอบผมก็เลยนั่งรออยู่อย่างนั้น เหมือนน้องจะรำคาญหน้าผมแล้วมั้ง เลยเงยหน้าขึ้นมาตอบ

“คิดถึงพ่อ”

“คุณพ่อไปไหนเหรอครับ” ผมถามออกไป ทั้ง ๆ ที่คำตอบอยู่ตรงหน้า ไม่ได้ห่างจากผมไปเท่าไรเลย วิญญาณชายหนุ่มวัยสามสิบทำหน้าเศร้าพยายามเอามือลูบผมลูกชาย แต่มือนั้นกลับทะลุผ่านร่างเด็กน้อยนั้นไป

“แม่บอกว่าพ่อไปสวรรค์ จะไม่กลับมาแล้วครับ” น้องเริ่มพูดกับผมมากขึ้น

“อื้ม แล้วน้องอยากเห็นคุณพ่อมีความสุขไหมครับ”

ดวงตาใสแจ๋วเงยขึ้นมาจ้องหน้าผม

“ถ้าอยากเห็นคุณพ่อมีความสุข น้องต้องไม่เศร้านะครับ เวลาคุณพ่อมองลงมาจากบนสวรรค์จะได้ดีใจไง”

“จริงเหรอครับ ถ้าผมเศร้าพ่อจะไม่มีความสุขเหรอ”

“จริงครับ ไหนบอกพี่มาก่อนชื่ออะไร อยู่ห้องไหนครับ เดี๋ยวพี่พาไปส่ง”

“ชื่อ ด.ช. ท้องฟ้า อยู่ ป.1/3 ครับ”

“โอเคครับท้องฟ้า เดี๋ยวพี่พาไปส่งที่ห้องนะครับ” พูดจบผมก็อุ้มน้องขึ้นมา ก่อนเดินพาไปส่งที่ห้องเรียนที่น้องอยู่

ผมเดินกลับมาหาดวงวิญญาณที่บริเวณนั้นอีกครั้ง ร่างของดวงวิญญาณกำลังนั่งอยู่ที่เดิม ผมเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นพ่อเลย ที่ต้องจากลูกไปทั้งที่ลูกยังเล็กแบบนี้ เขาคงต้องเสียใจมากแน่ ๆ ผมทรุดตัวลงนั่งที่บันไดข้าง ๆ กับเขา

“คุณตายมากี่วันแล้วครับ” ผมถามออกไป

“สิบสองวันแล้วครับ ผมเป็นห่วงก็แต่ลูก เขาติดผมมาก ผมเห็นลูกเป็นแบบนี้แล้วไม่สบายใจเลย” วิญญาณดวงนั้นตอบ ตายไปแล้วสิบสองวัน นั่นหมายความว่าวันนี้คือวันที่สิบสาม เขาอยู่ได้แค่ถึงคืนนี้เท่านั้น ก่อนทางนรกจะส่งยมทูตมาหาเขา เพราะถือว่าเป็นเคสพิเศษเนื่องจากดวงวิญญาณไม่ได้ไปหายมทูตเอง

“ถ้าคุณไม่หมดห่วง คุณจะไปไหนไม่ได้นะครับ ครบวันที่ 13 จะเริ่มมียมทูตมาตามตัวคุณ” ผมบอกออกไป

“ทำไมคุณถึงรู้เรื่องราวพวกนี้ล่ะ”

“ผมเองก็เป็นยมทูต ผมถึงได้มองเห็นคุณยังไงล่ะ”

“ขอเวลาให้ผมถึงเที่ยงคืนได้ไหม ผมอยากอยู่กับลูกต่ออีกแปบหนึ่ง แล้วผมจะไปกับคุณ” ดวงวิญญาณตอบ

“ได้ครับ เที่ยงคืน คุณมาเจอผมที่ด้านหลังอาคารเรียน ตกลงไหม”

“ครับ”

“ทำไมไปเอาของนานจังคีย์” ใยไหมถามผม หลังจากที่เดินกลับเข้ามาในห้องเรียนอีกครั้ง พร้อมกับหอบขนมมาอีกหนึ่งถุงใหญ่เพื่อเป็นของรางวัลให้เด็ก ๆ

“พอดีไปเจอน้องคนหนึ่ง นั่งอยู่คนเดียวอะไหม เลยพาไปส่งก่อน” ผมบอกไหมไป เจ้าตัวพยักหน้าเข้าใจ ก่อนยื่นป้ายคำศัพท์ให้ผมช่วยทำกิจกรรมกับเด็ก ๆ ต่อ

“คำต่อไปนะครับ น้อง ๆ รู้ไหมครับ คำนี้มันแปลว่าอะไรเอ่ย” ผมพูด แล้วโชว์ป้ายคำศัพท์ให้น้อง ๆ ได้ดู

“ใครตอบได้บ้างครับ ตอบได้เอารางวัลไปเลย” อิฐพูดต่อ

“เลิฟ แปลว่ารัก ครับ/ค่ะ” น้องสองสามคนยกมือขึ้นแล้วรีบตอบออกมา

“ถูกไหมเนี่ย พี่ก็ไม่รู้อะเนอะ พี่ฟองครับ คำนี้แปลว่าไรครับ” ผมพูดก่อนหันไปโบ้ยถามฟองที่ยืนอยู่ด้านหลังห้อง

“รักค่ะ” ฟองตอบ

“ดูดิ พี่ฟองบอกรักพี่ด้วยอ่าเด็ก ๆ เขินจัง”

น้อง ๆ หัวเราะกันใหญ่

“แบบนี้ก็ได้เหรอ” เสียงโห่แซวจากเหล่าผองเพื่อนดังขึ้นมาทันที ทำไงได้อะ ไอ้พี่เต้ไม่ได้อยู่ห้องนี้นี่หว่า ผมขอสักนิดเถอะ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด